ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1996 แรกมาถึงสถาบันศึกษาเทพเจ้า
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 1996 แรกมาถึงสถาบันศึกษาเทพเจ้า
หลี่ชิเย่เดินทางมุ่งหน้าไปยังสถาบันศึกษาเทพเจ้า โดยมีเถาถิงเดินตามไปติดๆ เมื่อนางนึกถึงปัญหาเมื่อครู่จึงเอ่ยถามว่า “พี่หลี่ต้องการไปชั้นเรียนใดรึ?”
“เรือนตำรา” หลี่ชิเย่พูดเรียบเฉยขึ้นมา
“เรือนตำรา?” เถาถิงถึงกับตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ เพราะคำพูดของหลี่ชิเย่อยู่เหนือความคาดคิดของนางโดยสิ้นเชิง
เป็นความจริงที่สถาบันศึกษาเทพเจ้ามีระดับชั้นเรียนอยู่ห้าชั้นเรียน คือมหาบุรุษ จวนราชัน หอศักดิ์สิทธิ์ ศตาคาร และเรือนตำรา
แต่หากจะว่ากันจริงจังแล้ว ที่ผู้คนจำนวนมากพูดถึงก็คือ มหาบุรุษ จวนราชัน หอศักดิ์สิทธิ์ ศตาคารสี่ชั้นเรียนเหล่านี้ แม้ว่าชั้นเรียนมหาบุรุษจะรับนักศึกษาน้อยมาก็ตาม โดยรับเพียงหนึ่งถึงสองคนเท่านั้น แต่ทว่าชั้นเรียนมหาบุรุษยังคงเป็นที่กล่าวขวัญถึงเสมอๆ
ตรงกันข้ามกลับเป็นเรือนตำราที่นักศึกษาน้อยคนนักจะเอ่ยถึง กระทั่งกล่าวได้ว่าหากสามารถเลือกได้ คงมีผู้คนไม่กี่คนเท่านั้นที่ต้องการเลือกชั้นเรียนเฉกเช่นเรือนตำรานี้
แม้จะกล่าวว่าเรือนตำราก็เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันศึกษาเทพเจ้า และเรือนตำราเองก็ถ่ายทอดวิชาการบำเพ็ญเพียร อาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้กับนักศึกษาของเรือนตำราเหมือนกัน อธิบายถึงความลึกซึ้งพิสดารของสัจธรรม แต่ส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่นักศึกษาของเรือนตำราร่ำเรียนคือประวัติศาสตร์โลกของผู้บำเพ็ญตนของสิบสามทวีป และหรือให้ประพันธ์เรื่องที่เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีของสิบสามทวีป
กล่าวสำหรับบุคคลผู้มีจิตใฝ่บำเพ็ญเพียรแล้ว การสมัครเขาศึกษาในสถาบันศึกษาเทพเจ้าย่อมเพื่อต้องการฝึกฝนสัจธรรม ย่อมมีความคิดว่าสักวันหนึ่งสามารถสืบทอดชะตาฟ้าได้
ลองนึกภาพดู ให้ผู้บำเพ็ญตนไปศึกษาประวัติศาสตร์ของผู้บำเพ็ญตนในสิบสามทวีป ไปประพันธ์เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของสิบสามทวีป เกรงว่าคงมีผู้บำเพ็ญตนไม่กี่คนที่ยอมทำ ทุกคนที่มายังสถาบันศึกษาเทพเจ้าต่างหวังว่าจะได้ฝึกวิชาเหินฟ้าดำดินได้ จะมีสักกี่คนที่ยินดีไปเป็นหนอนหนังสือกันเล่า
ดังนั้น ตลอดเวลาผ่านมานักศึกษาของเรือนตำราจึงมีจำนวนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ได้น้อยเท่ากับชั้นเรียนมหาบุรุษ แต่ก็คงมากกว่ากันไม่เท่าไร
เหมือนดั่งเช่นนักศึกษาของเรือนตำราในรุ่นนี้ ได้ยินมาว่ามีนักศึกษาอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ดังนั้น ในขณะนี้เถาถิงถึงกับจ้องมองหลี่ชิเย่อีกครั้ง แม้ว่านางจะไม่ได้ไปมาหาสู่กับเรือนตำราสักเท่าไร แต่ว่านางรู้จักชื่อนักศึกษาในเรือนตำราทั้งหมด แต่ในจำนวนนั้นไม่มีชื่อของหลี่ชิเย่
พี่หลี่ นี่มัน…เถาถิงไม่รู้ว่าจะถามคำถามกับหลี่ชิเย่อย่างไรดี
เมื่อหลี่ชิเย่มองเห็นท่าทางของเถาถิงแล้วจึงต้องการแหย่นาง ยิ้มกล่าวว่า “ข้าเป็นคนมาใหม่ไม่ได้รึ?”
“เพียงแต่ ภาคเรียนนี้ไม่รับนักศึกษาใหม่” เถาถิงทำท่าขมวดคิ้วนิดหนึ่ง เหมือนเป็นกังวลแทนหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “ถ้าหากพี่หลี่ต้องการเข้าเรียนในเรือนตำราหละก็ เกรงว่าคงมาเสียเที่ยวแล้ว อย่างน้อยต้องรอให้ถึงภาคการศึกษาหน้าจึงมีโอกาส”
หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ก็เข้าไปดูสักหน่อยก็แล้วกัน บนโลกนี้มีเรื่องราวมากมายที่ไม่สามารถบอกได้ ผู้ที่มีความตั้งใจก็ย่อมทำได้สำเร็จ ไม่แน่นักข้าอาจโชคดี ไม่ทันระวังก็เข้าไปได้แล้ว”
“มันก็ใช่” เถาถิงนึกดูแล้วรู้สึกว่าคำพูดของหลี่ชิเย่คำนี้ก็มีเหตุผล นางมีความรู้สึกสนิทสนมต่อหลี่ชิเย่ ถึงกับเอ่ยขึ้นด้วยความจริงใจว่า “พี่หลี่ เรือนตำราใกล้กับประตูทางทิศใต้มากที่สุด หากพี่หลี่ต้องการไปเรือนตำราไปทางประตูทิศใต้ดีที่สุด ที่ประตูทิศใต้มีรุ่นพี่ของศตาคารดูแลอยู่พอดี ข้ารู้จักพวกเขา ข้าจะพาพี่หลี่ไปเอง” กล่าวพลางเดินนำทางให้กับหลี่ชิเย่
เดิมทีหลี่ชิเย่ต้องการแหย่นางเล่น นึกไม่ถึงว่านางจะมีน้ำใจไมตรีถึงเพียงนี้ ทำให้หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา ทันใดนั้น ทำให้เขาเหมือนว่าได้มองเห็นร่างเงาของคนที่คุ้นเคยบนตัวของเถาถิงขึ้นมาอย่างนั้น
สถาบันศึกษาเทพเจ้ากินพื้นที่อาณาบริเวณที่กว้างขวางมาก แทนที่จะบอกว่าเป็นสถานศึกษามิสู้บอกว่าเป็นแคว้นๆ หนึ่งน่าจะเหมาะสมกว่า ทั่วทั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้า มีพื้นที่ที่กว้างขวางไร้ขอบเขต กินพื้นที่นับล้านลี้ เรียกได้ว่าพื้นที่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าครอบครองไม่ด้อยไปกว่าแคว้นเจ้าลัทธิใดๆ ทั้งสิ้น
ต่อให้เถาถิงซึ่งนำพาหลี่ชิเย่เหินไปด้วยความเร็วสูงมาก แต่กว่าจะไปถึงประตูทิศใต้ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ต้องเสียเวลาไปกว่าครึ่งค่อนวัน
ระหว่างทางที่มุ่งไปยังประตูทิศใต้ เดิมทั้งสองไม่น่าจะมีคำสนทนาใดๆ ได้ แต่ เถาถิงนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง นางจึงอดที่จะเอ่ยถามหลี่ชิเย่ออกไปไม่ได้ว่า “พี่หลี่ มีเรื่องๆ หนึ่งไม่ทราบว่าควรจะถามหรือไม่?”
“ว่ามาได้เลยไม่มีปัญหา” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมย
เถาถิงทำท่าไตร่ตรองนิดหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ครั้งก่อนขณะพี่หลี่ไปที่หมู่บ้านเถาของข้า เกรงว่าคงไม่ใช่เป็นเพียงทางผ่านกระมัง? แน่นอน หากมีสิ่งใดล่วงเกินขอพี่หลี่ได้โปรดอภัย”
“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่มองหน้าเถาถิงทีหนึ่ง ไม่ได้ปิดบังและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าจะแวะไปดูสักหน่อยพอดี”
เมื่อเถาถิงได้ยินคำพูดนี้แล้ว นางลังเลนิดหนึ่ง ไตร่ตรองชั่วครู่ สุดท้ายยังคงพูดออกไปว่า “เป็นศาลเจ้าหลังเล็กๆ หลังนั้นของหมู่บ้านเรารึ?”
ความจริงแล้ว ภายในใจของนางเดาออกได้บ้างแล้ว และในใจของนางมั่นใจว่า การที่หลี่ชิเย่มาที่หมู่บ้านเถาของพวกเขาก็ด้วยเรื่องของศาลเจ้าหลังน้อยๆ นั้นเท่านั้นเอง
หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ถูกต้อง เป็นศาลเจ้าหลังน้อยนั่น ไม่ได้แวะไปดูมานานมากแล้ว พอดีมีจังหวะก็เลยแวะไปดูสักหน่อย”
“ภายในศาลเจ้าหลังน้อยมีอะไรอยู่รึ?” คราวนี้เถาถิงหลุดปากถามออกไปโดยไม่ต้องคิด
เถาถิงเองก็รู้สึกแปลกใจมากสำหรับศาลเจ้าหลังน้อยนั่น นางเคยถามผู้เฒ่าผู้ทั้งหมดภายในหมู่บ้าน ไม่มีใครรู้ว่าศาลเจ้าหลังน้อยนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ไม่มีใครรู้ว่าศาลเจ้าหลังน้อยหลังนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ในความทรงจำของผู้เฒ่าที่มีอายุมากที่สุด ศาลเจ้าหลังน้อยนี้มีมานมนานมากๆ แล้ว อีกทั้งมีมาตั้งแต่ก่อนรุ่นพ่อของเขาเสียอีก หรือบางทีศาลเจ้าหลังน้อยนี้อาจมีมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งหมู่บ้านเถาแห่งนี่ของพวกเขาแล้ว
เถาถิงเปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อศาลเจ้าหลังน้อยหลังนี้ ในอดีตศาลเจ้าหลังน้อยธรรมดาๆ หลังนี้ไม่ได้เป็นที่สนใจของผู้คน ตอนที่นางยังเด็กอยู่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับศาลเจ้าหลังน้อยหลังนี้ โดยที่ศาลเจ้าหลังน้อยหลังนี้เปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขาที่อยู่ในหมู่บ้านเถาอย่างนั้น ทุกคนต่างเคยชินกับการดำรงอยู่ของมันเสียแล้ว
แต่ทว่า คราวนี้กลับทำให้เถาถิงบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นไม่สิ้นสุดขึ้นภายในใจอย่างสิ้นเชิง นางคิดอยากจะเปิดประตูของศาลเจ้าหลังน้อยหลังนี้ แต่ไม่ว่านางจะใช้ความพยายามเท่าไรก็ไม่สามารถเปิดออกได้ ต่อให้นางใช้กำลังจนสุดแรงเกิดก็ยังคงเปิดศาลเจ้าหลังน้อยหลังนี้ออกมาได้
ท้ายที่สุด เถาถิงได้งัดทุกวิธีออกมาใช้แล้ว ก็ยังคงไม่สามารถเปิดประตูบานนั้นที่ดูเหมือนเป็นเพียงประตูไม้ธรรมดาๆ เท่านั้น
แม้ว่าตัวของเถาถิงเองไม่กล้าบอกว่าตนเองนั้นเป็นยอดฝีมือแห่งยุคคนหนึ่ง นางอยู่ในชั้นเรียนศตาคารของสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็นับว่าเป็นผู้โดดเด่นคนหนี่ง ลำพังพูดถึงเรื่องของพละกำลังล่ะก็ นางสามารถถอนเอาภูเขาขึ้นมาได้ แต่กลับไม่สามารถสั่นคลอนต่อประตูไม้ที่ดูธรรมดามากบานนั้นได้
เมื่อเถาถิงไม่สามารถเปิดบานประตูของศาลเจ้าหลังน้อยออกมาได้อย่างสิ้นเชิง ทำให้เถาถิงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าศาลเจ้าหลังน้อยหลังนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น ภายในศาลเจ้าหลังน้อยแห่งนี้ต้องมีความลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ แต่นางไม่สามารถรู้ได้ว่ามันคือความลับอะไร
ดังนั้น ในเวลานี้นางนึกถึงการปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันของหลี่ชิเย่ได้ในทันที แต่ หลี่ชิเย่ได้จากไปแล้ว โลกอันกว้างใหญ่ไพศาล แล้วจะให้นางไปตามหาหลี่ชิเย่ได้อย่างไรกันเล่า
มาคราวนี้ได้พบเจอหลี่ชิเย่เข้าโดยบังเอิญ ทำให้เถาถิงอดที่จะตกใจระคนกับดีใจไม่ได้ ดังนั้น เวลานี้นางจึงอดที่จะเอ่ยถามเรื่องราวเกี่ยวกับศาลเจ้าหลังน้อยหลังนั้นไม่ได้
หลี่ชิเย่จ้องมองดูเถาถิง ขณะที่เวลานี้เถาถิงก็จ้องมองหลี่ชิเย่ นัยน์ตาคู่นั้นของนางเปี่ยมด้วยความหวัง เต็มไปด้วยความปรารถนาให้ได้มา
เมื่อหลี่ชิเย่มองเห็นแววตาเช่นนี้ ในใจของเขาถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ ครั้งนั้นเขาไหนเลยจะไม่ใช่มองเห็นแววตาคู่นั้นในลักษณะเช่นนี้ ไหนเลยเขาจะไม่ได้มองเห็นแววตาที่เปี่ยมด้วยความหวัง เปี่ยมด้วยความปรารถนาให้ได้มาเช่นนี้เล่า
“แน่นอน หากพี่หลี่ไม่ต้องการพูดออกมา ถือว่าน้องกระทำการล่วงเกินไป ถือเสียว่าน้องไม่เคยพูดก็แล้วกัน” เมื่อเถาถิงเห็นท่าทางของหลี่ชิเย่ที่นิ่งเงียบ นางจึงเข้าใจว่าหลี่ชิเย่ไม่ต้องการเล่าให้ฟัง จึงรีบพูดคลี่คลายบรรยากาศขึ้นมา
หลี่ชิเย่ทอดถอนใจภายในใจเบาๆ กล่าวเฉยเมยว่า “ใช่ว่าข้าไม่ต้องการไปพูดถึงมัน เรื่องแบบนี้บางครั้งก็ต้องขึ้นอยู่กับโอกาส ว่ากันด้วยเรื่องของวาสนา หากไม่มีวาสนาต่อให้เจ้ารู้ก็ไม่สามารถฝืนได้ มันจะเป็นเสมือนหนึ่งตะปูดอกหนึ่งที่ตอกตรึงอยู่ภายในใจของเจ้า ทำให้เจ้าถอนไม่ออก และกลายเป็นมารในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้า”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้เถาถิงตกตะลึงนิดหนึ่ง และรู้สึกเหนือความคาดคิดเป็นอันมาก
“ถ้าหากเจ้าต้องการรู้จริงๆ ก็ให้อาศัยหัวใจให้มาก” กล่าวพลาง หลี่ชิเย่ได้ใช้นิ้วชี้ไปที่บริเวณหัวใจของตน เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “อาศัยหัวใจไปรับรู้ อาศัยหัวใจไปรับฟัง มีเพียงอาศัยหัวใจของเจ้าไปฟัง ไปรับรู้ เจ้าก็จะสามารถเปิดประตูได้บานหนึ่ง”
“อาศัยหัวใจ?” เถาถิงถึงกับตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่พยักหน้า มองดูเถาถิงและเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “แต่ว่า เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี ยามที่เจ้าได้เปิดประตูออกมาบานหนึ่งแล้ว โลกก็จะทำการปิดประตูอีกบานหนึ่งให้กับเจ้า เรื่องเช่นนี้ไม่มีคำว่าถูกหรือผิดบนโลกใบนี้ เพียงแต่อยู่ที่การเลือกของเจ้า อยู่ที่ตัวเจ้าเองจะก้าวเดินอย่างไร?”
“ปิดประตูอีกบานหนึ่ง?” เถาถิงถึงกับพูดพึมพำออกมา คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่เต็มไปด้วยความลึกลับ ทำให้นางไม่สามารถเข้าใจได้
หลี่ชิเย่ได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ หากเป็นอดีตเขาจะไม่บอกกล่าวต่อเถาถิง จะอย่างไรเสียนี่เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้เลือกเอาไว้แล้ว แต่เวลานี้ยุคสมัยเปลี่ยนไป โลกกำลังจะจบสิ้น อนาคตเต็มไปด้วยอันตราย ดังนั้น หลี่ชิเย่จึงให้ทางเลือกกับเถาถิง และเป็นการให้ทางเลือกกับหมู่บ้านเถา
ส่วนอนาคตพวกเขาจะก้าวเดินอย่างไรนั้น ก็ได้แต่พึงพาตัวของพวกเขาเองแล้ว จะอย่างไรเสียบรรพบุรุษพวกเขาเคยคิดจะให้ลูกหลานพวกเขาห่างไกลจากความวุ่นวายและการฆ่าฟัน หวังเพียงต้องการให้ลูกหลานทุกยุคทุกสมัยได้สืบทอดต่อไปเรื่อยๆ อย่างสงบเท่านั้น
ในที่สุด หลี่ชิเย่และเถาถิงก็ได้มาถึงประตูด้านทิศใต้ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าแล้วโดยไม่รู้ตัว
บริเวณประตูด้านทิศใต้ของสถาบันศึกษาเทพเจ้ามีคนอยู่เพียงไม่กี่คน เป็นนักศึกษาสามถึงห้าคนที่ทำหน้าที่ลงทะเบียนและให้การต้อนรับรุ่นพี่รุ่นน้องที่กลับเข้ามา
เนื่องจากประตู้ด้านทิศใต้เป็นประตูที่ค่อนข้างลับตาคน มันอยู่ห่างไกลจากระดับชั้นเรียนอื่นๆ มาก มีเพียงเรือนตำราเท่านั้นที่ค่อนข้างจะใกล้ อีกทั้งนักศึกษาในเรือนตำราก็มีอยู่ไม่กี่คน ดังนั้นนักศึกษาที่กลับเข้ามาทางประตูด้านทิศใต้จึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ขณะที่หลี่ชิเย่และเถาถิงปรากฏตัวขึ้นที่ประตูด้านทิศใต้นั้น ทำให้นักศึกษาที่อยู่คอยทำหน้าที่ให้การต้อนรับถึงกับตาลุกวาว แน่นอน สายตาของทุกคนล้วนแล้วแต่ตกอบู่บนตัวของเถาถิงทั้งสิ้น
เถาถิงถือเป็นสาวงามคนหนึ่ง แม้ว่าไม่สามารถเทียบได้กับสุดยอดสาวงามแห่งยุคเช่นเหมยซู่เหยาได้ แต่ก็นับเป็นสาวงามที่มีความสวยสดงดงามหลุดพ้นจากจารีตประเพณีทั่วไป
“น้องถิงทำไมถึงกลับมาได้เร็ว หมู่บ้านเถาของเจ้าห่างจากสถานศึกษาไกลขนาดนั้น ข้ายังเข้าใจว่าคงต้องช้ากว่านี้อีกหลายวันนะเนี่ย” หนึ่งในจำนวนนักศึกษาที่อยู่ที่บริเวณนี้ ซึ่งมีอาวุโสมากที่สุด หล่อเหลาที่สุดและมีพลังอำนาจมากที่สุดได้ก้าวเดินออกมา เขากล่าวด้วยความรู้สึกเร่าร้อนต่อเถาถิง และดูจะมีท่าทีพยายามทำดีต่อเถาถิงเหลือเกิน
“ภายในหมู่บ้านไม่มีเรื่องอันใด ดังนั้น ข้าจะกลับมาเร็วกว่าปรกติ” เถาถิงเองก็เป็นเด็กผู้หญิงที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ไม่ได้ทำตัวสูงเด่น และไม่ได้แสดงท่าทีที่เย็นชา
“หมู่บ้านของเจ้าห่างจากสถานศึกษาไกลมาก ข้ายังเป็นห่วงว่ารุ่นน้องเดินทางไกลตั้งใจจะไปรับที่หมู่บ้านเถา ไม่นึกเลยว่าถูกอาจารย์จัดให้มาคอยต้อนรับนักศึกษาอยู่ที่นี่ นับว่าละอายยิ่งนัก” นักศึกษาชายผู้นี้พยายามทำดีเข้าไว้กับเถาถิง
“ขอบคุณรุ่นพี่เหยียน” เถาถิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ท่านผู้นี้คือพี่หลี่ เขามาด้วยกันกับข้า วันนี้เขามาที่เรือนตำรา”
ในขณะนี้เถาถิงก็ได้แนะนำนักศึกษาชายผู้นี้ให้กับหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “พี่หลี่ ท่านนี้คืออัจฉริยะบุคคลของศตาคารพวกเรา รุ่นพี่เหยียนเฉินเซิน”
เมื่อเถาถิงได้ทำการแนะนำตัว นักศึกษาชายที่ชื่อเหยียนเฉินเซินผู้นี้และนักศึกษาชายอื่นๆ จึงได้ให้ความสนใจในตัวของหลี่ชิเย่ ก่อนหน้านั้นความสนใจของพวกเขาล้วนแล้วแต่ไปอยู่บนตัวของเถาถิงเสียสิ้น ชายหนุ่มที่ธรรมดาเช่นนี้พวกเขาแค่มองเห็นแวบเดียวก็ไม่ให้ความสนใจอีกต่อไปมากนัก
พลันที่เหยียนเฉินเซินได้ยินว่าหลี่ชิเย่เดินทางมากับเถาถิงตลอดทาง ได้บังเกิดความไม่พอใจขึ้นมาบ้างทันที เดิมเขามีใจต่อเถาถิงอยู่แล้ว เวลานี้หลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งกลับเดินทางมากับเถาถิงด้วยกัน ย่อมทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ไม่มากก็น้อย
ขณะที่เถาถิงรู้สึกสนิทสนมต่อหลี่ชิเย่ ดังนั้น จึงพูดแทนหลี่ชิเย่ไปในทางที่ดีเท่านั้นเอง
“เจ้าเป็นนักศึกษาของเรือนตำรารึ?” เหยียนเฉินเซินมองดูหลี่ชิเย่แวบหนึ่ง ท่าทีนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเขามองเห็นท่าทางของหลี่ชิเย่ที่ไม่สะดุดตาเอาเสียเลย ยิ่งทำให้บังเกิดความเฉยชา ไม่เห็นหลี่ชิเย่อยู่ในสายตา
จะอย่างไรเสียเหยียนเฉินเซินคือนักศึกษาที่โดดเด่นของศตาคาร ขณะที่หลี่ชิเย่ที่มีท่าทางธรรมดายิ่งนัก ไม่สามารถสร้างความกดดันให้กับเขาได้ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่แล้ว