ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1947 ประวัติความเป็นมาของเผ่ารอยโลหิต
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 1947 ประวัติความเป็นมาของเผ่ารอยโลหิต
“สืบทอดทายาทรุ่นหลัง? เพียงต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “ข้าไม่อยากไปทำความเข้าใจว่าเป็นความจริงหรือไม่ และไม่อยากรู้ ข้าเพียงต้องการบอกว่า ขณะที่ความมืดมิดยังไม่ถูกขจัดให้สิ้น ข้าก็จะพิจารณาว่าสมควรเงื้อมีดดาบต่อพวกเจ้าขึ้นมาหรือไม่ เฉกเช่นสรรพสิ่งมีชีวิตในหล้าล้วนแล้วแต่กล้าเข้าใกล้ตัวข้า แต่พวกเจ้ากลับไม่กล้า”
เมื่อหลี่ชิเย่พูดมาถึงตรงนี้แล้ว ได้กล่าวเรียบเฉยต่อไปว่า “สืบเนื่องจากต้นกำเนิดของพวกเจ้า ข้าเองมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้ ลอยล่องอยู่บนโลกนี้ ทะลวงฟ้าดิน สังหารหมื่นอาณาจักร ไม่มีสิ่งใดในโลกสามารถขวางกั้นได้ ข้ามาจากโลกมนุษย์ มีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ และข้าเบิ่งตาเฝ้าปกป้องโลกมนุษย์ ขณะที่พวกเจ้ากำเนิดมาจากความมืดมิด สำหรับเรื่องอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องให้ข้ากล่าวมากความ นี่เป็นเส้นทางสองสาย เป็นเส้นทางที่ขนานกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของข้าจึงเป็นคู่ปรับของพวกเจ้า”
“ดังนั้น พวกเจ้าจะทำเพื่อความอยู่รอดหรือไม่ ข้าไม่ต้องการไปถามให้มากความ แต่หากไปสยบต่อความมืดมิด นั่นแหละคือสมควรแก่เวลาที่ข้าต้องเข่นฆ่าได้แล้ว” หลี่ชิเย่จ้องเขม็งเผ่ารอยโลหิต กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ที่ข้าไม่ได้เงื้อมีดขึ้นมา ใช่ว่าข้ามีจิตเมตตา เพียงแต่ทุกสิ่งในโลกล้วนมีความเป็นไปได้”
“ทุกอย่างล้วนมีความเป็นไปได้” เผ่ารอยโลหิตผู้นี้กล่าวว่า “ดังนั้น พวกเรามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อทำให้ร่างกายของพวกเราแข็งแกร่ง และไม่ได้อธิฐานขอพลังอื่นๆ อะไร พวกเรามีคำอธิฐานเพียงหนึ่งเดียว เพียงต้องการภาวนาขอผู้สร้างชี้แนะทางสว่างให้กับพวกเรา เพื่อทำให้ผลงานที่ไม่สมบูรณ์อย่างพวกเราให้สมบูรณ์”
“พวกเราเหมือนกับท่าน เหมือนกับทุกๆ คน เหมือนกับหมื่นเผ่าพันธุ์ในสิบสามทวีป พวกเรามีเลือดมีเนื้อ มีชีวิต มีวิญญาณ พวกเราเพียงร้องการเป็นเผ่าพันธุ์ที่ปรกติเหมือนเช่นพวกท่าน แต่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ หลบซ่อนตัวอยู่แต่ในความมืดเท่านั้น ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ประเภทที่ทำให้ผู้คนต้องสะอิดสะเอียน พวกเราเพียงต้องการมีชีวิตอยู่อย่างเป็นปรกติ ไม่ถูกผู้คนรังเกียจ สามารถเดินเหินอยู่ในสังคมได้!”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เผ่ารอยโลหิตผู้นี้ดูจะมีอาการตื่นเต้นอยู่บ้าง กล่าวว่า “ที่พวกเราอธิฐานก็คือต้องการให้ผู้ที่สร้างพวกเราได้ให้โอกาสพวกเราสักครั้ง ให้ทำผลงานชิ้นนี้ที่เป็นเผ่ารอยโลหิตพวกเราให้สำเร็จลุล่วง อย่าปล่อยให้พวกเราที่เสมือนหนึ่งผลงานที่ชำรุดไม่สมบูรณ์มีชีวิตอยู่บนโลก เผ่าพันธุ์ของพวกเราก็ต้องการเหมือนเช่นหมื่นเผ่าพันธุ์ที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ปรกติสุข เพียงเท่านี้เอง”
หลี่ชิเย่เพียงแสดงอาการเรียบเฉยจ้องมองพวกเขาขณะที่ฟังคำจากพวกเขา กล่าวเฉยเมยขึ้นมาว่า “ข้าไม่ให้ความสนใจ ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาจะจริงหรือเท็จ แต่ว่า ในเมื่อพวกเจ้าพูดออกมาเช่นนี้แล้ว ข้าได้แต่บอกพวกเจ้าด้วยความเสียใจว่า การอธิฐานของพวกเจ้าเป็นเพียงการฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้นเอง ถ้าหากผู้ที่สร้างพวกเจ้าสามารถสร้างให้พวกเจ้าจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ได้ล่ะก็ คงไม่ต้องรอจนถึงวันนี้แล้วหละ”
เผ่ารอยโลหิตไม่ถือเป็นเผ่าใดเผ่าหนึ่งของหมื่นเผ่าพันธุ์ในสิบสามทวีป พวกเขาไม่ได้เหมือนดั่งเช่นร้อยเผ่าพันธุ์ เผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์อย่างนั้น พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ที่ถูกสร้างขึ้นมา ไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์ที่สืบทอดฟ้าดินแล้วเกิดขึ้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เลือดกันดารไม่สามารถออกไปจากไกลกันดารได้ แต่พวกเขากลับมีแนวความคิดเช่นนั้นตลอดมา นับเนื่องตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์มา ในยุคสมัยดังกล่าวเคยมีผู้ที่มีจิตทะเยอทะยานมากที่ฝันเฟื่อง ได้สมรู้ร่วมคิดกันกับผู้ยิ่งใหญ่ในไกลกันดารได้โดยบังเอิญ หวังจะสร้างเลือดกันดารที่สามารถหลุดพ้นจากพื้นที่ไกลกันดารได้
ด้วยเหตุนี้ เผ่าพันธุ์ที่ประหลาดยิ่งได้ถือกำเนิดขึ้นมา และเผ่าพันธุ์ดังกล่าวก็คือเผ่ารอยโลหิตนั่นเอง
การสร้างชีวิตใหม่เป็นเรื่องที่ไม่ได้รับอนุญาต เพราะมันเป็นเรื่องของสวรรค์ ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะมีความแข็งแกร่งเพียงใด ไม่ว่าจะมีทรัพยากรที่น่ากลัวเช่นใด ถ้าหากคิดจะสร้างเผ่าพันธุ์ที่ใหม่เอี่ยมขึ้นมา มันคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งไกลกันดารและผู้ที่มีความทะเยอทะยานนับว่าฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่งนัก ถึงกับถูกพวกเขาสร้างเผ่าพันธุ์ที่ใหม่ทั้งหมดขึ้นมาดื้อๆ จนได้ แต่ทว่า จะอย่างไรเสียเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำได้อยู่แล้ว ชีวิตใหม่ถูกสร้างขึ้นมาได้จริง แต่พวกเขามีข้อบกพร่องแต่กำเนิด อีกทั้งยากที่จะสืบทอดต่อเนื่องได้ กล่าวสำหรับเผ่ารอยโลหิตของพวกเขาแล้ว เมื่อมีหนึ่งชีวิตถือกำเนิดขึ้น ก็จำเป็นต้องมีหนึ่งชีวิตก่อนหน้าต้องตายไป เป็นลักษณะของการสืบทอดแบบกลืนกิน
จากการที่ได้สร้างสรรคชีวิตลักษณะเช่นนี้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของไกลกันดาร หรือผู้ที่มีความทะเยอทะยานสูงต่างต้องแลกด้วยค่าตอบแทนที่สูงมาก ต่อให้หลบซ่อนตัวอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของไกลกันดาร ยังคงได้รับการลงทัณฑ์จากสวรรค์
ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ของไกลกันดาร และผู้ที่มีความทะเยอทะยานสูงต่างกบดานเงียบไม่เสนอหน้าออกมาอีก สำหรับเผ่ารอยโลหิตที่สร้างขึ้นมานั้นเป็นเพียงบุตรที่ถูกทอดทิ้ง เป็นเพียงสิ่งที่ด้อยคุณภาพและไม่สมบูรณ์ที่ถูกทอดทิ้งเท่านั้น
เผ่ารอยโลหิตไม่สามารถดำเนินชีวิตเป็นปรกติ และไม่สามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์ของตนแบปรกติเหมือนเช่นเผ่าพันธุ์ทุกๆ เผ่าพันธุ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นจุดบกพร่องใหญ่ที่สุดของเผ่ารอยโลหิต และเป็นข้อบกพร่องที่ไม่สามารถชดเชยกันได้เลย
ครั้นคนของเผ่ารอยโลหิตได้ยินคำพูดเช่นนี่จากหลี่ชิเย่ แล้วต่างมีร่างที่สั่นเทาทีหนึ่ง ยากนักที่พวกเขาจะยอมรับความจริงข้อนี้ได้
กี่ปีที่ผ่านไป พวกเขาคิดจะอุดจุดบกพร่องของตนตลอดมา เพื่อให้มีชีวิตอยู่บนโลกเหมือนเช่นเผ่าพันธุ์อื่นๆ แต่ว่าผู้ที่สามารถแก้ไขข้อบกพร่องของพวกเขาในโลกนี้ก็มีเพียงผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างพวกเขาขึ้นมา ส่วนผู้ที่มีความทะเยอทะยานผู้นั้น พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่แล้ว
ดังนั้น หลังจากผ่านการสั่งสมมาอย่างยาวนานแล้ว ครั้งนี้เผ่ารอยโลหิตของพวกเขามีการเตรียมการมาอย่างดี เพื่ออธิฐานต่อผู้สร้างพวกเขา คาดหวังให้ผู้สร้างพวกเขาสามารถสร้างผลงานที่ยังค้างคาอยู่ให้สำเร็จ
ในเวลานี้ คนหลายสิบคนของเผ่ารอยโลหิตก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะพวกเขาพูดอะไรไม่ออก เนื่องจากผลกระทบที่มีต่อพวกเขามันใหญ่เหลือเกิน
“นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” ยอดฝีมือของเผ่ารอยโลหิตผู้นี้อดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้ การแก้ตัวเช่นนี้ของเขาดูจะไร้ซึ่งพลัง แม้ว่าภายในใจของเขาจะมีคำตอบอยู่นานแล้ว เพียงแต่ยังคงมีความหวังแม้เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น แต่หลี่ชิเย่ กลับทำลายเศษเสี้ยวความหวังของพวกเขาเสีย
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ถ้าหากเขามีความสามารถเช่นนี้ ยังจะต้องหลบซ่อนตัวอยู่ลึกลงไปใต้ดินอย่างนั้นรึ? ยังต้องอาศัยอยู่ในไกลกันดารทุกยุคทุกสมัยอย่างนั้นรึ? เจ้าคิดว่าพวกเขาไม่อยากจะออกมาวิ่งเล่นบ้างหรือไง? เพียงแต่พวกเขาจนด้วยเกล้ากับสวรรค์โจรเท่านั้นเอง”
คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้คนของเผ่ารอยโลหิตรู้สึกหวั่นไหวในใจ ต่อให้พวกเขาไม่อยากเชื่อคำพูดของหลี่ชิเย่ แต่พวกเขายังคงสามารถคาดเดาได้บ้าง
“ไม่ว่าสิ่งที่พวกเจ้าพูดมานั้นเป็นความจริงหรือความเท็จ ไม่ว่าคำพูดเช่นนี้ของพวกเจ้าจะออกมาจากความตั้งใจเดิมหรือไม่” หลี่ชิเย่มองดูคนของเผ่ารอยโลหิตทีหนึ่งแล้วกล่าวเฉยเมยว่า “ถ้าหากเผ่ารอยโลหิตพวกเจ้าต้องการจะมีชีวิตอยู่เป็นปรกติเฉกเช่นหมื่นเผ่าพันธุ์ในสิบสามทวีปจริง และสืบทอดเผ่าพันธุ์แบบปรกติล่ะก็ ข้าสามารถชี้ทางสว่างให้กับพวกเจ้า”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้เผ่ารอยโลหิตจำนวนหลายสิบคนมีอาการกระสับกระส่าย ในเวลานี้พวกเขาต่างมองหน้ากันและกัน
หลี่ชิเย่ไม่สนใจว่าพวกเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ กล่าวเรียบๆ ขึ้นมาว่า “เนื่องจากเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้น ทุกอย่างยังต้องขึ้นอยู่กับฟ้าดิน ขึ้นอยู่กับสวรรค์โจร ข้อบกพร่องของพวกเจ้าไม่ว่าใครก็เติมเต็มให้ไม่ได้ เป็นการลงทัณฑ์ของฟ้าดิน หากพวกเจ้าต้องการชดเชยสิ่งนี้ ง่ายมาก ลืมกำเนิดของตนเองเสีย สลายสัญชาตญาณของตนให้เจือจางลง ใกล้ชิดฟ้าดิน เข้าหาโลกหล้า ทำจิตใจให้สว่างไสว ย่อมสว่างไสวไปทุกแห่งหน…”
หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ ถ่ายทอดความลึกซึ้งพิสดารอย่างหนึ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนให้กับเผ่ารอยโลหิต ความลึกซึ้งพิสดารเช่นนี้หาใช่เป็นสิ่งที่หลี่ชิเย่เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ ความจริงแล้ว เส้นทางเส้นนี้เคยมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ทดลองมาก่อน เคยมีปรัชญาเมธีจำนวนนับไม่ถ้วนได้ศึกษาพิจารณามาแล้ว หลี่ชิเย่เพียงนำมาสรุปเอาประสบการณ์จากปรัชญาเมธี แล้วนำมาอธิบายกลายเป็นเส้นทางที่ไม่เคยมีมาก่อนเท่านั้นเอง
การที่หลี่ชิเย่ถ่ายทอดความลึกซึ้งพิสดารนี้ให้ไม่ได้หมายความว่าเขามีใจเมตตา เพียงแต่เส้นทางสายนี้ควรค่าแก่การไปก้าวเดิน ควรค่าแก่การไปสืบเสาะค้นหาเท่านั้น
เผ่ารอยโลหิตถือเป็นสิ่งด้อยคุณภาพที่ถูกสร้างขึ้น ถ้าหากพวกเขามีใจต้องการเปลี่ยนแปลงเผ่าพันธุ์ของตนเองจริง และพยายามวิวัฒนาการเผ่าพันธุ์ของตน ย่อมไม่เป็นที่กังขา ความลึกซึ้งพิสดารที่หลี่ชิเย่ถ่ายทอดให้นั้นน่าลอง
ความคิดของหลี่ชิเย่แตกต่างจากผู้ยิ่งใหญ่ของไกลกันดาร ผู้ยิ่งใหญ่ของไกลกันดารต้องการอาศัยเผ่ารอยโลหิตเป็นตัวแทน คาดหวังว่าสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตที่สามารถช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นจากไกลกันดารไปได้ สำหรับผู้ที่มีความทะเยอทะยานผู้นั้นก็มีตั้งใจอีกอย่าง
หลี่ชิเย่แตกต่างจากพวกเขา เขาแค่ต้องการสังเกตการวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ใดเผ่าพันธุ์หนึ่งเท่านั้น เขาเพียงต้องการรู้ว่าเส้นทางสายนี้มีความเป็นไปได้หรือไม่
ถ้าหากเผ่ารอยโลหิตสามารถวิวัฒนาการจนกลายเป็นเหมือนเช่นหมื่นเผ่าพันธุ์อย่างนั้นล่ะก็ ย่อมเป็นการบ่งบอกว่า นอกจากฟ้าดินแล้วในโลกนี้ยังมีเส้นทางอีกสายหนึ่งที่ก้าวเดินไปได้ ซึ่งเป็นเอกเทศจากฟ้าดิน และเป็นเอกเทศจากสวรรค์
หลี่ชิเย่ไม่ไปแทรกแซงการวิวัฒนาการเช่นนี้ เขาแค่ถ่ายทอดความลึกซึ้งพิสดารเอาไว้เท่านั้น ในอนาคตเผ่ารอยโลหิตจะก้าวเดินบนเส้นทางสายนี้อย่างไรนั้น พวกเขาสามารถวิวัฒนาการได้จริงหรือไม่ คงต้องอาศัยเผ่ารอยโลหิตเองแล้ว
หลังจากที่บรรดาเผ่ารอยโลหิตหลายสิบคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ฟังความลึกซึ้งพิสดารที่หลี่ชิเย่ได้ถ่ายทอดให้แล้ว พวกเขารู้สึกตระหนกระคนกับความสงสัย มองหน้าซึ่งกันและกัน และสุดท้ายมองไปที่หลี่ชิเย่พร้อมกัน
พวกเขาต่างรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับความลึกซึ้งพิสดารของหลี่ชิเย่ และไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก จะอย่างไรเสียมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
“ไฉนท่านจึงถ่ายทอดความลึกซึ้งพิสดารเช่นนี้ให้กับข้าเล่า?” ยอดฝีมือเผ่ารอยโลหิตผู้นี้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อดที่จะมีความสงสัยและกังวลไม่ได้
หลี่ชิเย่ มองดูพวกเขาทีหนึ่ง และหัวเราะออกมาว่า “ไม่ถ่ายทอดให้พวกเจ้าแล้วยังจะถ่ายทอดให้กับใครได้? บนโลกนี้ยังจะมีเผ่าพันธุ์ที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่สมประกอบเผ่าที่สองอย่างนั้นรึ? ต่อให้ความลึกซึ้งพิสดารนี้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านี้ หากไม่มีเผ่าพันธุ์ที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่สมประกอบเช่นเจ้าไปทดลอง ไปปฏิบัติ มันก็แค่โครงการที่อยู่บนกระดาษเท่านั้น และมันก็เป็นเพียงเศษกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น ไหนเลยจะมีค่า”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้เผ่ารอยโลหิตพูดอะไรไม่ออกโดยพลัน นี่เป็นการรู้ทั้งรู้ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ยังคงตั้งความหวังแม้มีเพียงน้อยนิดก็ตาม สำหรับเผ่ารอยโลหิตของพวกเขาก็เป็นหนูทดลองเท่านั้นเอง
“ปัง” ในเวลานี้หลี่ชิเย่ได้จัดการปิดฝาโลงศพสีดำเสียแล้วโยนไปให้กับเผ่ารอยโลหิต ทำเอาเผ่ารอยโลหิตตกใขสุดขีด รับเอาไว้ด้วยความตื่นเต้น กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว โลงศพสีดำโลงนี้มีความสำคัญต่อพวกเขามากเหลือเกิน
“ไปเสีย ไม่ว่าสิ่งที่พวกเจ้าพูดมานั้นเป็นความจริงหรือเท็จ ออกมาจากความตั้งใจเดิมหรือไม่ก็ตาม วันนี้ข้าจะไม่สังหารพวกเจ้า ถือเป็นการให้โอกาสพวกเจ้าสักครั้งหนึ่ง” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ พวกเจ้ารีบออกไปจากที่นี่ มิฉะนั้นล่ะก็ ข้าจะสังหารพวกเจ้าจนหมด ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว!”
คนของเผ่ารอยโลหิตไม่กล้าส่งเสียงออกมา นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายพวกเขาได้แบกโลงศพสีดำทยอยออกไปจากที่ตรงนี้ แม้ว่าพวกเขาจะมีความแข็งแกร่งมาก แต่ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวของหลี่ชิเย่นั้นทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว สิ่งนี้เป็นคู่ปรับของพวกเขา พวกเขาไม่ต้องการเป็นศัตรูกับหลี่ชิเย่ ดังนั้น พวกเขาจึงติดสินใจอพยพออกไปจากที่ตรงนี้ บางทีอาจเป็นไปตามที่หลี่ชิเย่พูดเอาไว้ สามารถทดลองดูกับเคล็ดวิชาที่หลี่ชิเย่ได้ถ่ายทอดให้
ครั้นเผ่ารอยโลหิตหลบหนีไปด้วยความฉุกละหุก หลี่ชิเย่มองดูแท่นบูชาที่อยู่ตรงหน้า เผยรอยยิ้มที่น่าเกรงขามออกมา กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “นอนหลับใหลมาเพียงพอแล้วหละ สมควรออกมาสูดอากาศบ้างได้แล้ว” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ดวงตาทั้งสองพลันปรากฏภาพในอดีตขึ้นมา!