ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1975 ราชันเซียนหมิ่นตู้
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 1975 ราชันเซียนหมิ่นตู้
พลังความมืดที่มาจากการแตกสลายของผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดแต่ละคนช่างมากมายมหาศาลเหลือเกิน เมื่อบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้เก็บเกี่ยวและกลืนกินพลังความมืดนั้นอย่างบ้าคลั่ง ได้ยินเสียงตูมที่ดังสนั่นหวั่นไหว บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยกลับมามีความมืดที่ดั่งคลื่นยักษ์ขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง พลังของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
พวกของหลี่ชิเย่ไม่สามารถทำการขัดขวางการเก็บเกี่ยวพลังความมืดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้ เนื่องจากบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยคือต้นกำเนิดของความมืด เขาเก็บเกี่ยวในส่วนที่เป็นความมืดของเขาเอง นับว่าเป็นเรื่องที่เขาทำได้ง่ายมาก มันคือพลังต้นกำเนิดของเขาเอง เป็นหลักกฎเกณฑ์ต้นกำเนิดของเขา เว้นแต่จะสังหารบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเสีย มิฉะนั้นหละก็ยากที่จะขัดขวางบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเอาไว้ได้
แย่แล้ว…มีระดับจอมราชันเซียนหวังที่มองเห็นบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยทำการเก็บเกี่ยวความืดอย่างบ้าคลั่งแล้วถึงกับเย็นวาบในใจ ไม่ง่ายนักกว่าพวกของหลี่ชิเย่จะสยบบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเอาไว้ได้ ไม่นึกเลยว่าบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยจะผงาดขึ้นมาได้ และมีโอกาสโต้กลับได้อีกครั้ง
“อาจารย์ ศิษย์มาช้าแล้ว!” พริบตาเดียวนั่นเอง เสียงคำรามเสียงยาวดังขึ้น ปรากฏเรือลำหนึ่งที่แล่นเข้ามา ก้าวข้ามสายน้ำแห่งกาลเวลา แล่นเข้าไปในไกลกันดารทันที
มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนเรือไม้ลำนั้น คนผู้นี้สวมชุดสีขาว ดวงตาทั้งสองดูลึกล้ำยิ่งนัก ที่แปลกประหลาดมากไปกว่านั้นก็คือ คู่ดวงตาของเขาคือตาหยินหยาง ยามที่คู่ดวงตาของเขาลืมตาขึ้นมาเหมือนว่าสามารถส่งผ่านไปยังนรกอเวจีอย่างนั้น เหมือนว่าเขาสามารถโปรดผู้ตายทั้งหมดบนโลกให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ได้อย่างนั้น
คนผู้นี้สวมชุดที่เรียบง่าย แต่ว่ามีกลิ่นอายที่ยากจะหาใดเทียม เขาไม่เพียงมีกลิ่นอายจอมราชันที่ปราศจากผู้ต่อกรเท่านั้น ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ เขาเหมือนมาจากโลกอีกโลกหนึ่ง นอกจากสามารถท่องอยู่บนโลกมนุษย์แล้ว ยังสามารถไปกลับระหว่างนรกอเวจีอีกด้วย
“ราชันเซียนหมิ่นตู้ เป็นราชันเซียนจากเก้าแดนอีกเหมือนกัน” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่จดจำประวัติของเขาได้ ถึงกับร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นคนผู้นี้แล่นเรือผ่านเข้ามา
เสียงปังดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง หลังจากที่ราชันเซียนหมิ่นตู้มาถึงไม่ได้เข้าไปยังส่วนที่ลึกเข้าไปภายในไกลกันดาร แต่กลับจอดอยู่อย่างนั้นและคำรามเสียงยาวว่า เปิด… มือของเขากดทับฟ้าดิน สำแดงสรรพสัจธรรม
เสี้ยววินาทีนั้นเอง ปรากฏสัจธรรมจอมราชันขึ้นมา ตูม ตูม ตูมนาทีนี้สัจธรรมจอมราชันนี้ได้ลากเอาโลกๆ หนึ่งขึ้นมาดื้อๆ หลังจากที่โลกนี้ถูกลากขึ้นมาได้แล้วพลันถูกจับซ้อนลงบนไกลกันดารทันที
โลกๆ นี้มีแค่ความสลัว มันไม่นับเป็นความสว่าง แต่ก็ไม่ใช่ความมืด โลกดังกล่าวนี้ปรากฎร่างเงาของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดินวนเวียนอยู่ มีการหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนของโลกแต่ละแห่ง ท่ามกลางโลกใบนนี้ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะ เย็นยะเยือกและแห้งแล้ง ผู้คนไม่สามารถรู้สึกถึงพลังชีวิตได้
เมื่อโลกลักษณะเช่นนี้ถูกซ้อนทับลงบนไกลกันดารนั้น พลันทำให้ไกลกันดารถูกแยกออกจากกัน และตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยกับพลังความมืดทันที ทำให้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่สามารถเก็บเกี่ยวพลังความมืดจากไกลกันดารได้อีกต่อไป
เมื่อมีการตัดขาดการเก็บเกี่ยวของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยแล้ว ผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนตกใจสุดขีด พวกเขามุดลงใต้พื้นดินส่วนที่ลึกที่สุดในทันที ไม่กล้าโผล่หน้าขึ้นมาอีกเลย เนื่องจากบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่เพียงทำให้พวกเขาต้องบาดเจ็บสาหัส ยังเกือบดูดเอาพลังความมืดของพวกเขาไปจนหมดสิ้น
บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากต่างรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกซู่ เมื่อมองเห็นโลกใบที่ถูกราชันเซียนหมิ่นตู้ลากขึ้นมานั่น เนื่องจากโลกใบนี้แม้จะไม่ใช่โลกแห่งความมืด แต่มันเหมือนเป็นโลกแห่งคนตาย เหมือนว่าทุกคนที่ตายไปแล้วจะส่งตัวให้มาอยู่ที่ตรงนี้ มาอยู่ในโลกที่รกร้างและไม่สามารถเวียนว่ายตายเกิดได้
“นี่คือโลกของอเวจีรึ?” ระดับบรรพบุรุษที่มองเห็นโลกลักษณะเช่นนี้แล้ว อดพึมพำออกมาไม่ได้
ความจริงแล้ว นอกจากตัวของราชันเซียนหมิ่นตู้เองแล้ว เกรงว่าคงไม่มีใครให้คำตอบได้ เนื่องจากโลกใบนี้ของราชันเซียนหมิ่นตู้ไม่มีใครรู้ชัดเจน ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังก็บอกไม่ถูก
ราชันเซียนหมิ่นตู้นับเป็นราชันเซียนที่มีความพิเศษยิ่งองค์หนึ่ง แม้ว่าเขาจะเป็นราชันเซียนที่ขึ้นมาจากเก้าแดน แต่ความจริงแล้วเขาไม่ถือเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ และไม่นับเป็นเผ่าวิญญาณเทพหรือเผ่าใดๆ ที่เป็นของเก้าแดน
ราชันเซียนหมิ่นตู้เสมือนหนึ่งเป็นยมทูตคนหนึ่งอย่างนั้น เหมือนว่าเขาสามารถไปกลับระหว่างโลกมนุษย์และโลกของอเวจี ส่วนที่ว่าราชันเซียนหมิ่นตูสามารถไปกลับระหว่างโลกมนุษย์กับโลกของอเวจีจริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่บุคคลภายนอกไม่สามารถทราบได้
หลังจากที่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยถูกตัดขาดกับความมืดไปแล้วก็ไม่ได้ตกใจแต่อย่างใด และเขาไม่ได้ทดลองเพื่อไปกลืนกินความมืดอีกต่อไป เพียงยิ้มเฉยเมยมองดูราชันเซียนหมิ่นตู้ทีหนึ่ง และกล่าวว่า “น่าสนใจทีเดียว ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนของยุคสมัยนี้ แต่กลับสามารถบรรลุสัจธรรมได้ นับว่าเป็นเส้นทางที่ควรค่าแก่การไปพิสูจน์และศึกษาค้นคว้า”
หลังจากที่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยพูดคำนี้ออกมาคำเดียวแล้ว สายตาของเขาก็ไม่ได้อยู่บนตัวของราชันเซียนหมิ่นตู้อีกเลย เขาจ้องมองไปที่นักปราชญ์ กล่าวเรียบๆ ว่า “สหายเก่า วันนี้นับว่าคึกครื้นเหลือเกิน ยุคสมัยของพวกเราเงียบสงัดมานานมาก สมควรที่จะต้องคึกครื้นกันบ้างแล้ว”
“ความครึกครื้นในครั้งนี้ถือเป็นการส่งเจ้าเดินทาง และส่งข้าเดินทางด้วย” นักปราชญ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“สิ่งนี้หาใช่เรื่องเลวร้ายอะไร” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยหัวเราะและกล่าวว่า “สามารถตายอย่างระเบือลือลั่น ตายอย่างสนุกสนานคึกครื้นอย่างยิ่ง ไม่ว่าผู้ที่มาส่งจะเป็นศัตรูหรือไม่ก็ตาม ย่อมดีกว่าตายไปอย่างโดดเดี่ยวเพียงคนเดียว”
“เช่นนั้นก็เอาชีวิตมาก็แล้วกัน” นักปราชญ์ไม่ได้มีถ้อยวาจามากมาย มองดูบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยด้วยท่าทีเย็นชา เขาเรียบเฉยและเย็นชา เรียกได้ว่าเขากับบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยมีส่วนคล้ายกันมาก แต่ก็มีนิสัยที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ถ้าหากจะกล่าวว่าบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเป็นคนเป็นๆ คนหนึ่งล่ะก็ เช่นนั้นแล้วนักปราชญ์ก็คือหลักกฎเกณฑ์ข้อหนึ่ง แม้ว่าบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก็เป็นผู้ที่ฆ่าล้างจนสิ้นและไร้ซึ่งความปราณี มือทั้งสองของเขาเต็มไปด้วยเลือด ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน ทำให้สรรพสัตว์ในยุคของไกลกันดารไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ตลอดกาล
แต่ทว่าตัวของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยกลับมีความประหลาดเป็นพิเศษ ทั้งที่เขาคือมารร้ายคนหนึ่งชัดๆ เป็นต้นกำเนิดความมืดของยุคสมัยนี้ชัดเจน เขากลับให้ความรู้สึกถึงความเป็นผู้มีอัธยาศัยดีอย่างยิ่ง ผู้คนไม่สามารถรับรู้ถึงความไร้ความปราณีของเขา หากแต่เพียงแค่คบค้าสมาคมกับเขา จะรู้สึกว่าบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเป็นคนที่น่าคบอย่างยิ่งคนหนึ่ง
ขณะที่นักปราชญ์จะแตกต่างกัน ของเขาหลักการก็คือหลักการ เมื่อตัวของเขาปะทุขึ้นมาเมื่อไรก็เหมือนเป็นกระบี่ที่คมกริบมากๆ เล่มหนึ่ง สามารถตัดขาดทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวไม่กล้าเข้าไปใกล้ตัวของเขา
ใช่ว่านักปราชญ์เป็นผู้ที่ทารุณโหดร้ายมาก เพียงแต่เขาได้ทำการฝังหัวใจดวงนั้นของตนเองเป็นๆ ทำให้แลดูเป็นคนที่เย็นชาไร้ความปราณีเป็นพิเศษ เรียกว่านักปราชญ์ย่อมไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ความผูกพัน ซึ่งตัวของนักปราชญ์ก็เป็นเช่นนั้น!
แน่นอน สิ่งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก็คือผู้ที่มีความเมตตาคนหนึ่ง เมื่อถึงคราวต้องกลืนกินสรรพสิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิต ทำการเก็บเกี่ยวในยุคสมัยหนึ่ง เขาก็เย็นชาไร้ความปราณีเช่นกัน เขาจะกระทำโดยไม่มีความลังเลเลยเช่นเดียวกัน
“สหายเก่า เวลานี้ข้าได้ฟื้นคืนพลังมาเรียบร้อย กลับสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง ไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าสามารถสังหารข้าได้” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยหัวเราะและกล่าวขึ้นมา
“เจ้าทดลองดูก็แล้วกัน” นักปราชญ์ยังคงหันกระบี่ชี้ไปที่ต้นกำเนิดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยในเวลานี้ ประกายศักดิ์สิทธิ์ดั่งคลื่นยักษ์
“ข้าเข้าใจ สหายเก่าคิดจะตัดต้นกำเนิดของข้าตลอดมา” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยหัวเราะและกล่าวว่า “แต่ว่า สหายเก่า ใช่ว่าข้าจะไม่มีวิธีรับมือ การตัดสินชี้ขาดระหว่างเจ้ากับข้า สหายเก่า เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ในเมื่อวันนี้สหายเก่ามีผู้ช่วยแล้ว ข้าก็จนด้วยเกล้า ได้แต่ให้สหายเก่าได้เห็นฝีมือของข้าแล้วหละ สหายเก่า บางทีอาจสมควรแก่เวลาที่พวกเราจะกล่าวคำอำลากันแล้ว”
“สหายเก่า ลาก่อน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม การที่สามารถมีศัตรูอย่างเจ้า ทำให้ชีวิตที่มืดดำของข้าไม่น่าเบื่อ เจ้าคือศัตรูผู้หนึ่งที่ทำให้ข้าเลื่อมใสศรัทธา” ในขณะนี้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยดูจริงจังยิ่งนจัก มองดูนักปราชญ์ด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง สุดท้าย ได้กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “สหายเก่า ลาจากชั่วนิรันดร์แล้ว”
ปุ…นาทีนี้ร่างของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเกิดการระเบิดขึ้นมา ไม่เพียงแต่ร่างของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่ระเบิดไปทั้งร่าง แม้กระทั่งต้นกำเนิดของเขาก็ระเบิดไปด้วย
เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ นับเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดคิดของนักปราชญ์โดยสิ้นเชิง แววตาที่เย็นชาไร้ความรู้สึกของเขาถึงกับเต้นกระตุกทีหนึ่ง
การที่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยทำการระเบิดตัวเองอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกตระหนกตกใจ การระเบิดต้นกำเนิดของตนเท่ากับเป็นการรนหาที่ตายเอง นี่คือการทำลายตนเองนะเนี่ย
แต่ว่า หลังจากที่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยระเบิดตัวเองแล้ว เขาไม่ได้มีอานุภาพที่สะเทือนฟ้าระเบิดตามมาด้วย เขาได้กลายเป็นความมืดที่ระเอียดอ่อนมาก โดยความมืดที่มีความละเอียดอ่อนยิ่งนักเหล่านี้ได้ไหลรินอยู่ตรงนั้นอย่างช้าๆ
ความมืดที่มีความละเอียดอ่อนยิ่งไม่ได้ไหลรินอยู่ในช่องว่าง แต่ไหลรินอยู่ท่ามกลางเวลา เริ่มตั้งแต่ยุคสมัยของไกลกันดารนี้เป็นต้นไป ไหลรินอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา มองดูแล้วจังหวะการไหลรินของมันช้ามาก แต่ความจริงแล้วรวดเร็วมาก บรรดาความมืดที่มีความละเอียดอ่อนเหล่านี้ได้ไหลข้ามไปยุคแล้วยุคเล่าในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ไหลรินอยู่ท่ามกลางยุคสมัยแต่ละยุคของยุคสมัยไกลกันดาร
สุดท้าย บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้หายไปแล้ว แต่ทว่า ความมืดที่มีความละเอียดอ่อนยิ่งนักกลับหลอมรวมเข้ากับยุคสมัยของไกลกันดาร เดิมวันเวลาที่ไหลรินอยู่นั้นส่งประกายระยิบระยับ แต่ว่า บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยในเวลานี้ได้หลอมรวมเข้าไปในยุคสมัยนี้อย่างสิ้นเชิง ทำให้วันเวลาของยุคสมัยกลายเป็นความมืดยิ่งสุดเปรียบเปรย ดำมืดจนกระทั่งวันเวลายังดำมืดดั่งน้ำหมึก
“สหายเก่า แม้ว่าข้าไม่อยู่แล้ว แต่ข้าจะอยู่คู่กับยุคสมัยของพวกเราเป็นนิรันดร์” เสียงของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยดังก้องสะท้อนอยู่ท่ามกลางยุคสมัยนี้ เหมือนว่าเสียงนี้ได้จากยุคสมัยที่ยาวไกล ยาวไกลมากๆ
แม้ว่าบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยจะทำลายต้นกำเนิดของตนเอง แต่ว่า เขากลับหลอมรวมกเข้ากับยุคสมัยของไกลกันดาร เมื่อเป็นดังนี้ การที่นักปราชญ์คิดจะทำลายเขาอย่างแท้จริงก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
“เจ้าสมควรจากไปได้แล้ว” ในเวลานี้นักปราชญ์ได้มองดูหลี่ชิเย่ที่มาจากอนาคต และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ
ร่างในอนาคตของหลี่ชิเย่มองดูนักปราชญ์ พยักหน้าและกล่าวว่า “ลาก่อน สหายของข้า ได้เวลาสิ้นสุดกันแล้ว” ขาดคำได้ทอดถอนใจเบาๆ ออกมา
หลังจากพูดจบแล้ว ร่างในอนาคตของหลี่ชิเย่หันหลังจากไป ก้าวไปตามสายน้ำแห่งกาลเวลา เขาไม่ได้กลับไปยังไกลกันดาร เขาเพียงก้าวเดินไปข้างหน้าไปตามสายน้ำแห่งกาลเวลาเรื่อยๆ สุดท้าย หายไปท่ามกลางปลายทางที่ไม่มีขอบเขตสิ้นสุด เขาได้กลับไปยังอนาคต
“สมควรจบสิ้นได้แล้ว” ในขณะนี้ดวงตาทั้งสองของนักปราชญ์ดูแหลมคมยิ่งนัก ประกายศักดิ์สิทธิ์กลับกลายเป็นสว่างดั่งหิมะ
ตูม…เสียงหนึ่งดังขึ้น นาทีนี้ร่างของนักปราชญ์เกิดการลุกไหม้ขึ้นมา ไม่เพียงแต่ร่างกายของเขาเท่านั้น แม้แต่ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็ลุกไหม้ขึ้นมา อีกทั้งดูสว่างมากขึ้น และลุกไหม้รุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ตูม ตูม ตูม…ในเวลานี้ สายน้ำแห่งกาลเวลาทั้งสายเกิดการสั่นไหวโคลงเคลงขึ้นมาทีหนึ่ง แสงสว่างจากประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ้นสุดลุกไหม้อย่างรุนแรงได้ส่องสว่างสายน้ำแห่งกาลเวลาตลอดทั้งสาย จากประกายศักดิ์สิทธิ์ลักษณะเช่นนี้ได้ส่องสว่างอดีต ส่องสว่างปัจจุบัน และส่องสว่างอนาคตอีกด้วย
นาทีนี้ ประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกไหม้ได้ขับไล่ความมืดจนกระเจิง ไม่ว่าจะเป็นมุมใดๆ ของสายน้ำแห่งกาลเวลาล้วนแล้วแต่ได้รับการส่องสว่างจากประกายศักดิ์สิทธิ์อย่างเสมอภาค แม้ว่าในโลกนี้ยังคงมีความมืดอยู่ แต่ประกายศักดิ์สิทธิ์คงอยู่นิรันดร์ มันจะไม่มีวันหายไปตลอดกาล ต่อให้อยู่ท่ามกลางกาลเวลาที่มืดมิดกว่านี้ ประกายศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงอยู่
นาทีนี้ เสมือนหนึ่งประกายศักดิ์สิทธิ์ได้ไหลรินไปตามวันเวลาอย่างนั้น มันส่งผลกระทบต่อสรรพสิ่งมีชีวิตยุคแล้วยุคเล่า