ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1990 ภาระหน้าที่รับผิดชอบของจอมราชัน
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 1990 ภาระหน้าที่รับผิดชอบของจอมราชัน
เหล่ามอนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่กับคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ สมควรทราบว่าราชันซื่อตี้นั้นคือจอมราชันผู้มีชะตาฟ้าถึงสิบสองสาย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีชุดตัวอ่อนเซียนแท้จริงอยู่ในครอบครองอีกด้วย
บนโลกนี้ไม่มีใครรู้ละเอียดว่าราชันซื่อตี้มีความแข็งแกร่งเพียงใด แต่ หากว่ามีการคัดเลือกจอมราชันที่แข็งแกร่งทีสุดในสิบสามทวีปล่ะก็ เช่นนั้นแล้วราชันซื่อตี้จะต้องเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นอย่างแน่นอน
ถ้าหากแม้แต่ราชันซื่อตี้ยังถูกบีบจนไม่เป็นตัวของตัวเองได้ มันช่างเป็นพลังที่น่ากลัวเพียงใดที่บงการสถานการณ์ทั้งมวลเอาไว้
สุดท้ายแล้วเหล่ามอได้กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “แม้จะกล่าวว่าข้านั้นมีชาติกำเนิดมาจากเผ่าเทพ แต่ว่า หากว่ากันด้วยเรื่องของจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรแล้ว เกรงว่าในเผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์สามเผ่าคงยากจะหาผู้ใดเทียบเคียงกับราชันซื่อตี้ได้ อย่างน้อยที่สุดในบรรดาจอมราชันที่ข้าเคยเห็นเป็นเช่นนั้น ดังนั้น ข้าจึงเชื่อว่าไม่ว่าความมืดจะเข้าโจมตีครอบคลุมสิบสามทวีปอย่างไรในอนาคตก็ตาม ข้าคิดว่าราชันซื่อตี้จะต้องรักษาจุดยืนของตนเอาไว้ได้อย่างมั่นคง เขาสามารถทำเพื่อความสุขของสิบสามทวีปได้”
เหล่ามอยังคงเชื่อมั่นในราชันซื่อตี้ แม้จะรู้ว่าหลี่ชิเย่กับราชันซื่อตี้เป็นศัตรูกันมาทุกยุคทุกสมัย ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมให้แก่กัน แต่ทว่า เขายังคงพูดในสิ่งที่ใจของตนเองต้องการจะพูดโดยไม่สะทกสะท้าน พูดคำพูดที่เป็นธรรมออกมาเช่นนี้
“หวังว่าเป็นเช่นนั้นเถอะ”หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของเหล่ามอ
“ท่านปรมาจารย์จะไปที่ใดรึ?” เหล่ามอเงยหน้าขึ้นมองหลี่ชิเย่ และกล่าวด้วยความจริงใจว่า “ท่านปรมาจารย์หวังจะส่งสัญญาณออกไป เพื่อรวบรวมจอมราชันเซียนหวังก้าวสู่การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายรึ?” ครั้งนั้น พวกของราชันเซียนหญิงฉวี่เจินได้ก้าวสู่การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายแล้วไม่มีผลใดๆ เกิดขึ้น ทำให้เกิดความเงียบสงัดในสิบสามทวีปขึ้นมาอีกครั้ง ไม่มีจอมราชันเซียนหวังหยิบยกเรื่องการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายขึ้นมาพูดถึงกันอีกเลย ต่อให้เป็นราชันซื่อตี้ และหรือราชันเชอะตี้ที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายอยู่ในครอบครองก็ตาม ล้วนแล้วแต่ ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายอีกเลย
“การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายต้องเกิดขึ้นแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “นี่คือการศึกที่ไม่มีสิ่งใดมาเทียบเคียงได้ กล่าวสำหรับผู้ใดก็ตาม มันคือการศึกที่ยากลำบากมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต หากไม่มีการเตรียมตัวให้พร้อมอย่างเต็มที่ ใครหละจะกล้าพูดออกมาว่าจะเป็นผู้ริเริ่มให้มีการก้าวสู่การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายขึ้นมา!”
ในยุคสมัยนี้ การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายได้เกิดขึ้นมาแล้วเพียงหกครั้งเท่านั้น จอมราชันเซียนหวังที่มีความปราดเปรื่องน่าทึ่งมากมายเท่าไร ปรัชญาเมธีที่ปราศจากผู้ต่อกรจำนวนเท่าไรที่ก้าวสู่เส้นทางสายนี้แล้วก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย
“ก็ใช่” เหล่ามอพยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “หลังจากที่พวกของราชันเซียนฉวี่เจินได้ส่งสัญญาณการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว บรรดาจอมราชันเซียนหวังล้วนแล้วแต่ผ่านการตระเตรียมการมาอย่างเพียงพอแล้วจึงได้ก้าวสู่การเส้นทางปราบปรามกัน”
“นั่นเป็นเพียงช่วงเวลาที่บรรดาเหล่าราชันฝึกการทำงานร่วมกันให้มีความกระชับเท่านั้น” หลี่ชิเย่กล่าวว่า “ความจริงแล้ว ระยะเวลาในการเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายนั้น ใช้เวลายาวนานกว่าที่จินตนาการเอาไว้มากทีเดียว ที่ฉวี่เจินริเริ่มให้มีการการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายก็ไม่ได้เป็นความคิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ความจริงแล้ว นางมีแนวความคิดเช่นนี้ตั้งแต่ก่อนที่ราชันเซียนหมิงเหรินได้เป็นผู้ริเริ่มให้มีก้าวสู่การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายครั้งที่ห้า เพียงแต่ระยะเวลาเตรียมตัวยังไม่สุกงอม การเตรียมการยังไม่เพียงพอ สุดท้าย จึงให้ราชันเซียนหมิงเหรินที่เตรียมตัวมาพร้อมกว่า เป็นผู้จัดให้มีการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายครั้งที่ห้าขึ้น!”
เหล่ามอพยักหน้า แม้ว่าเขาไม่เคยเข้าร่วมการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้าย แต่เขาก็รู้ถึงความยากลำบากของการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้าย จอมราชันเซียนหวังทุกองค์จะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว มันเป็นสงครามที่กินเวลายาวนานมาก อีกทั้งเส้นทางสายนี้ไม่เคยหยุดนิ่งมาก่อน
เริ่มตั้งแต่การริเริ่มจัดให้มีการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายครั้งแรกที่ไม่สามารถไล่เรียงได้ว่าใครเป็นผู้ริเริ่มขึ้น หลังจากนั้นมาในยุคของราชันสวรรค์หุ้นยวนที่เป็นผู้ริเริ่มขึ้นเป็นครั้งที่สอง
ในขณะที่ราชันสวรรค์หุ้นหยวนจัดให้มีการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายเป็นครั้งที่สองขึ้นมานั้น ในเวลานั้นยุคของจอมราชันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งเทียบไม่ได้กับยุคที่เจริญรุ่งเรืองมากในปัจจุบัน ดังนั้นผู้ที่เข้าร่วมศึกการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายครั้งที่สองของราชันสวรรค์หุ้นหยวนจึงมีไม่มาก
ครั้นมาถึงราชันเซียนเฟยร่วมกับราชันเทพจงหนานที่ริเริ่มจัดให้มีการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายครั้งที่สามขึ้น ในขณะนั้น เผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์ทั้งสามเผ่ามีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมากแล้ว อีกทั้งจอมราชันของทั้งสามเผ่ามีเป็นจำนวนมาก ขบวนการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายในครั้งนี้จึงเหนือกว่าครั้งที่สองมากทีเดียว
มาถึงการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายเป็นครั้งที่สี่ ซึ่งริเริ่มและจัดให้มีขึ้นโดยราชันเซียนกู่ฉุน เป็นการบ่งบอกถึงการผงาดขึ้นมาของร้อยชาติพันธุ์ และเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับฐานะของร้อยชาติพันธุ์
สำหรับการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายครั้งที่ห้า ริเริ่มและจัดให้มีขึ้นโดยราชันเซียนหมิงเหริน ร้อยชาติพันธุ์ได้ก้าวสู่ยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว จอมราชันเซียนหวัง และราชันเซียนจากเก้าแดนที่เข้าร่วมศึกในครั้งนี้มีเป็นจำนวนมาก ศึกสงครามลักษณะเช่นนี้ไม่ได้ถูกจำเพาะที่เผ่าใดเผ่าหนึ่งแล้ว
สำหรับราชันเซียนฉวี่เจินกับการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายเป็นครั้งที่หก ก็เป็นการบ่งบอกถึงความพยายามของบรรดาราชันหญิงระหว่างเก้าแดนและสิบสามทวีป แสดงถึงอิสตรีไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษ
การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายทุกครั้งล้วนแล้วแต่ก้าวข้ามยุคสมัยที่ยาวนาน จากยุคสมัยหนึ่งข้ามไปถึงอีกยุคสมัยหนึ่ง ระหว่างนั้นกระทั่งผ่านมาหลายยุคกระทั่งหลายสิบยุคสมัย เรียกได้ว่า การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายทุกครั้ง ตั้งแต่เริ่มมีความคิดจนถึงการเตรียมการ เลยไปถึงการส่งสัญญาณ ทุกๆ จอมราชันเซียนหวังล้วนแล้วแต่พยายามกันอย่างสุดความสามารถ ต่างได้อาศัยระยะเวลาที่ยาวนานเพียงพอไปเตรียมการ
เหล่ามอจ้องมองดูหลี่ชิเย่ และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว้า “เพื่อการศึกในครั้งนี้ เกรงว่าท่านปรมาจารย์ก็คงเตรียมการมานานนับไม่ถ้วนแล้ว หากการศึกครั้งนี้ได้รับชัยชนะ สิ่งที่เรียกว่าความมืดสำหรับยุคสมัยของพวกเราแล้ว มันมีอะไรน่ากลัวนัก? ท่านปรมาจารย์กลับต้องมาวางแผนการให้กับยุคสมัยของพวกเรา สิ่งที่ทำให้ท่านปรมาจารย์กังวลคือการสู้รบครั้งสุดท้ายยากที่จะเอาชนะได้ และหรืออาจมีเหตุผลอย่างอื่น”
“ข้าไม่ได้ใส่ใจต่อความสว่างและหรือความมืดสักเท่าไร เพียงแต่ นี่คือโลกที่ข้าเคยอยู่มาก่อน” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “ข้าเชื่อว่า อีกไม่กี่ยุคสมัยสิ่งที่ควรจะเกิดอย่างไรเสียก็ต้องมาแน่ การแตกสลายอยู่ไม่ไกลจากพวกเรานัก ข้อนี้เชื่อว่าจอมราชันเซียนหวังจำนวนมากสามารถมองเห็น และอาจต้องเผชิญกับปัญหาข้อนี้…”
“ขณะที่การแตกสลายยังมาไม่ถึง ควรจะเป็นจังหวะที่ความมืดได้เปิดฉากขึ้น ถึงเวลานั้น บางทีข้าอาจไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว ดังนั้น สิ่งที่ข้าสามารถทิ้งไว้ให้กับโลกนี้ก็มีเพียงการเตือนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง เป็นแค่คำเตือนเท่านั้น ส่วนเรื่องของการปกป้องคุ้มครองเกรงว่าคงไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องไปทำ” เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว แววตาของเขาดูลึกล้ำยิ่งนัก
เหล่ามอไม่ได้ไปศึกษาให้ละเอียด และไม่ได้ถามกับคำพูดที่หลี่ชิเย่ได้พูดเอ่ยขึ้นมา ถ้าหากวันนั้นมาถึงจริงๆ และหลี่ชิเย่ได้ไปจากโลกมนุษย์นี้ ย่อมจะต้องมีเหตุผลที่เขาต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน การมาถึงของวันนั้นหากหลี่ชิเย่ต้องจากไป ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าเขามีเรื่องที่สำคัญมากกว่านี้ต้องไปทำ
ส่วนเรื่องที่ว่าหลี่ชิเย่จะไปที่ไหนนั้น เหล่ามอก็จะไม่ไปถาม เนื่องจากสิ่งนี้อยู่นอกอาณาเขตที่เขาจะไปก้าวล่วงได้
“หากวันนั้นมาถึงจริง ขอเพียงร่างกายที่อ่อนด้อยของข้าสามารถใช้ได้ข้าจะช่วยสุดความสามารถ ไม่ว่ามันจะก่อเกิดประโยชน์หรือไม่อย่างไรข้าก็จะไม่ลังเล” เหล่ามอพยักหน้าอย่างหนักแน่นจริงจัง และกล่าวว่า “ต่อให้ท่านปรมาจารย์ไม่ได้ฝากฝัง มันก็เป็นสิ่งที่ข้าสมควรต้องทำอยู่แล้ว”
“ข้ารู้” หลี่ชิเย่ไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดคิด สำหรับท่าทีของเหล่ามอนั้นอยู่ในความคาดคิดของเขาอยู่แล้ว
เหล่ามอทอดถอนใจออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง และกล่าวว่า “จอมราชันเซียนหวัง ล้วนแล้วแต่ต้องแบกรับความภาระหน้าที่ความรับผิดชอบเรื่องนี้ การได้เป็นจอมราชันเซียนหวังไม่เพียงแต่ทำให้ตนเองแข็งแกร่งมากกว่าเดิมเท่านั้น ขณะเดียวกัน สมความแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบที่พึงมี ยิ่งมีพลังแข็งแกร่งมากเท่าไร หน้าที่ความรับผิดชอบก็มากขึ้นเท่านั้น มิฉะนั้นหละก็ คนที่อยู่บนเส้นทางที่พวกเราก้าวขึ้นสู่การเป็นจอมราชันเซียนหวังเท่ากับตายฟรีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมิตรสหายหรือญาติสนิท และหรือศัตรู เป็นเพราะโครงกระดูกของพวกเขาที่ปูลาดให้กลายเป็นเส้นทางสู่ความเป็นจอมราชัน…”
“…ร่างและโครงกระดูกของพวกเขาไม่เพียงให้จอมราชันเซียนหวังได้สืบทอดชะตาฟ้า และไม่เพียงแต่ให้จอมราชันเซียนหวังได้ผ่านการชำระล่างด้วยเลือดสดๆ จนกลายเป็นมีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม ร่างและโครงกระดูกของพวกเขายังได้สร้างเส้นทางสายนี้ที่ผู้เป็นจอมราชันเซียนหวังสมควรมีภาระหน้าที่เช่นนี้ หาไม่แล้ว เส้นทางที่มุ่งสู่ความเป็นจอมราชันเซียนหวังสายนี้ก็จะขาดสีสันที่ควรมีของมันไป!”
คำพูดนี้ของเหล่ามอพูดได้หนักแน่นเคร่งขรึมจริงจังมาก ทุกคนที่สามารถกลายเป็นจอมราชันเซียนหวังนั้น บนเส้นทางสายนี้ได้มีผู้ที่ต้องตายไปเป็นจำนวนเท่าไร ปูด้วยโครงกระดูกมากเพียงใด บรรดาผู้ที่ต้องตายไป บรรดาโครงกระดูกมาล้มอยู่ตรงนั้น ไม่เพียงแค่ผู้ที่เป็นศัตรูเท่านั้น ยังมีผู้ที่อยู่ข้างกาย ผู้ที่เป็นญาติ ผู้ที่เจ้ารัก และผู้ที่รักเจ้า
เมื่อยามที่ก้าวเดินบนเส้นทางสายนี้จนถึงจุดสูงสุด ได้เป็นจอมราชันเซียนหวัง ถ้าหากว่าหลังจากที่ได้กลายเป็นจอมราชันเซียนหวังแล้ว ไม่สามารถแบกรับภาระหน้าที่ที่ตนพึงมีได้ ผู้ที่ต้องตายบนเส้นทางสายนี้นับว่าตายเปล่าแล้ว
เฉกเช่นเหตุผลที่ราชันซื่อตี้เล่นไม่เลิกกับอีกาทมิฬอย่างนั้น เพราะเขาได้แบกรับภาระหน้าที่ที่มีต่อเผ่าสวรรค์เอาไว้บนบ่า คอยเฝ้าปกป้องคุ้มครองเผ่าพันธุ์ของตน!
“ไม่ลืมความตั้งใจเดิม ใช่ว่าทุกคนสามารถทำได้อยู่แล้ว” หลี่ชิเย่พูดเฉยเมยขึ้นมา “ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังก็ไม่เห็นจะยืนหยัดรักษาความตั้งใจเดิมของตนได้”
เหล่ามอเองในฐานะที่เป็นจอมราชันเซียนหวัง ก็ไม่ต้องการไปประเมินค่าของจอมราชันเซียนหวังอื่นๆ
“ถ้าหากความมืดโจมตีปกคลุมสิบสามทวีป ท่านปรมาจารย์คิดว่าจะจะมาในรูปแบบเช่นใดกันเล่า?” เหล่ามอทำท่าไตร่ตรองนิดหนึ่งแล้วเอ่ยถามขึ้นมา
หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่งและกล่าวว่า “ในยุคสมัยของพวกเรา เคยมีบางคนที่ไปเยี่ยมคารวะบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย และเคยขอคำชี้แนะต่อบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย เนื่องจากมีผู้ที่คอยจ้องมองดูพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น พวกเขาจะไม่เล่นวิธีการของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่เก็บเกี่ยวยุคสมัยละครั้งแบบนั้น…”
“…พวกเขาน่าจะทำในสิ่งที่ยกระดับจากบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย มาในรูปแบบของการเก็บเกี่ยวที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดยิ่งนัก ส่วนจะเป็นรูปแบบเช่นใดคงพูดยาก แต่สามารถมั่นใจได้เลยก็คือ เมื่อไรที่มันเกิดขึ้น ไม่เพียงโลกนี้กลายเป็นพื้นดินที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น! ไม่ง่ายเหมือนบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่แค่เก็บเกี่ยวเอาชีวิตเท่านั้นแล้ว”
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว เพียงเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่น่าเกรงขามเท่านั้น
เหล่ามอรู้สึกจิตหดหู่ขึ้นมา เนื่องจากหลี่ชิเย่เป็นผู้ที่จับจ้องอยู่กับโลกนี้ตลอดเวลา การที่หลี่ชิเย่มีการคิดอย่างมีเหตุมีผลเช่นนี้ ย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน หากวันนั้นมาถึงจริงๆ และไม่มีใครสามารถต้านความมืดมิดเอาไว้ได้หละก็ ยุคสมัยของพวกเขาคงต้องกลายเป็นประวัติศาสตร์ไป
โลกทั้งโลกของพวกเขาเป็นได้แค่ชิ้นเนื้อหอมหวานที่อยู่ในปากของผู้ดำรงอยู่ในความมืดเท่านั้น คล้ายดั่งฤดูหนาวกำลังจะมาเยือน หมีจะต้องกินเหยื่อให้มากพอเพื่อให้ตนเองได้ผ่านหน้าหนาวที่แสนจะยาวนานไปได้
ขณะที่ผู้ซึ่งดำรงอยู่ในฐานะความมืดกับการกินอาหารเพียงน้อยนิด เท่ากับทั่วทั้งโลกก็คือเหยื่อ คืออาหารอันโอชะในปากของพวกเขา!
พฤติกรรมของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก็เป็นเช่นนี้ การที่เขาเก็บเกี่ยวชีวิตมายุคแล้วยุคเล่า ก็แค่ต้องการสั่งสมอาหารสำหรับหน้าหนาวเอาไว้อย่างเพียงพอ ให้ตนเองสามารถอยู่รอดจากกาลเวลาที่น่ากลัวที่สุด ให้ตัวเองสามารถรอดชีวิตจากการแตกสลายได้
เพียงแต่ว่า ต่อให้มีชีวิตรอดมาได้ มันก็ทำได้แค่ตนเองต้องถูกกักขังเอาไว้ภายในเศษของยุคสมัยที่ยังคงหลงเหลืออยู่เท่านั้น
แต่ทว่า กล่าวสำหรับบางคนแล้วขอเพียงมีชีวิตอยู่ ต่อให้ต้องอยู่ในสภาพที่เหมือนดั่งนักโทษ พวกเขาก็จะทุ่มเทค่าตอบแทนทุกอย่าง ต่อให้ต้องเอาโลกทั้งโลกมาถมชดเชยก็ไม่หวั่น
สิ่งนี้ก็ได้ทำให้เหล่ามอสามารถเข้าใจได้ว่า เพราะเหตุใดจึงมีจอมราชันเซียนหวังบางคนที่เน้นย้ำเสมอว่าไม่ลืมความตั้งใจเดิม!
………………………………………………………….