ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2007 หันมองอดีต
ช่วงเวลาต่อจากนั้น หลี่ชิเย่ไม่ได้มีการถ่ายทอดอะไรให้กับเย่ซินเสวี่ยและหรือพวกแขนเหล็กห่วงทองคำอีก กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว อาจารย์เป็นแค่ผู้ที่นำพาพวกเขาเข้าสู่ประตูเท่านั้น การฝึกปรือในขั้นสุดท้ายยังคงต้องพึงพาอาศัยตัวของพวกเขาเอง
ช่วงเวลาระหว่างนี้ หลี่ชิเย่นอกจากจะฝึกบำเพ็ญเพียรของตนเองแล้ว เวลาส่วนใหญ่ของเขาหมดไปกับหนังคนของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยนั่น เขาศึกษาถึงหนังคนผืนนี้อย่างละเอียด และนำไปเทียบเคียงกับภูเขาเตี้ยๆ ลูกนั้น
ประโยชน์ของหนังคนผืนนี้ง่ายมาก มันใช้เพื่อการป้องกัน มันสามารถรับกับการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดในโลก แต่สิ่งเหล่านี้หาใช่สิ่งที่หลี่ชิเย่ต้องการ
หลี่ชิเย่ไม่ได้ต้องการประสิทธิผลอะไรของหนังคนผืนนี้ บางทีมันอาจสามารถสำแดงอานุภาพที่สะเทือนฟ้า สิ่งที่หลี่ชิเย่ต้องการคือให้หนังคนผืนนี้เชื่อมกับภูเขาเตี้ยๆ ลูกนั้น เขาต้องการค้นหาร่องรอยอย่างหนึ่งจากหนังคนและภูเขาเตี้ยๆ ลุกนั้น เขาต้องการอาศัยมันเปิดประตูบานหนึ่งขึ้นมา เขาต้องการอาศัยสิ่งนี้เปิดโลกอีกโลกหนึ่งออกมา เป็นโลกที่ไม่ได้คงอยู่!
เป็นโลกที่แม้แต่จอมราชันระดับสูงสุดก็เข้าไปไม่ถึง เป็นโลกที่ไม่ได้คงอยู่ หลี่ชิเย่จะต้องไปสืบค้นมัน เนื่องจากที่ตรงนั้นมีสิ่งของที่เข้าต้องการ
ในอดีตกล่าวสำหรับประตูลักษณะเช่นนี้หลี่ชิเย่เรียกได้ว่าจนปัญญา เขาได้ครุ่นคิดมายุคแล้วยุคเล่าก็ไม่เป็นผล กระทั่งมาคราวนี้ไปได้หนังคนผืนนี้จากมือของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย นำมาซึ่งจังหวะช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อให้กับหลี่ชิเย่ ทำให้หลี่ชิเย่ค้นพบประตูดังกล่าว
หลังจากหลี่ชิเย่ได้ผ่านการศึกษาอย่างละเอียดมาครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วทำการบรรลุควบคู่กับภูเขาเตี้ยๆ ลุกนั้น ทำให้หลี่ชิเย่ รู้ถึงความลึกซึ้งพิสดารที่อยู่ด้านใน
แว้งค์…ในขณะนี้หลี่ชิเย่ได้คลี่หนังคนแผ่นนี้ออกมา หนังคนผืนนี้ได้แปล่งแสงออกมาจางๆ โดยที่แสงนี้มีความพิเศษมากๆ เป็นแสงที่เฉพาะเป็นหนึ่งไม่มีสอง เกรงว่าคนที่เคยเห็นแสงลักษณะเช่นนี้คงมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น
แสงลักษณะเช่นนี้เหมือนประกายเซียน และเหมือนแสงสวรรค์ ลึกลับยิ่งนัก ยามที่มองเห็นแสงเช่นนี้แล้วจะถูกดึงดูดใจไปทันที ทำให้จิตวิญญาณหวั่นไหว เหมือนกลายเป็นเซียนเหาะขึ้นสวรรค์อย่างนั้น
แสงลักษณะเช่นนี้ช่างงดงามเสียเหลือเกิน แสงนี้ได้เคลื่อนไหวไหลรินอยู่บนหนังคน เหมือนว่าไหลไปตามลวดลายเต๋าที่อยู่บนนั้น แต่ก็เหมือนไหลรินไปตามเส้นเลือดบนผิวหนังของแผ่นหนังผืนนั้น
หลี่ชิเย่ถึงกับกลั้นลมหายใจเอาไว้มองดูแสงที่ค่อยๆ ไหลริน เขาถูกแสงลักษณะเช่นนี้ดึงดูดเอาไว้อย่างสุดซึ้ง อีกทั้งยังได้จดจำทิศทางการไหลรินขอแสงบนหนังคน เนื่องจากข้างในนั้นได้ซ่อนความลับที่สะเทือนฟ้าเอาไว้
ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว แสงดังกล่าวได้ไหลรินไปตามลายที่อยู่บนหนังคนแผ่นนี้จนครบทั้งแผ่น ในเวลานี้ได้ยินเสียงดังแว้งค์ แสงที่ไหลรินอยู่บนหนังคนพลันรวมตัวเข้าด้วยกัน เพียงชั่วพริบตเดียวก็ได้รวมตัวกันกลายเป็นร่างเงาของคนผู้หนึ่ง
ร่างเงาคนผู้นี้เลือนรางยิ่งนัก เลือนรางจนกระทั่งมองไม่เห็นหน้าตาของมัน มองเห็นเป็นโครงร่างของมนุษย์เท่านั้น กระทั่งเป็นชายหรือหญิงก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ร่างเงานี้มีขนาดไม่ใหญ่ เพียงเท่าขนาดของกำปั้นเท่านั้น ยามที่ร่างเงาน้ยืนอยู่บนหนังคน หนังคนก็เปรียบเสมือนเป็นโลกที่กว้างขวางใหญ่โตยิ่งแห่งหนึ่ง ท่ามกลางโลกใบนี้ ร่างเงาดังกล่าวเป็นเพียงสรรพสัตว์หนึ่งในนั้นเท่านั้นเอง
หลี่ชิเย่ถึงกับกลั้นหายใจเอาไว้เมื่อมองเห็นร่างเงาร่างนี้ ในเวลานี้สายตาของเขาลึกล้ำยิ่งนัก นาทีนี้สายตาของหลี่ชิเย่เสมือนหนึ่งไล่ติดตามย้อนกลับไปในสายน้ำแห่งกาลเวลา ก้าวข้ายุคสมัยแล้วสมัยเล่า ทะลุผ่านศักราชแล้วศักราชเล่า
สุดท้ายแล้ว สายตาของหลี่ชิเย่ได้ไปถึงศักราชดังกล่าว เสมือนหนึ่งชั่วพริบตาเดียวกันนั้นหลี่ชิเย่ได้มองเห็นร่างที่แท้จริงของคนผู้นั้น มองเห็นหน้าตาที่แท้จริงของคนผู้นั้น
ทันใดนั้นเอง ผู้ที่ยืนอยู่บนหนังคนเหมือนว่าจะรับรู้ได้ มันหันหัวมาอย่างกะทันหัน มองไปที่หลี่ชิเย่
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง สายตาของคนทั้งสองได้ก้าวข้ามสายน้ำแห่งกาลเวลาไป ก้าวข้ามกาลเวลาที่ห่างไกล ถึงกับต่างฝ่ายต่างมองตากันและกันทีหนึ่ง
แต่ว่า หลังจากมองตากันเพียงแค่ครั้งเดียวแล้ว ร่างเงานี้ก็ก้าวเท้าเดินไกลออกไปทีละก้าวๆ เหมือนว่าในขณะนี้มันก้าวเดินบนโลกอีกโลกหนึ่ง เขาได้ก้าวเดินมุ่งไปยังแดนไกลของโลกใบนี้ เหมือนว่าก้าวเข้าไปยังส่วนลึกของโลกใบนี้
หลี่ชิเย่กลั้นลมหายใจเอาไว้ จ้องมองดูทุกฝีก้าวของร่างเงาผู้นี้ จดจำเส้นทางการก้าวเดินของร่างเงาผู้นี้เอาไว้แม่น นี่คือวาสนาอย่างหนึ่ง เป็นวาสนาที่ยากจะพานพบเป็นนิรันดร์
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ร่างเงาร่างนี้ได้ก้าวเดินจนครบตลอดเส้นทาง เหมือนว่านาทีสุดท้ายนี้มันก็เดินจนเหนื่อยแล้ว มันก้าวเดินมานานมาก เดินไปไกลมาก สุดท้ายเหมือนว่ามันได้ก้าวเข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของโลกนี้ ได้เวลาที่ควรจะพักผ่อนและสมควรนอนหลับใหลได้แล้ว
ดังนั้น เวลานี้แสงดังกล่าวค่อยๆ จางหายไป และร่างเงานี้ก็ดูจางขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายหายไปจนสิ้น
หลังจากที่แสงจางหายไป ร่างเงาก็จางหายตามไปด้วย หนังคนยังคงเป็นหนังคนไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เหมือนว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น
“ที่แท้เป็นอย่างนี้ ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง!” หลังจากที่ร่างเงาของคนจางหายไปแล้ว หลี่ชิเย่ถึงกับถูฝ่ามือและหัวเราะ พึมพำขึ้นมา
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ได้เงยหน้าขึ้น แสงตะวันด้านนอกงดงามยิ่งนัก ทุกอย่างล้วนแล้วแต่กลายเป็นงดงามเหลือเกิน ทำให้หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มจางๆ และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ชาตินี้เคยมีผู้ถามว่าสู้รบจนถึงที่สุดมีความมั่นใจกี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากจะต้องให้ข้าให้คำตอบในวันนี้ ต่อให้หนทางอันตรายมากไปกว่านี้ ข้ายังคงสามารถล่าถอยกลับมาได้อย่างปลอดภัย”
ครั้นเอ่งมาถึงตรงนี้แล้ว เผยรอยยิ้มที่จางๆ ขึ้นมา
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ หลี่ชิเย่ยืนตัวตรงเดินออกจากบ้านเรือน เวลานี้มองเห็นเย่ซินเสวี่ย แขนเหล็กห่วงทองคำ และหลิวจินเซิ่นพวกเขาต่างยืนอยู่หน้าบ้านทั้งสามคน
อาจารย์…พลันที่พบกับหลี่ชิเย่ พวกเขาต่างรีบเร่งโค้งคำนับและร้องกล่าวขึ้นมาด้วยความเคารพ แม้แต่หลิวจินเซิ่นที่แอบซ่อนตัวไม่เปิดเผยยังร้องเรียกคำว่าอาจารย์ด้วยความสยบทั้งกายและใจ
หลี่ชิเย่เอ่ยถามขึ้นมาเรียบๆ เมื่อมองเห็นพวกเขาพากันมาทั้งสามคนว่า “มีเรื่องอะไรรึ?”
พวกเย่ซินเสวี่ยสามคนมองตากันและกัน เย่ซินเสวี่ยที่งดงามขลาดกลัวก้มหน้าลง ขณะที่แขนเหล็กห่วงทองคำหัวเราะแหะแหะ สุดท้ายยังคงเป็นหลิวจินเซิ่นที่พูดขึ้น
“ภาคการศึกษาเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นไม่นาน ทางสถาบันได้จัดให้มีงานมหกรรมชิมชาขึ้นที่เมืองตำรา พวกเราคิดอยากจะไปร่วมสนุกสักหน่อย หวังว่าท่านอาจารย์จะอนุญาต” หลิวจินเซิ้นพูดด้วยท่าทีไม่รีบและไม่ช้าเกินไป
“ชีวิตเงียบสงบเกินไปเลยอยากเปลี่ยนแปลงบ้างนะเนี่ย” หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมย และกล่าวว่า”ก็ดี การบำเพ็ญเพียงหาใช่เป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง การออกไปเดินเล่นสักบ้างก็เป็นการดี ข้าเองก็ไม่มีเรื่องอะไร ติดตามพวกเจ้าไปเมืองตำราสักครั้งก็แล้วกัน”
“จริงรึ…” เย่ซินเสวี่ยต่างรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ เงยหน้าขึ้นอย่างทันทีทันใด ร้องออกมาด้วยความดีใจ จากนั้นพลันรู้สึกว่าตัวเองเสียมารยาทเกินไป จึงรีบก้มหน้าลง
“ไปเถอะ เดินเล่นสักหน่อยก็ดี” หลี่ชิเย่พูดขึ้นเฉยเมยว่า “เรือนตำราของพวกเราก็หาใช่เป็นหนอนหนังสือกลุ่มหนึ่ง ให้พวกอัจฉริยะบุคคลของจวนราชัน หอศักดิ์สิทธิ์ได้รู้จักพลังแฝงของเรือนตำราสักบ้างก็ดี”
“อัจฉริยะบุคคลของจวนราชัน หอศักดิ์สิทธิ์เรียกว่ามีจำนวนนับไม่ถ้วนทีเดียว ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของพวกเขานามว่าสามเทพบุตรนั้นนับว่าแข็งแกร่งกว่านักศึกษาที่มีอายุมากอย่างพวกเรามากทีเดียว” แขนเหล็กห่วงทองคำเกาศีรษะและพูดขึ้นมาซื่อๆ
สำหรับเย่ซินเสวี่ยนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก นางเพียงต้องการออกไปดู และร่วมคึกครื้นเท่านั้นเอง
“ก็แค่อัจฉริยะบุคคลเท่านั้นเอง ไหนเลยคู่ควรจะกล่าวถึง ขอเพียงตนเองมีความพยายามให้มาก ช้าเร็วสักวันก็ต้องแซงล้ำหน้าดาวรุ่งพวกนั้นได้อยู่แล้ว นับแต่อดีตที่ผ่านมาใช่ว่ามีเพียงประเภทอัจฉริยะบุคคลที่ปราศจากผู้ต่อกรเท่านั้น” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แน่นอนที่สุด คำพูดนี้ของหลี่ชิเย่จุดประสงค์หลักต้องการพูดให้เย่ซินเสวี่ย และแขนเหล็กห่วงทองคำฟัง เย่ซินเสวี่ยคือศิษย์ที่เขาสอนมากับมือ ขณะที่แขนเหล็กห่วงทองคำเป็นทายาทของสหายเก่า นับว่าหลี่ชิเย่ได้ให้การดูแลแล้ว
สำหรับหลิวจินเซิ่นไม่ได้จัดอยู่ในนี้ เนื่องจากตัวของเขามีความแข็งแกร่งมากแต่เดิมอยู่แล้ว ตัวเขาไม่ไปหาเรื่องก็นับว่าเป็นเรื่องดีมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นดาวรุ่งอะไรไม่สามารถเทียบเคียงกับเขาได้อยู่แล้ว
แม้ว่าเย่ซินเสวี่ยจะไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมา แต่ว่า นางได้จดจำทุกถ้อยคำของหลี่ชิเย่เอาไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม นางชื่นชอบที่จะจดจำทุกๆ คำพูดของหลี่ชิเย่เอาไว้ เนื่องจากทุกๆ คำพูดของหลี่ชิเย่กล่าวสำหรับนางแล้วมันคือบทบัญญัติที่จะต้องปฏิบัติตาม กล่าวสำหรับนางแล้วล้ำค่ายิ่งนัก
สำหรับแขนเหล็กห่วงทองคำนั้น เขาเกาศีรษะและหัวเราะแหะแหะ
“ไปกันเถอะ ไปดูกัน ข้าเองก็อยากจะพบผู้คนบ้าง” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง สั่งการกับเย่ซินเสวี่ยทั้งสามคน
สถาบันศึกษาเทพเจ้ามีขนาดพื้นที่ใหญ่มาก เรียกได้ว่ากินพื้นที่กว้างขวางไร้ขอบเขต ภายในสถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่เพียงบรรดาผู้เป็นอาจารย์จะมีพื้นที่ที่เป็นวิมานของตนเอง และไม่เพียงระดับชั้นศึกษาแต่ละชั้นที่กินพื้นที่บริเวณกว้างขวางมาก นอกเหนือจากนี้ท่ามกลางสถาบันศึกษาเทพเจ้ายังมีเมืองโบราณขนาดยักษ์อยู่หลายแห่ง โดยที่เมืองโบราณเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นทรัพย์สินของสถาบันศึกษาเทพเจ้าทั้งสิ้น
เมืองตำราก็คือหนึ่งในเมืองโบราณหลายเมืองนั่น อีกทั้งเมืองตำรายังตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างระดับชั้นการศึกษาทั้งห้า ห่างจากที่ตั้งของระดับชั้นการศึกษาทั้งห้าค่อนข้างใกล้ ดังนั้นจึงมีนักศึกษาจากระดับชั้นการศึกษาทั้งห้ามารวมตัวกันอยู่ที่นี่เป็นประจำ
ยังไม่ทันไปถึงเมืองตำราก็สามารถมองเห็นรูปแกะสลักสองรูปที่มีขนาดสูงใหญ่ยากจะหาใดเทียมตั้งตระหว่านอยู่นอกเมืองแต่ไกล ยามที่เดินเข้าไปใกล้ทุกคนจะพบว่ารูปแกะสลักทั้งสองสูงใหญ่เหลือเกิน
ยืนอยู่ด้านล่างของรูปแกะสลักทั้งสองทำให้รู้สึกว่าตนเองเสมือนดั่งมดปลวกอย่างนั้น เมื่อแหงนหน้าขึ้นมอง ดูเหมือนจะมองไม่เห็นส่วนที่เป็นศีรษะของรูปแกะสลักทั้งสอง เนื่องจากพวกเขาสูงทะลุเมฆาไปแล้ว
รูปแกะสลักทั้งสองที่ยืนตระหง่านอยู่นอกประตูเมืองนั้น เสมือนหนึ่งเป็นมนุษย์ยักษ์ทั้งสองที่ป้องกันเมืองตำราเอาไว้อย่างนั้น
เมื่อมีการพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง จะพบว่ารูปแกะสลักทั้งสองเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายนั้นสูงใหญ่ดุดัน หญิงนั้นงดงามฉลาดเฉลียว รูปแกะสลักชายหญิงคู่นี้ ผู้ชายถือดาบศักดิ์สิทธิ์ด้วยมือสองข้าง ขณะที่ผู้หญิงถือกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยมือสองข้าเช่นกัน ดาบและกระบี่ของพวกเขาล้วนอยู่ด้านหน้าของพวกเขา ท่าทางเหมือนเป็นการปกป้องรักษาเมืองตำราเอาไว้
รูปแกะสลักทั้งสองเหมือนแกะสลักมาจากหิน แต่ว่ามีพลังสายหนึ่งที่อยู่เหนือหมื่นแดนอย่างนั้น ไม่ว่าผู้ใดที่มองเห็นแล้วก็ต้องลุกขึ้นยืนด้วยความเคารพเลื่อมใสและศรัทธาโดยไม่กล้าไม่ให้เกียรติแม้แต่น้อย
“รูปแกะสลักหินที่ใหญ่โตมากจริงๆ เขาเป็นใครกันนะ?” แขนเหล็กห่วงทองคำถึงกับพึมพำขึ้นมาเมื่อแหงนหน้ามองอูรูปแดะสลักที่มีขนาดใหญ่โตทั้งสอง “นี่คือบรรพบุรุษของสถาบันศึกษาเทพเจ้ารึ?”
“พวกเขาคือหยางเจิ้นเวย และกัวซินเยว่” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นเรียบๆ เมื่อมองดูรูปแกะสลักที่ใหญ่โตปราศจากผู้เทียบเทียมทั้งสองแล้ว
“หยางเจิ้นเวย กัวซินเยว่ คือใครกัน?” แขนเหล็กห่วงทองคำไม่เคยได้ยินชื่อของคนทั้งสอง ถึงกับเอ่ยถามขึ้นมา “คือท่านผู้อาวุโสใดเล่า?”
“พวกเขาคือเซียนหวังสองประสาน เป็นหนึ่งในบรรดาเหล่าเซียนหวังที่เป็นคู่สามีภรรยา” เย่ซินเสวี่ยที่เชี่ยวชาญเรื่องประวัติศาสตร์เกี่ยวกับจอมราชันเซียนหวังจึงรีบพูดขึ้นมา “พวกเขาก็สำเร็จการศึกษาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเราเช่นกัน”