ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2005 เส้นทางของเย่ซินเสวี่ย
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2005 เส้นทางของเย่ซินเสวี่ย
ในเวลานี้ เย่ซินเสวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีที่งดงามและขลาดกลัวอยู่สามส่วน จ้องมองหลี่ชิเย่อย่างกล้าหาญ และกล่าวว่า “อาจารย์กล่าวได้ถูกต้อง ข้ามีพรสวรรค์ที่ธรรมดามาแต่เล็ก ห่างชั้นและเทียบไม่ได้กับผู้ที่อยู่ในรุ่นเดียวกันของตระกูล ทำให้ข้ารู้สึกอับอายขายหน้าที่สู้คนอื่นไม่ได้ ถูกต้องที่ข้าชื่นชอบการอ่านตำราอ่านเล่นอย่างยิ่ง แต่ ข้าไม่ควรนำมันมาเป็นข้ออ้างว่าตัวเองไร้ความสามารถ และไม่สามารถนำมันมาเป็นป้อมปราการเพื่อใช้ในการหลบหนีความจริงของข้า ดังนั้น ข้าขอวิงวอนให้อาจารย์ได้โปรดสอนข้า”
ครั้นเย่ซินเสวี่ยเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ได้ก้มกราบกับพื้นไม่ลุกขึ้นมา
“ในเมื่อข้าคืออาจารย์ของเจ้าก็ต้องชี้แนะให้เจ้า” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ ให้เย่ซินเสวี่ยลุกขึ้น จ้องมองดูนางแล้วกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “หนทางไม่ง่ายเลย ไม่ว่าจะเป็นด้านของการบำเพ็ญเพียร หรือด้านวิชาความรู้ มันก็เหมือนดั่งตำราที่เกี่ยวกับตำนานเล่มที่เจ้าอ่านอยู่นั่น เจ้าคิดจะทำความให้กระจ่างก็ต้องไปยืนยันมันทีละก้าวๆ ไปศึกษาวิเคราะห์ทีละขั้นๆ วิชาความรู้เป็นเช่นนี้ การบำเพ็ญเพียรก็เป็นเช่นนี้…” เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วได้หยุดนิดหนึ่ง จากนั้นกล่าวต่อช้าๆ ว่า “…ไม่ว่าเจ้าจะไปฝึกบำเพ็ญเพียร หรือไปหาวิชาความรู้ และหรือทะลุปรุโปร่งเกี่ยวกับตำราอ่านเล่น สิ่งที่ทำให้เจ้าสามารถก้าวเดินไปจนถึงสุดท้ายได้ ต้องอาศัยจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคงไม่สั่นคลอนดวงหนึ่ง ขอเพียงเจ้ายืนหยัดต่อไป ขอเพียงเจ้าไม่ลืมเลือน จึงสามารถทำให้เจ้าก้าวเดินไปได้ไกลยิ่งขึ้น”
ในขณะนี้ สายตาของหลี่ชิเย่จ้องมองไปที่เย่ซินเสวี่ย ขณะที่เย่ซินเสวี่ยได้นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง แต่ว่า นางยังคงรวบรวมความกล้าหาญรับกับสายตาของหลี่ชิเย่ กล่าวด้วยท่าทีที่จริงจังและมั่นคงยิ่งว่า “อาจารย์ ข้าไม่ใช่เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ และไม่ใช่คนที่มีสติปัญญาอะไร บางทีอาจทำไม่ได้อย่างที่อาจารย์ได้จินตนาการเอาไว้ แต่ ข้ายินดีอาศัยความพยายาม ข้ายินดีไปทดลอง ขอเพียงมีโอกาสเพียงนิดเดียว ข้าจะไม่ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวังในความคาดหวัง”
“สามารถมีแนวความคิดเช่นนี้นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก” หลี่ชิเย่พยักหน้า และกล่าวว่า “ไม่มีใครที่เกิดมาพร้อมกับมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งมั่นคง มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พรสวรรค์สามารถล้ำเลิศปราศจากผู้เทียบเทียมแต่กำเนิดได้ แต่ว่า จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการขัดเกลา ต้องมีการตกผลึก ขอเพียงผ่านลมฝนมาจึงสามารถทำให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้ามั่นคงได้ ขอเพียงเจ้ามีความพยายาม ขอเพียงเจ้ายืนหยัด ขอเพียงเจ้าไม่ละทิ้ง ย่อมต้องได้เห็นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่งที่รู้แจ้งเห็นจริง”
เย่ซินเสวี่ยพยักหน้าเงียบๆ แม้ว่านางยังไม่สามารถเข้าใจในคำพูดของหลี่ชิเย่ได้ทั้งหมด แต่ว่านางได้จดจำมั่นเอาไว้ในใจทุกๆ ถ้อยคำ
“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยขึ้นมาและหันหลังออกเดินทันที
เย่ซินเสวี่ยรีบเดินตามให้ทัน แม้ว่านางไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่จะถ่ายทอดสิ่งใดให้กับนาง แต่ว่านางยินดีก้าวเดินออกมาก้าวหนึ่ง เนื่องจากคนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ทอดทิ้งนางไปแล้ว แต่หลี่ชิเย่ไม่
ท่ามกลางตระกูลของนาง ผู้ที่มีความโดดเด่นกว่านางในรุ่นเดียวกันมีมากมายเหลือเกิน แม้ว่านางจะเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูล แต่ว่า ในด้านทักษะยุทธนั้นนางถูกทิ้งห่างจนไม่เห็นฝุ่น ยิ่งไปกว่านั้น นางที่เป็นบุตรสาวคนโตผู้ซึ่งชื่นชอบอยู่กับการอ่านตำราอ่านเล่น ขลุกอยู่กับกองตำราจนดูเหมือนหนอนหนังสือนั้น ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างสิ้นเชิงจากผู้อาวุโสของตระกูล แม้แต่บิดามารดาของนางก็รู้สึกว่าบุตรสาวคนโตคนนี้ไม่คู่ควรที่จะไปบ่มฟัก ดังนั้น จึงไม่ได้สนใจนาง ปล่อยให้นางเกิดเองและดับสูญไปเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าไปให้การชี้แนะกับนาง
กระทั่งจากการที่นางชื่นชอบในการอ่านตำราอ่านเล่น จึงมักถูกผู้ที่อยู่ในรุ่นเดียวกันของตระกูลหัวเราะเยาะ หรือชี้มือชี้ไม้นินทาอยู่เสมอๆ ขณะที่ผู้อาวุโสภายในบ้านของนางก็มักสั่งสอนตำหนินางด้วยเรื่องนี้เป็นประจำ ในสายตาของผู้อาวุโส การชื่นชอบอ่านตำราอ่านเล่นคือประเภทไม่เอาการเอาถ่าน ทำตัวเอ้อระเหยไปวันๆ เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เย่ซินเสวี่ยหลบเลี่ยง ไม่เพียงหลีกหนีจากการฝึกฝน ยิ่งไปกว่านั้นยังหลบเลี่ยงทุกๆ คนของตระกูล ดังนั้น นางยินดีที่จะมาอยู่ที่เรือนตำรา ณ ที่ตรงนี้ถือว่าเป็นทะเลกว้างท้องฟ้าไพศาลของนาง ที่ตรงนี้มีตำราที่อ่านไม่มีวันหมดสิ้น และไม่มีคนหนึ่งคนใดมาหัวเราะเยาะนาง ยิ่งไม่มีผู้ใดที่จะมาชี้มือชี้ไม้นินทานาง
แม้จะกล่าวว่าที่เรือนตำราคือทะเลกว้างท้องฟ้าไพศาล แต่ทว่ากล่าวสำหรับเย่ซินเสวี่ยแล้ว ส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปที่สุดในใจยังคงเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดของนาง เหมือนดั่งที่หลี่ชิเย่ได้พูดเอาไว้ว่า นางกำลังหลบหนี หลบหนีเข้าไปยังป้อมปราการแห่งทะเลตำรา ไม่กล้าออกจากป้อมปราการของตน
ความจริงแล้ว นางเองก็รู้ดีว่าตัวเองกำลังหลบเลี่ยง ไม่กล้าก้าวออกจากป้อมปราการของตนเอง กระทั่งมาวันนี้ได้พบเจอกับหลี่ชิเย่ หลี่ชิเย่ให้โอกาสแก่นาง อีกทั้งหลี่ชิเย่ไม่ได้หัวเราะเยาะนาง ไม่ได้มีอคติต่อนางอันเนื่องมาจากนางชื่นชอบอ่านตำราอ่านเล่น หลี่ชิเย่ได้เปิดหน้าต่างบานหนึ่งให้กับนาง ซึ่งทำให้เย่ซินเสวี่ยยินดีก้าวออกจากเงามืดในใจของตน เพื่อไปสวมกอดกับแสงตะวัน
ในเรือนตำรามีตำราจำนวนมากถูกเก็บซ่อนเอาไว้ มีทุกหนทุกแห่ง ทุกๆ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นห้องหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นใต้ก้อนหินบนยอดเขา หรือว่าตามร่องลึกต่างๆ ก็จะมีตำราซ่อนอยู่
หลี่ชิเย่พาเย่ซินเสวี่ยมายังยอดเขาแห่งหนึ่ง บนยอดเขาแห่งนี้มีห้องศิลาอยู่ห้องหนึ่ง ภายในห้องไม่ได้มีสิ่งของอื่นใด เพียงแต่ผนังห้องทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยภาพวาดฝาผนัง
ที่ถูกต้องควรจะบอกว่า มันเหมือนมีเด็กสักคน หรือผู้ที่ชอบก่อกวนมาขีดเขียนวาดไปตามอารมณ์ ไม่ได้ออกมาจากลายมือของผู้มีความรู้แต่อย่างใด
หลี่ชิเย่ขณะยืนอยู่ภายในห้องศิลายิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าชื่นชอบอ่านตำราอ่านเล่นขนาดนั้น อ่านผ่านตามามาก เช่นนั้นแล้วนี่คือช่วงเวลาที่จะทดสอบเจ้า เจ้าสามารถมองดูให้ละเอียด ที่ตรงนี้ล้วนแล้วแต่แฝงไว้ด้วยความหมายใดเอาไว้”
เมื่อเย่ซินเสวี่ยได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้ว พลันรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา นางไม่เคยได้มาที่ห้องศิลาแห่งนี้มาก่อน เนื่องจากตำราในเรือนตำรามีมากมายเหลือเกิน ลำพังตำราที่เก็บรวบรวมเอาไว้ก็อ่านกันไม่จบไม่สิ้นแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องของภาพวาดฝาผนังเหล่านี้แล้ว
เวลานี้ เมื่อหลี่ชิเย่พูดออกมาเช่นนี้ จึงทำให้นางรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น นางรีบยื่นหน้าเข้าไปใกล้ มองดูภาพวาดฝาผนังที่อยู่ภายในห้องศิลาอย่างละเอียด หรือบางทีอาจเรียกได้ว่าเป็นลายเส้นที่ยุ่งเหยิงมาก
ห้องศิลาห้องนี้ถูกวาดด้วยรูปภาพเต็มไปหมด แม้แต่ใต้หลังคาก็ไม่เว้น เมื่อมองดูลายเส้นภาพวาดเหล่านี้อย่างละเอียดแล้วให้รู้สึกสงสัยว่า สิ่งนี้เกิดจากการก่อกวนวาดขีดเขียนไปเรื่อยเปื่อยของผู้ที่ว่างงานใช่หรือไม่ และหรือมีคนจงใจเล่นพิเรนทร์เข้ามาวาดเป็นลายเส้นที่ยุ่งเหยิงมากทีเดียว
เนื่องจากภาพวาดที่ปรากฏอยู่น่าเกลียดมาก น่าเกลียดจนไม่สามารถเปรียบเปรยได้ กระทั่งเด็กสามขวบยังไม่สามารถวาดภาพวาดฝาผนังที่น่าเกลียดขนาดนี้ออกมาได้
ทว่า เมื่อเย่ซินเสวี่ยมองดูภาพวาดที่ขีดเขียนยุ่งเหยิงเช่นนี้อย่างละเอียดแล้ว กลับถูกดึงดูดใจเอาไว้โดยพลัน นางจ้องมองดูอย่างออกรสออกชาติ นาทีนี้เย่ซินเสวี่ยถูกดึงดูดใจเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ขณะมองดูภาพวาดแต่ละภาพ นางมองดูจนลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่เพียงนั่งรอคอยอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ด้วยความอดทนอย่างยิ่ง กระทั่งเหมือนหนึ่งได้หลับไปแล้วอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เย่ซินเสวี่ยจึงมองดูภาพวาดฝาผนังได้หมด ในเวลานี้เองนางถึงกับร่างสั่นเทิ้มขึ้นทีหนึ่ง เมื่อได้สติกลับมาแล้วจึงจำได้ว่ามีหลี่ชิเย่อยู่ข้างกายอีกด้วย
“อาจารย์ ข้า ข้า ข้ามองดูจนใจจดใจจ่อเกินไปแล้ว” เมื่อเย่ซินเสวี่ยพบว่าตัวเองถึงกับลืมการดำรงอยู่ของหลี่ชิเย่ไป จึงรู้สึกไม่สบายใจนักเมื่อได้สติคืนกลับมา
หลี่ชิเย่ไม่ได้กล่าวตำหนิ เพียงยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “การบำเพ็ญเพียงก็ต้องลืมพักผ่อนลืมกิน นี่คือประสบการณ์ที่งดงามมาก”
“เอาหละ ข้าจะทดสอบเจ้า” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวและลุกขึ้นยืน ชี้ไปตามอารมณ์ไปที่ภาพๆ หนึ่ง ถามว่า”นี่คืออะไร”
ภาพวาดฝาผนังภาพนี้วาดได้คดเคี้ยวไปมาเหลือเกิน มองดูเหมือนเป็นกวางตัวหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น แต่ทว่ามันวาดได้น่าเกลียดมากเหลือเกินจริงๆ ถึงกับมีงวงยาวๆ อีกด้วย ทำให้ดูเหมือนเป็นภาพวาดที่เกิดจากเด็กที่เพิ่งจะหัดวาดภาพอย่างนั้น ด้านหน้าของกวางที่น่าเกลียดสุดบรรยายนี้ยังมีลายเส้นที่คดเคี้ยวไปมาอยู่สามเส้น เหมือนเป็นการเพิ่มเติมเข้าไปตามอารมณ์อย่างนั้น
“กวางตัว ตัวนี้มีจมูก เหมือนกับกวางมธุสรที่อยู่ในตำนาน ข้า ข้าเคยเห็นอยู่ในตำราเล่มหนึ่ง เส้นโค้งงอสามเส้นแทนแม่น้ำซื่อสุ่ย เนื่องจากกวางมธุสรย่ำแม่น้ำซื่อสุ่ยเป็นนิทานเทพนิยาย ตามตำนานเล่าว่ากวางมธุสรสามารถปกครองทั่วหล้า แต่พลังของมันได้มาจากแม่น้ำซื่อสุ่ย” เย่ซินเสวี่ยที่มองดูภาพวาดนี้แล้วลังเลนิดหนึ่ง และกล่าวขึ้นโดยไม่ค่อยมั่นใจนัก
“พูดได้ดีมาก” หลี่ชิเย่พยักหน้าและพูดให้กำลังใจว่า “นับว่าเจ้ายอดเยี่ยมมากแล้ว คนที่สามารถรู้เรื่องของกวางมธุสรนั้นมีอยู่น้อยมาก”
“จริงๆ รึ?” เย่ซินเสวี่ยพลันรู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดที่ให้กำลังใจเช่นนี้จากหลี่ชิเย่ พลันรูสึกปิติยินดีเต็มเปี่ยมในใจ
ในอดีต ถ้าหากนางพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเทพนิยายอะไรทำนองนี้หละก็ ไม่มีใครตั้งใจไปฟังสักนิด กระทั่งส่ายหน้าด้วยความระอา พอนานวันเข้า นางจึงไม่ต้องการไปคุยกับใครอีกเลย
“ถูกต้อง มีเพียงเจ้าสามารถเข้าใจถึงความหมายแฝงเช่นนี้ จึงสามารถไปสืบค้นหาความลึกซึ้งพิสดารของมันได้” หลี่ชิเย่พยักหน้าและเอ่ยขึ้นมาช้าๆ “แล้วนี่หละคืออะไร?”
ภาพที่หลี่ชิเย่ชี้ไปนั้นเป็นภาพวงกลมวงหนึ่ง ใต้วงกลมมีรูปของเป็ดที่วาดได้น่าเกลียดจนไม่รู้จะน่าเกลียดอย่างไรได้อีก วงกลมวงนี้ไม่สมบูรณ์นัก มีรอยบุ๋มเล็กๆ มองดูเหมือนเป็นวงกลมขนาดเล็กที่วาดโดยเด็กๆ
“นี่ นี่น่าจะเป็นไท่ยี่สยบหงส์ราตรี วงกลมมีรอยบุ๋มเข้าไปคือไท่ยี่ บริเวณวงกลมมีนก ต้องเป็นหงส์ราตรีแน่นอน” เย่ซินเสวี่ยที่มองดูภาพวาดนี้แล้วกล่าวว่า “หงส์ราตรีเข้าร่วมกับกลางคืนที่มืดมิด จะต้องบังเกิดเภทภัยแน่นอน”
“พูดได้ไม่เลว” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวเพิ่มเติมว่า “ในความหมายแฝงนี้ที่ควรจะระวังก็คือไท่ยี่ ไท่ยี่กำเนิดจากขมุกขมัว เมื่อพบกับความมืดก็จะกำกับความสว่าง พบเจอความสว่างก็จะกำกับความมืด เมื่อหงส์ราตรีเข้าร่วมกับความมืด ย่อมต้องมีเภทภัยอย่างแน่นอน ดังนั้น ไท่ยี่กำกับความสว่าง สยบมันเสีย”
อ๋อเป็นเช่นนี้นี่เอง…เย่ซินเสวี่ยตะลึงนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ หลังจากนั้นก็รู้สึกดีใจ และกล่าวว่า “ข้ายังเข้าใจว่าพูดถึงแต่เฉพาะหงส์ราตรี”
“นี่คืออะไร?” หลี่ชิเย่ชี้ไปที่ภาพอีกภาพหนึ่ง
……
แล้วก็ทำกันไปเช่นนี้ โดยหลี่ชิเย่จะชี้ไปยังภาพที่ละภาพให้เย่ซินเสวี่ยไปวินิจฉัยอย่างละเอียด เมื่อมีสิ่งที่นางไม่เข้าใจหลี่ชิเย่ก็จะอธิบายให้กับนาง และเสริมเติมในสิ่งที่นางขาดหายไป
บอกกันตามตรง บรรดาภาพวาดที่ดูเหมือนเป็นลายเส้นที่ยุ่งเหยิงมากแต่ละภาพเหล่านี้ มันได้เกี่ยวพันถึงเทพนิยายเรื่องแล้วเรื่องเล่า และสัตว์เทพหรืออื่นใดที่ไม่สามารถระบุได้ มีเพียงผู้ที่มีความรู้กว้างขวางจึงสามารถรู้ถึงเทพนิยายและหรือความหมายแฝงเหล่านี้ได้อย่างแท้จริง
“เจ้าทำได้ดีมากแล้วหละ เจ้าต้องรู้ถึงความหมายแฝงจึงสามารถไปเข้าใจถึงความหมายที่ลึกซึ้งพิสดารในนี้ได้อย่างลึกซึ้ง เจ้าจึงสามารถเพ่งสายตาไปที่ความหมายแฝง และท่ามกลางความหมายแฝงเหล่านนี้จะได้เปิดเส้นทางขึ้นมาสายหนึ่งให้กับเจ้า” หลังจากที่เย่ซินเสวี่ยได้วินิจฉัยภาพวาดทุกภาพจนหมดสิ้นแล้ว หลี่ชิเย่ได้กล่าวชื่นชมนางออกมา
เย่ซินเสวี่ยรู้สึกดีใจเต็มอกเมื่อได้รับคำชมจากหลี่ชิเย่ รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก น้อยคนนักที่จะกล่าวชื่นชมนางเช่นนี้ ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือเห็นด้วยกับความรู้ของนางเช่นนี้ ซึ่งนางขาดแคลนความรู้สึกของผู้เห็นร่วมเช่นนี้
ไม่ง่ายนักกว่าเย่ซินเสวี่ยจะได้สติกลับมาจากความตื่นเต้น จากนั้นกล่าวต่อหลี่ชิเย่ด้วยความตื่นตระหนกว่า “ความหมายของอาจารย์ก็คือ ภาพวาดฝาผนังทั้งหมดในที่นี้คือเคล็ดวิชาหนึ่งรึ?”
กล่าวพลาง นางถึงกับจ้องมองไปยังภาพทุกๆ ภาพที่อยู่ภายในห้องศิลานี้อย่างตื่นตระหนก แม้ว่าภาพทุกภาพที่อยู่ในนี้ล้วนแล้วแต่เกี่ยวพันถึงเทพนิยายต่างๆ แต่ละเรื่อง แต่ว่านางยังไม่ได้คิดไปถึงด้านอื่นๆ
…………………………………………………