ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1961 กลั่นโลหิต
ในขณะที่ทุกคนกำลังสะเทือนหวั่นไหวอยู่นั้น เสียง “แว้งค์…” ดังขึ้น มองเห็นเพียงประกายเซียนที่วูบวาบขึ้นมากะทันหัน มองเห็นประเซียนดังกล่าวพลันดูดเอาเลือดสดๆ ของราชันมารเซ่าเจี้ยนที่เป็นจอมราชันเซียนหวังทั้งสี่กับพวกของจอมเทพมังกรหลวงที่เป็นจอมเทพทั้งเก้าเข้ามา
นาทีนี้ได้ยินเสียง “แว้งค์ แว้งค์ แวงค์” ดังขึ้น ประกายเซียนได้บานเบ่งออกมาเป็นระลอก ภายในระยะเวลาอันสั้น ประกายเซียนได้ถักทอเข้าด้วยกันจนสุดท้ายกลายเป็นดอกบัวเซียนดอกหนึ่ง
กลีบดอกแต่ละกลีบของดอกบัวเบ่งบานออกมา ส่งเปลวเพลิงเซียนจางๆ วูบวาบ ดอกบัวเซียนลักษณะเช่นนี้แลดูคล้ายเป็นจินตภาพ การได้มองเห็นดอกบัวเซียนทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนว่าตนเองได้ไปอยู่ที่แดนเซียนทันทีอย่างนั้น โดยเฉพาะยามที่ดอกบัวเซียนส่งเปลวเพลิงเซียนออกมานั้น รู้สึกได้ว่าตนเองเหมือนอาบเอิบอยู่ท่ามกลางประกายเซียน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนเองได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง
“ปุ ปุ ปุ…” ในเวลานี้ เปลวเพลิงเซียนที่วูบวาบออกมาจากดอกบัวเซียน กลับกลายเป็นสายๆ แทรกตัวเข้าไปในเลือดสดๆ ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ทำการเผาและกลั่นเลือดสดๆ ดังกล่าว
“นี่เขาจะทำอะไร?” มีผู้ที่ไม่เข้าใจในความลี้ลับมหัศจรรย์ เมื่อมองเห็นดอกบัวเซียนที่มีเปลวเพลิงเซียนวูบวาบถึงกับเผาและหลอมกลั่นเลือดสดๆ นั้นอยู่ และเอ่ยถามขึ้นมา
“เลือดราชันของจอมราชัน เลือดเทพของจอมเทพ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นของที่ประเมินค่าไม่ได้ จอมราชันสี่องค์ จอมเทพเก้าคน ถ้าหากนำเอาเลือดสดๆ ของพวกเขามาหลอมกลั่นจนเป็นแก่น มันช่างเป็นสิ่งที่ล้ำค่าเพียงใด มันคือสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้เลยนะเนี่ย ในโลกนี้ยังจะมีสิ่งใดสามารถเทียบเทียมกับมันได้รึ?” ระดับจอมเทพผู้หนึ่งมองดูภาพที่อยู่ตรงหน้าแล้วกล่าวขึ้นมาช้าๆ
ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกสั่นเทาภายในใจ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว มันก็จริง เลือดราชันของจอมราชัน และเลือดเทพของจอมเทพมันช่างล้ำค่าเสียจริง เลือดสดๆ บ่อหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าคือเลือดสดๆ ของจอมเทพเก้าคน และจอมราชันสี่องค์ หากทำการหลอมกลั่นให้เป็นเลือดแก่น มันจะล้ำค่าเช่นใด ไม่แน่นัก หากดื่มเอาเลือดแก่นเช่นนี้เข้าไปแล้ว สามารถลอยขึ้นสวรรค์ได้
“แว้งค์ แว้งค์ แว้งค์” ในขณะนี้ดอกบัวเซียนปรากฎเปลวเพลิงเซียนวูบวาบรุนแรงกว่าเดิมอีก อาศัยพลังที่ลี้ลับมหัศจรรย์และระดับความร้อนที่ได้ที่มากที่สุด ทำการหลอมกลั่นเลือดสดๆ บ่อนั้น
จากเปลวเพลิงเซียนที่ทำการหลอมกลั่นครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เลือดสดๆ ทั้งบ่อหลอมประสานเข้าเป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด จากการหลอมกลั่นครั้งแล้วครั้งเล่า เลือดสดๆ บ่อนี้ถึงกับแผ่รัศมีเป็นสีของอำพันออกมา
“ปุ…” เสียงหนึ่งดังขึ้น ท้ายที่สุด ดอกบัวเซียนได้หายไป เปลวเพลิงเซียนถูกเก็บงำขึ้น เลือดสดๆ บ่อหนึ่งถูกหลอมกลั่นสำเร็จแล้ว
นาทีนี้ เลือดเซียนบ่อนี้ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของสัจธรรม อีกทั้งสัจธรรมดังกล่าวยังมีความโบราณและดั้งเดิม เหมือนว่าสัจธรรมเช่นนี้ไม่เคยมีการเปิดใช้มาก่อน เหมือนหนึ่งเป็นพลังสัจธรรมที่ทรงพลังและเก่าแก่โบราณมากที่สุดของโลกที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้
“แว้งค์…แว้งค์…แว้งค์…” เสียงที่เบามากๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น มองเห็นเลือดเซียนที่ปลดปล่อยประกายเซียนออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยประกายเซียนดังกล่าวความใสและเป็นประกายงดงาม เป็นที่ต้องใจยิ่งนัก โดยปรากฏสัจธรรมที่เป็นแก่นแท้บริสุทธิ์กระโดดโลดเต้นอยู่ท่ามกลางประกายเซียนนี้ เหมือนว่าด้านในนั้นได้แบกรับสัจธรรมเป็นล้านล้านอย่างนั้น
ในเวลานี้ เลือดเซียนบ่อนี้ปรากฏกลิ่นอายขมุกขมัวที่ไม่มีสิ้นสุดตลบอบอวล ภายในระยะเวลาอันสั้น กลิ่นอายขมุกขมัวก็ปกคลุมเต็มพื้นที่และหมื่นอาณาจักร
เลือดเซียนบ่อนี้ได้ส่งกลิ่นหอมจางๆ ออกมา เมื่อผู้คนได้สูดดมกลิ่นหอมที่จางๆ นี้เข้าไป พลันทำให้รู้สึกเหมือนอิ่มอกอิ่มใจตัวเบาหวิว ผู้คนจำนวนมากที่ได้สูดดมกลิ่นหอมนี้แล้ว พลันบัง
เกิดเสียง “แว้งค์” ปรากฏว่าทั่วทั้งร่างของตนถึงกับเปล่งประกายเซียนออกมา จากนั้นเปล่งสุดยอดสัจธรรมออกมา และสัจธรรมของตนก็สอดประสานเข้าด้วยกัน ทำให้ผู้คนจำนวนมากเข้าใจไปเองว่าตัวเองจะได้ลอยขึ้นไปบนสวรรค์แล้ว
“ของดีนะเนี่ย หากได้ดื่มเลือดเซียนนี้เข้าไป ชีวิตนี้ต่อให้ไม่เป็นอมตะก็ต้องได้รับประโยชน์ไม่มีสิ้นสุดตลอดไป” จอมเทพผู้หนึ่งมองดูเลือดเซียนบ่อนี้แล้วถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ และพึมพำออกมา
“ได้ดื่มเลือดเซียนนี้แล้ว ข้าจะได้เป็นจอมราชันใช่หรือไม่” ยอดฝีมือที่มองเห็นเลือดเซียนบ่อนี้จากระยะห่างไกลแล้วถึงกับน้ำลายแทบหก อยากจะดื่มสักอึกให้มันรู้แล้วรู้รอดไปจะได้หรือไม่
“ของดี” แม้แต่จอมราชันเซียนหวังที่ได้เห็นเลือดเซียนบ่อนี้แล้ว ถึงกับปลงอนิจจังและทอดถอนใจออกมา
ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย เมื่อได้เห็นเลือดราชันบ่อนี้แล้ว ก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในโลก เกรงว่าคงยากจะเปรียบเปรยด้วยตัวอักษรถึงความล้ำค่าของมัน
แม้ว่าผู้คนจำนวนมากต่างก็อยากได้มันมาก แม้แต่ระดับจอมเทพก็อดที่จะน้ำลายไหลยืดไม่ได้ จอมราชันเองก็อดที่จะกลืนน้ำลายตลอดเวลา แต่ว่า นาทีนี้เวลานี้ทุกคนทำได้แค่มองดูให้หายอยากเท่นั้นเอง ไม่มีใครกล้าเข้าไปแย่งเลือดเซียนบ่อนี้
กองกำลังนกหวีดน้อยและอัศวินมังกรหลวงก็คือตัวอย่างให้ได้เห็น ถ้าหากในเวลานี้ยังมีผู้ที่ไม่รู้จักคำว่าตายไปแย่งชิงเลือดเซียนบ่อนี้หละก็ ไม่แน่นักพวกเขาอาจจะกลายเป็นเลือดเซียนที่อยู่ในบ่อนี้
“โครม…โครม…โครม…” นาทีนี้เอง หลายๆ แห่งในไกลกันดารพลันปรากฏกลิ่นอายมารรุนแรง จากนั้นตามมาด้วยเสียงดัง “ตูม ตูม ตูม” ที่ดังสนั่นหวั่นไหว กลิ่นอายมารได้ตลบอบอวลท่ามกลางฟ้าดิน ทั่วทั้งไกลกันดารล้วนแล้วแต่ถูกกลิ่นอายมารครอบคลุมเอาไว้
ท่ามกลางความมืด ได้ยินเสียงดัง “ปุ ปุ ปุ” เป็นเสียงที่แผ่วเบามากดังขึ้นมา ผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนที่หลับไหลอยู่ได้ลืมตาทั้งสองขึ้นมาอย่างช้าๆ
ท่ามกลางกลิ่นอายมารที่ดั่งคลื่นทะเลปรากฏร่างเงาที่ใหญ่โตแต่ละคนขึ้นมา แม้ว่าผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนยังคงแอบซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิด แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนเหล่านี้ถูกทำให้ตกใจตื่นขึ้นมาแล้ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนบางคนยังคงมึนงงอยู่ ไม่รู้ว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
“แย่แล้ว…” มีจอมเทพที่รู้สึกผวา สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมากทีเดียว รีบเร่งพาศิษย์ในสำนักถอนตัวทันที
แต่ว่า นาทีนี้กลับสายไปเสียแล้ว “อ๊ากก…” เสียงร้องที่แหลมและเศร้ารันทดดังขึ้น ทันใดนั้น บนท้องฟ้าปรากฏปากขนาดใหญ่ที่พลันอ้าปากกว้างก็กลืนกินยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่ยังคงอยู่ในไกลกันดารเข้าไป “คร๊ากก คร๊ากก” เสียงขบเคี้ยวดังขึ้นเป็นระลอก มองเห็นปากกว้างจัดการเคี้ยวยอดฝีมือที่กลืนเข้าปากจนแหลก แล้วกลืนกระดูกและเลือดลงท้องไปทั้งหมด
“หนี…” มีระดับจอมเทพที่อยู่บนท้องฟ้าของไกลกันดาร เวลานี้ก็ตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง จอมเทพผู้นี้ก้าวข้ามฟ้าดิน ความเร็วนั้นไวจนน่าตกใจ แต่ว่า ปรากฏมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากความมืด “ปัง” จัดการคว้าตัวจอมเทพผู้นี้เอาไว้ และบีบทำลายแนวป้องกันทุกสิ่งบนร่างของจอมเทพผู้นี้
“อ๊ากก…” จอมเทพส่งเสียงร้องที่แหลมและเศร้ารันทด เมื่อถูกมือยักษ์จับฉีกร่างเป็นสองท่อน แล้วโยนไปเคี้ยวในปากเหมือนเคี้ยวหัวผักกาดดังกรอบแกร็บขึ้นมา
“อ๊วกก…” บรรดายอดฝีมือที่อยู่ด้านนอกไกลกันดารเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้วถึงกับคลื่นไส้อาเจียนออกมา
เกรงว่าผู้คนจำนวนมากคงไม่เคยได้เห็นเรื่องที่สยดสยองด้วยการจับระดับจอมเทพกินเป็นๆ เช่นนี้ ช่างเป็นภาพที่ทำให้ผู้คนต้องขนหัวลุกเหลือเกิน
“ตูม ตูม ตูม…” ในเวลานี้ ความมืดได้ปกคลุมทั่วทั้งไกลกันดารอีกครั้ง ท่ามกลางความมืดปรากฎร่างเงาแต่ละคนขึ้นมา ยามที่ร่างเงาแต่ละคนเช่นนี้ปรากฏขึ้นมานั้น เก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินต่างสั่นเทา สรรพสิ่งมีชีวิตล้วนแล้วแต่ตัวสั่นงันงกหมอบคลานอยู่บนพื้น
นาทีนี้ ทุกคนรู้สึกได้ถึงมหันตภัยล้างโลกได้มาถึงแล้วอย่างนั้น เหมือนหนึ่งเป็นวันสิ้นโลกมาถึงแล้ว ทำให้ผู้คนรู้สึกตัวสั่นดั่งลูกนก
“นี่มันมารร้ายจะปรากฏตัวแล้วอย่างนั้นรึ?” ไม่รู้มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกซู่ ผู้คนจำนวนเท่าไรต้องขวัญหนีดีฝ่อ เมื่อมองเห็นความมืดที่ปกคลุมไปทั่วไกลกันดาร
ยามที่ร่างเงาแต่ละคนที่อยู่ในความมืดปรากฏตัวนั้น ลึกลงไปใต้พื้นดินปรากฎดวงตาแต่ละคู่ที่ลืมตาขึ้นมา โดยที่ดวงตาแต่ละคู่ออกเป็นสีแดงเลือด ดวงตาแต่ละคู่ที่พกพาเอาประกายสีเลือดล้วนแล้วแต่จ้องเขม็งไปที่บ่อเลือดเซียนของหลี่ชิเย่อย่างไม่ลดละ
ยามที่ดวงตาแต่ละคู่ที่จ้องเขม็งไปยังบ่อเลือดเซียนนั้น ต่างเผยให้เห็นถึงสายตาที่ละโมบโลภมากอยากได้มากออกมาให้เห็น โดยที่ดวงตาที่มีสีแดงเลือดเหล่านี้ไม่ได้ซ่อนเร้นความโลภจนน้ำลายแทบหกของตนแม้แต่น้อย พวกเขาจ้องมองเขม็งไปที่บ่อเลือดเซียนอย่างไม่คลาดสายตา
บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ในความมืดเหล่านี้เสมือนดั่งเป็นผีดูดเลือดที่ถูกเลือดสดๆ ล่อให้เข้ามา พวกเขาต่างอยากกระโจนเข้ามาให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เพื่อยึดครองเอาบ่อเลือดเซียนไปเป็นของตน
บรรดาผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ล้วนแล้วแต่หลับใหลอยู่ลึกเข้าไปใต้พื้นดินของไกลกันดาร ยากที่จะมีสิ่งใดสามารถทำให้พวกเขาต้องตกใจตื่น แต่ทว่า เลือดเซียนบ่อนี้มีเลือดแก่นของจอมราชันเซียนหวังสี่องค์ และจอมเทพเก้าคน ทั้งยังได้ผ่านวิธีการหลอมกลั่นที่ฝืนลิขิตสวรรค์จากหลี่ชิเย่ เลือดเซียนลักษณะเช่นนี้กล่าวสำหรับ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดที่หิวโซมาเป็นเวลานานจนนับไม่ถ้วนแล้ว มันคือของบำรุงชั้นเลิศ่ แล้วจะไม่ทำให้พวกเขาต้องตกใจตื่นขึ้นมาได้อย่างไร
แต่ว่า ร่างเงาแต่ละสายที่ปรากฏอยู่ในความมืดเหล่านี้เหมือนว่าจะหวั่นเกรงอะไรบางอย่าง พวกเขาไม่กล้าบุกเข้าไป พวกเขาเพียงรั้งอยู่ในถิ่นของตนเอง ไม่กล้าล้ำเส้นแม้แต่ก้าวเดียว
หลี่ชิเย่ที่เผชิญกับภาพเช่นนี้เพียงแค่ยิ้มจางๆ เท่านั้นเอง ยังคงยืนเอ้อระเหยอยู่ตรงนั้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอคอยอย่างเงียบๆ
ผู้ที่อยู่ด้านนอกพื้นที่ไกลกันดารและสามารถมองเห็นภาพนี้ได้ ถึงกับหัวใจร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ร่างเงาแต่ละตนที่อยู่ในความมืดนั้นไม่ต้องพูดก็เป็นที่เข้าใจได้อยู่แล้วว่ามีความแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่ว่า การที่หลี่ชิเย่ตกอยู่ท่ามกลางการจับจ้องของร่างเงาที่อยู่ในความมืดมากมายถึงเพียงนี้ ยังคงเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้
อาศัยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ก็ทำให้ผู้คนต้องเลื่อมใสทั้งกายและใจแล้ว
ขณะที่ทุกคนต่างกำลังกลั้นลมหายใจอยู่นั้น บังเกิดเสียง “ตูม…” ดังสนั่น หลี่ชิเย่ที่ตกอยู่ท่ามกลางการจับจ้องของผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนอยู่นั้น ทันใดนั้น ปรากฏเส้นทางของเซียนหวังสายหนึ่งพาดผ่านฟ้าดินข้ามมายังไกลกันดาร
บนเส้นทางของเซียนหวังดังกล่าว เซียนหวังสี่องค์ร่วมเดินทางมาด้วยกัน พวกเขาล้วนแล้วแต่สวมใส่ชุดยาวที่ปลิวสะบัด ระหว่างเหลียวซ้ายแลขวา ประกายสาดส่องฟ้าดิน ภายใต้ประกายเซียนของพวกเขา ไกลกันดารที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดถูกแผ้วถางจนกลายเป็นเส้นทางสายหนึ่งขึ้นมา
“ซั่วเทียนนำผู้เยาว์สามท่านมาช่วยเหลือท่านปรมาจารย์อีกแรง” ในเวลานี้ เซียนหวังผู้นี้คำรามเสียงยาวออกมา บนเส้นทางเซียนหวังบุรุษผู้หนึ่งที่ดูโบราณเรียบง่ายแต่ดูยิ่งใหญ่ได้ร้องคำรามเสียงยาวสยบฟ้าดินออกมา
“สี่ยอดเซียนหวังซั่วเทียน…” มีผู้ที่ร้องเสียงแหลมขึ้นมา เมื่อมองเห็นเซียนหวังทั้งสี่!
จอมเทพผู้หนึ่งถึงกับกล่าวด้วยความตระหนก เมื่อได้เห็นบุรุษที่โบราณเรียบง่ายแต่มีความยิ่งใหญ่ว่า “เป็นเซียนหวังซั่วเทียน เซียนหวังองค์แรกของร้อยชาติพันธุ์!”
“เซียนหวังทั้งสี่ของพรรคซั่วเทียนร่วมเดินทางมาด้วยกันนะเนี่ย” ผู้ที่สามารถมองเห็นภาพนี้ต่างถูกทำให้หวั่นไหว
พรรคซั่วเทียนได้รับการยกย่องว่าเป็นพรรคที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดของร้อยชาติพันธุ์ในชิงโจว มีระดับเซียนหวังอยู่สี่องค์ ยิ่งเซียนหวังซั่วเทียนปฐมบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งพรรคซั่วเทียนด้วยแล้ว เป็นเซียนหวังองค์แรกของร้อยชาติพันธุ์ในสิบสามทวีป
เซียนหวังซั่วเทียนไม่ได้ปรากฏตัวออกมานานมากแล้ว แต่มาวันนี้ กลับนำพาเซียนหวังอื่นๆ อีกสามองค์ของพรรคซั่วเทียนมาด้วยกัน นับว่าสร้างความสะเทือนหวั่นไหวแก่ผู้คนมากเหลือเกิน
ขณะที่สี่ยอดเซียนหวังของพรรคซั่วเทียนมาถึง ผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนที่อยู่ในความมืดไม่ได้ลงมือขัดขวาง เนื่องจากพวกเขาตระหนักถึงสิ่งใด ทุกคนจึงไม่ได้ลงมือ
“ตูม…” เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เส้นทางจอมราชันสายหนึ่งได้ตัดผ่านเข้ามาท่ามกลางความมืดมิด รถศึกที่กว้างใหญ่ยากมีผู้ใดเทียมคันหนึ่งได้แล่นเข้ามาอย่างช้าๆ บนรถศึกนั้นมีธงศึกที่โบกสะบัดอยู่
ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นสารถีคือบุรุษที่สยบเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ข้างกายของบุรุษผู้นี้เคียงข้างด้วยจอมราชันอีกสามองค์
“ตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังมาแล้ว!” บุรุษผู้ควบคุมรถศึกท่าทีหมางเมินเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน อำนาจเหนือสรรพชีวิต
“ราชันสวรรค์จ้านหวัง!” ระดับจอมเทพของเผ่าสวรรค์ร้องเสียงแหลมออกมาเมื่อได้เห็นบุรุษผู้ควบคุมรถศึกนั่น และกล่าวว่า “สี่ยอดราชันสวรรค์แห่งตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง!”