ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1982 ประกายศักดิ์สิทธิ์ไม่มีวันดับตลอดกาล
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 1982 ประกายศักดิ์สิทธิ์ไม่มีวันดับตลอดกาล
นอกเหนือจากชิงโจวแล้วทวีปอีกสิบสองทวีปห่างไกลกันมาก จอมราชันเซียนหวังระดับล่างไม่สามารถก้าวข้ามระหว่างทวีปมองเห็นการศึกในครั้งนี้ได้ ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังระดกับสูงก็มองเห็นได้แค่เลือนลางเท่านั้นเอง
แต่ว่าพลังจากศึกสงครามระดับนี้สะเทือนหวั่นไหวไปทั่วทั้งสิบสามทวีป ด้วยพลังระดับเช่นนี้ จอมราชันเซียนหวังของสิบสามทวีปไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน
ต่อให้จอมราชันเซียนหวังของทวีปอื่นๆ ไม่สามารถเข้าใจอย่างละเอียดว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่สามารถคำนวณคาดการณ์ได้ในระดับหนึ่ง
เวลานี้หัวใจศักดิ์สิทธิ์ได้เต้นอยู่บนสายน้ำแห่งกาลเวลา ยิ่งส่งผลให้จอมราชันเซียนหวังของสิบสามทวีปรับรู้ถึงพลังที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งซึ่งทำให้เกิดการกระเพื่อมไปทั่วทั้งยุคสมัย
ปัง ปัง ปังครั้นหัวใจศักดิ์สิทธิ์เต้นอย่างมีจังหวะเช่นนี้ ภายในส่วนลึกของจิตใจบรรดาสรรพสิ่งมีชีวิตบนสายน้ำแห่งกาลเวลาล้วนแล้วแต่บังเกิดจังหวะการเต้นเช่นนี้ดังขึ้น และประสานเสียงเข้าด้วยกัน
เสียงตูม…ดังสนั่นขึ้นมา สุดท้าย หัวใจศักดิ์สิทธิ์ที่เต้นอยู่เดิมพลันระเบิดขึ้นมากะทันหัน ประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ้นสุดพลันระเบิดขึ้นมาในพริบตา ความสว่างของประกายศักดิ์สิทธิ์พลันเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง มันส่องสว่างไปทั่วทั้งสายน้ำแห่งกาลเวลา ด้วยขนาดความสว่างที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้เสมือนหนึ่งได้ส่องสว่างไปทั่วทุกมุมของสายน้ำแห่งกาลเวลาในชั่วพริบตาเดียว ขณะที่ความสว่างขนาดนี้สว่างไปทั่วสายน้ำแห่งกาลเวลาทั้งสายนั้น ทำให้ความมืดปราศจากที่ที่จะหลบซ่อนตัว มันส่องสว่างไปยังความมืดที่อยู่ทุกมุมบนสายน้ำแห่งกาลเวลา
ดังนัน นาทีนี้ประกายศักดิ์สิทธิ์ไม่เพียงส่องสว่างเข้าไปในจิตใจของสรรพสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน มันไม่เพียงส่องสว่างเข้าไปในความมืด นำพาความหวังให้กับสรรพสิ่งมีชีวิตที่สิ้นหวังเท่านั้น ขณะเดียวกัน ยามที่ประกายศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างเข้าไปยังความมืดนั้น ทำให้สรรพสิ่งมีชีวิตในความมืดถึงกับหวาดหวั่นพรั่นพรึง
เสียงฮึ…เสียงหนึ่งดังขึ้น ขณะที่ประกายศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างท่ามกลางความมืดนั้น มีผู้ยิ่งใหญ่รู้สึกตกใจประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา ได้ส่งเสียงฮึดูแคลนคำหนึ่งแต่ไม่กล้าปรากฏตัว ได้หลบหนีไปยังความมืดที่อยู่ลึกมากขึ้น ฝังตัวเองให้ลึกมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก
สำหรับบรรดาจอมราชันเซียนหวังจำนวนไม่น้อยในสิบสามทวีปก็ได้แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ยิ่งกว่านั้น จอมราชันเซียนหวังที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าจะไล่ติดตามขึ้นไปยังสายน้ำแห่งกาลเวลา เฝ้ามองดูยุคสมัยของไกลกันดาร มองดูการระเบิดของประกายศักดิ์สิทธิ์ ส่องสว่างยุคสมัยแล้วยุคสมัยเล่า ทำให้จอมราชันเซียนหวังถึงกับสะเทือนหวั่นไหวภายในใจ
ความยิ่งใหญ่ของนักปราชญ์ ทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็ตามต้องลุกขึ้นแสดงความเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้ง เขาไม่เพียงต่อต้านความมืดอย่างแข็งขันในยุคสมัยของตน พยายามนำพามาซึ่งแสงสว่างให้กับยุคสมัยของตน พยายามเฝ้าปกป้องยุคสมัยของตนด้วยความยากลำบาก ในวินาทีสุดท้าย เขาถึงกับจุดติดตนเอง ให้ประกายศักดิ์สิทธิ์ของตนส่องสว่างสายน้ำแห่งกาลเวลา ส่องสว่างความมืด จุดติดความสว่างที่อยู่ภายในจิตใจของคนทุกคน นำมาซึ่งความหวังให้กับผู้คน
ไม่รู้ว่ามีจอมราชันเซียนหวังจำนวนเท่าไรที่รู้สึกสะเทือนหวั่นไหวกับการระเบิดของประกายศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น จอมราชันลึกลับที่กุมอำนาจขณะเฝ้ามองไปตามสายน้ำแห่งกาลเวลาอยู่นั้นถึงกับเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “จุดไฟเผาไหม้นักปราชญ์ ลงทุนสูงมาก หวังว่าสามารถเตือนใจผู้มาทีหลังก็แล้วกัน”
ขณะที่ประกายศักดิ์สิทธิ์ระเบิดส่องสว่างสายน้ำแห่งกาลเวลานั้น บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ในความมืดล้วนแล้วแต่ไม่กล้าเสนอหน้าออกมา ล้วนแล้วแต่หลบหนีไปยังความมืดที่อยู่ลึกยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก พวกเขาไม่ต้องการแหงนมองประกายศักดิ์สิทธิ์
หลังจากที่ประกายศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างสายน้ำแห่งกาลเวลาอยู่นานมากแล้ว สุดท้ายได้จางหายไป หัวใจศักดิ์สิทธิ์ทั้งดวงที่ระเบิดขึ้นก็คล้ายดั่งเป็นดอกไม้ไฟที่ถูกจุดขึ้นยามดึกดื่น งดงามเจิดจ้า แต่แวบขึ้นมาแล้วก็หายไป หลังจากที่ประกายศักดิ์สิทธิ์จางหายไปแล้ว สายน้ำแห่งกาลเวลายังคงไหลรินเงียบๆ เหมือนเดิม
แม้แต่ยุคสมัยไกลกันดารก็ยังคงปราศจากซุ่มเสียงใดๆ วันเวลายังคงส่งประกายแวบวับ ความมืดไม่ได้กลืนกินมัน ประกายศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่ได้ครอบคลุมมัน เวลายังคงเป็นเวลา มันเป็นส่วนของยุคสมัยไกลกันดาร ไม่ได้เป็นของความมืด และไม่ได้เป็นของความสว่าง
การที่ได้มองเห็นเวลาของยุคสมัยไกลกันดารที่ส่งประกายแวบวับเงียบๆ ไม่รู้ว่าได้ทำให้จอมราชันเซียนหวังจำนวนเท่าไรที่ต้องลุกขึ้นแสดงความเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้ง เป็นนักปราชญ์ที่เอาชนะยุคสมัยไกลกันดาร แต่ทว่า เขาไม่ได้ไปควบคุมเวลาของยุคสมัยนี้ ท้ายที่สุดเขาเพียงเผาไหม้ตัวเองและส่องสว่างสายน้ำแห่งกาลเวลา เขาไม่ได้ให้ตัวเองหลอมรวมเข้าไปอยู่ในยุคสมัยของไกลกันดาร ไม่ได้ให้ตัวเองหยุดอยู่ตลอดกาลท่ามกลางเวลาของยุคสมัยนี้ ไม่ได้ยึดครองเวลาของยุคสมัยนี้มาเป็นของตน
สุดท้ายแล้ว นักปราชญ์ยังคงมอบเวลาคืนกลับให้กับไกลกันดาร แม้ว่ายุคสมัยของไกลกันดารไม่คงอยู่อีกต่อไปแล้ว แต่ว่า นักปราชญ์ยังคงไม่ได้ไปยึดครองเศษเสี้ยวของเวลาส่วนที่เหลือเอาไว้ เนื่องจากเวลาส่วนนี้ถือเป็นของไกลกันดาร เป็นของสรรพสิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิต ไม่ได้เป็นของของเขา และไม่ได้เป็นของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย จะเป็นประกายศักดิ์สิทธิ์พวกเขาก็ดี ความมืดก็ช่าง ล้วนแล้วแต่ไม่สมควรยึดครองเวลาของไกลกันดาร ดังนั้น นักปราชญ์จึงได้เผาไหม้ตัวเอง เพื่อคืนเวลาดังกล่าวให้กับไกลกันดาร
สิ่งนี้เป็นความใจกว้างที่ยอดเยี่ยมมาก ในโลกนี้จะมีสักกี่คนสามารถทำได้เล่า การให้ที่ไม่เห็นแก่ตัวและไม่มีคำว่าเสียใจ สมแล้วที่รับฉายาว่านักปราชญ์
“ผู้เป็นปราชญ์ได้ตายจาก แต่คงอยู่ในใจตลอดกาล” หลี่ชิเย่ลุกขึ้นแสดงความเคารพเลื่อมใสศรัทธาและโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง และกล่าวด้วยความเคารพ มองดูประกายศักดิ์สิทธิ์ที่จางหายไปในที่สุด
พวกของราชันเซียนฉานหลงก็ทยอยกันแสดงออกด้วยความเคารพอย่างสูง ท่าทีหนักแน่นจริงจัง ต่างโค้งคำนับให้กับเวลาที่อยู่ไกลโพ้น เพื่อแสดงความเคารพต่อนักปราชญ์
บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้ตายไปแล้ว ไกลกันดารดูเงียบสงัดยิ่งนัก แต่ทว่า ท่ามกลางความเงียบสงัดกลับมีความสงบที่หาได้ยากยิ่ง ท่ามกลางโลกลักษณะเช่นนี้ไม่ได้ยินเสียงร้องด้วยความโศกเศร้าที่วนเวียนอยู่ตรงนี้ไม่สามารถไปไหนได้ตลอดกาล ทั่วทั้งไกลกันดารไม่มีความมืดที่ปกคลุม แม้ว่าทั่วทั้งไกลกันดารยังคงมีความเงียบงันเป็นหลัก แต่ ท้ายที่สุดแล้ว บางทีอาจจะได้ให้การต้อนรับความมีชีวิตชีวาสักวัน
นักปราชญ์ก็ได้ตายไปแล้ว ประกายศักดิ์สิทธิ์ไม่คงอยู่ต่อไป แต่มันกลับคงอยู่ในใจของผู้คนตลอดไป
บางทีบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยพูดถูก ความมืดเป็นนิรันดร์ บนโลกไม่มีที่ใดที่ไม่มีความมืด แต่ประกายศักดิ์สิทธิ์ไหนเลยจะไม่คงอยู่ทุกที่กันเล่า
สุดท้าย หลังจากผ่านไปนานมาก หลี่ชิเย่และพวกของราชันเซียนฉานหลงจึงได้ยืนตัวตรง มองดูแท่นบูชาที่อยู่ตรงหน้า หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “สังหารความมืดแล้ว ก็ได้เวลาที่พวกเราได้รับดอกผลกันแล้ว”
ต่อให้มีฐานะเป็นถึงระดับจอมราชันเซียนหวังเฉกเช่นพวกของราชันสวรรค์จ้านหวังต่างเผยรอยยิ้มที่เบิกบานใจออกมา เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ สิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความโลภ ต้องมีการให้จึงจะได้ดอกผลกลับมา พวกเขาได้ผ่านการต่อสู้ชนิดความเป็นความตายมา ก็สมควรได้รับค่าตอบแทนที่สูงจึงถูก จะอย่างไรเสียหากไม่มีผลตอบแทน จะมีใครเล่าที่ยอมเสี่ยงชีวิตเข้าต่อสู้กันเล่า ซึ่งเป็นเรื่องปรกติของมนุษย์ จะอย่างไรเสียบนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่สามารถกลายเป็นนักปราชญ์ได้อย่างแท้จริง
แม้ว่าทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าในคลังสมบัติของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้เก็บสิ่งใดเอาไว้ แต่ทว่า ด้วยศักยภาพของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยแล้ว สามารถจินตนาการได้แน่นอนว่าธาตุแท้ภายในที่อยู่ในคลังสมบัติจะมากมายและสะเทือนฟ้าเช่นใด
แม้แต่พวกของราชันเซียนฉานหลงที่เป็นระดับจอมราชันเซียนหวังที่ผ่านอุปสรรคมานับไม่ถ้วน เคยเห็นสมบัติเซียนล้ำค่าของวิเศษประหลาดมานับไม่ถ้วน แต่ว่า คลังสมบัติของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยยังคงคุ้มค่าแก่การเฝ้ารอคอยของพวกเขา
บรรดาจอมราชันเซียนหวังที่ชมการต่อสู้ต่างถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อมองเห็นพวกของหลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่บนแท่นบูชาในขณะนี้ บางทีเวลานี้อาจมีจอมราชันเซียนหวังที่รู้สึกเสียใจภายหลังอยู่ในใจมากบ้างน้อยบางต่างกันไป หากแสดงเจตจำนงรับใช้หลี่ชิเย่แต่แรก ยินดีติดตามเขาต้อสู้ให้ถึงที่สุด งานเลี้ยงที่หรูหรานี้ตนเองก็มีส่วนร่วมด้วย
แม้ว่าทุกคนต่างรู้อยู่แล้วว่า คลังสมบัตินี้สะเทือนฟ้ายิ่งนัก เป็นที่ต้องการของผู้คนอย่างยิ่ง แต่ว่า บรรดาจอมราชันเซียนหวังที่ดูชมการต่อสู้ล้วนแล้วแต่ไม่กล้าคิดมิดีมิร้ายกับคลังสมบัตินี้ อย่างมากพวกเขาก็ได้แต่คิดฝันเท่านั้นเอง
ด้วยสถานการณ์การร่วมมือของจอมราชันเซียนหวังถึงยี่สิบองค์ เป็นการเปิดศักราชความร่วมมือระหว่างเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร เผ่าเทพทั้งสามเผ่า กับร้อยชาติพันธุ์ ทั้งยังมีหลี่ชิเย่เป็นผู้ควบคุม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แล้ว หากใครคิดแตะต้องคลังสมบัตินี้ล่ะก็ ไม่แน่นักอาจถูกล้างตระกูลเลยก็เป็นได้!
“เอาหละ พวกเราควรจะเข้าไปดูได้แล้ว การสั่งสมมาตลอดทั้งยุคสมัยของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย คงเพียงพอสำหรับให้พวกเราได้แบ่งปันกันแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบๆ ขณะยืนอยู่บนแท่นบูชา
บรรดาจอมราชันเซียนหวังก็ได้เผยรอยยิ้มออกมา เรื่องเช่นนี้ไม่มีอะไรต้องแสแสร้างแกล้งทำให้ดูแตกต่างจากผู้อื่น ควรดีใจก็ควรแสดงออกมา นี่คือสิ่งตอบแทนจากความเหนื่อยยากของพวกเขา
แว้งค์ แว้งค์ แว้งค์เสียงสั่นเทาแต่ละเสียงที่ดังขึ้น หลี่ชิเย่ควบคุมกุญแจที่กลั่นมาจากเลือดชะตาแท้ของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเปิดแท่นบูชาออกมา
ใต้แท่นบูชานี้ก็คือรังของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย รังแบบนี้อาศัยพลังจากภายนอกไม่สามารถเปิดออกได้ จะอย่างไรเสียอาศัยศักยภาพของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่สร้างรังนี้ขึ้นด้วยมือของเขาเอง ย่อมสามารถจินตนาการได้โดยสิ้นเชิงว่า ต่อให้จอมราชันเซียนหวังที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ ก็ไม่สามารถอาศัยพลังตีรังของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยให้แตกได้
ดังนั้น หากคิดจะเปิดรังของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยออกมา ยังคงต้องอาศัยเลือดชะตาแท้ของเขา สิ่งนี่แหละจึงเป็นกุญแจใช้ไขเข้าไปยังรังของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย ขอเพียงได้ครอบครองมัน ก็สามารถเปิดคลังสมบัติทุกๆ แห่งภายในรังของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยออกมาได้
เอี๊ยด…เอี๊ยด…เอี๊ยด…เสียงของสิ่งที่หนักอึ้งดังขึ้น เมื่อพวกของหลี่ชิเย่ลึกเข้าไปยังด้านในของแท่นบูชานั้น ได้ก้าวข้ามประตูแต่ละแห่ง มีประตูที่ถูกคล้องด้วยวงแหวนศักดิ์สิทธิ์เป็นพันวง และมีทางเดินที่มีฟันเฟืองนับล้านสลับกันไปมา ยิ่งกว่านั้นยังมีทางผ่านที่น้ำท่วมถึงและอยู่ในร่องน้ำลึก…
ประตูแต่ละประตู สิ่งกีดขวางแต่ละอย่าง ล้วนแล้วแต่สามารถทำให้ผู้ดำรงอยู่ในฐานะแข็งแกร่งที่สุดในโลกไม่สามารถเข้าไปได้ กระทั่งอาจจะถูกประตูแต่ละประตู หรือสิ่งกีดขวางแต่ละแห่งสังหารก็เป็นได้
สุดท้าย หลี่ชิเย่และบรรดาเหล่าจอมราชันเซียนหวังก็ได้ผ่านประตูและสิ่งกีดขวางไปได้ทั้งหมด เข้าไปถึงรังของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้ในที่สุด
เมื่อมายืนอยู่ ณ ตรงนี้แล้ว แทนที่บอกว่ามันคือรังบอกว่ามันคือโลกๆ หนึ่งจะเหมาะกว่า เป็นโลกสำหรับบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยโดยเฉพาะคลังสมบัติตรงนี้ อาศัยคำว่า “คลัง” ไม่เพียงพอที่จะเปรียบเปรยถึงความยิ่งใหญ่ของมันได้ กล่าวได้ว่า ในโลกนี้ไม่มีคลังสมบัติใดๆ สามารถจุของวิเศษมากมายมหาศาลเหล่านี้ได้
แม้แต่พวกของราชันเซียนฉานหลงที่เป็นระดับจอมราชันเซียนหวังเหล่านี้เมื่อได้เห็นโลกที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ถึงกับรู้สึกใจหายใจคว่ำอย่างลับๆ ต่อให้ระดับจอมราชันเซียนหวังเช่นพวกเขา ชั่วชีวิตก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสั่งสมของวิเศษได้มากมายถึงเพียงนี้ ไม่สามารถมีทรัพย์สมบัติได้มากมายถึงขนาดนี้
กล่าวได้อย่างไม่เป็นการโอ้อวดได้ว่า คลังสมบัติของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยต้องมากกว่าของวิเศษที่จอมราชันเซียนหวังใดๆ ได้สั่งสมมาชั่วชีวิตหลายเท่าตัว กระทั่งกล่าวได้ว่า บรรดาของวิเศษในคลังของเหล่าจอมราชันเซียนหวังที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดเอามากองรวมกัน ก็ไม่สามารถเทียบได้กับของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย
ครั้งนั้น หลี่ชิเย่ได้ทำลายพรรคเซียนเหิน พรรคเซียนเหินในฐานะที่เป็นหนึ่งสำนักห้าราชัน ธาตุแท้ภายในของพวกเขานับว่าน่าตกใจ ของวิเศษที่มีอยู่ก็มีเป็นจำนวนมาก
แต่ทว่า ถ้าหากหันมามองดูคลังสมบัติของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยแล้ว ก็จะพบว่าคลังสมบัติของพรรคเซียนเหินช่างขี้ริ้วขี้เหร่เหลือเกิน กระทั่งกล่าวได้ว่า แค่คลังสมบัติมุมใดมุมหนึ่งของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก็สามารถทำให้คลังสมบัติของพรรคเซียนเหินต้องบอกว่ายังห่างไกลอีกมากทีเดียว
“ในฐานะผู้บงการมาหนึ่งยุคสมัย สมควรแล้วที่ได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าทั้งยุคเอาไว้” แม้แต่พวกที่ดำรงอยู่ในฐานะเช่นราชันสวรรค์จ้านหวังก็ต้องทอดถอนใจออกมา
พวกเขาที่เป็นถึงระดับจอมราชันเซียนหวังก็ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ และไม่มีอะไรต้องไปเหนียมอาย พูดได้อย่างไม่อายเลยว่า สมบัติมากมายที่อยู่ตรงหน้า ชั่วชีวิตของพวกเขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในฐานะจอมราชันเซียนหวังแล้วก็ตาม ก็ไม่เคยได้พบเห็นของวิเศษที่สะเทือนฟ้ามากมายได้ถึงเพียงนี้!