ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2047 เซียนหวังมาฟังการบรรยาย
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2047 เซียนหวังมาฟังการบรรยาย
คำพูดของกู่ฉวี่หังก้องกังวานอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้า คำพูดของเขาฟังดูเหมือนเป็นการยกย่องหลี่ชิเย่ แต่ความจริงแล้ว บรรดานักศึกษาที่อยู่ได้เหตุการณ์พลันได้ยิน มันไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
เวลานี้นักศึกษาที่เข้าไปนั่งฟังในลานธรรมมีเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น ขณะที่ด้านนอกของลานธรรมมีนักศึกษาจำนวนนับหมื่น สภาพเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไรที่เรียกว่ากระหายอยากที่จะเรียนรู้ ทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกได้ทันทีว่าเป็นการเยาะเย้ย
“นั่นสิ พวกเราต่างกระหายอยากจะเรียนรู้ รอฟังการบรรยายอยู่นะเนี่ย” มีนักศึกษาร้องเสียงดังขึ้นมา คำพูดนี้บ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นการเยาะเย้ย
“กระหายอยากจะเรียนรู้…” ในเวลานี้ นักศึกษาจำนวนมากหัวเราะเสียงดังออกมา
ใช่ว่านักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์จะมีความเป็นศัตรูกับหลี่ชิเย่ ใครใช้ให้กู่ฉวี่หังได้รับความนิยมสูงขนาดนั้น ใครใช้ให้กู่ฉวี่หังมีชื่อเสียงโด่งดังขนาดนี้ในสถาบันศึกษาเทพเจ้า นักศึกษาจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชื่นชมศรัทธาและเลื่อมใสในตัวเขา
หากจะกล่าวว่า ระหว่างหลี่ชิเย่กับกู่ฉวี่หังจะต้องเลือกคนใดคนหนึ่ง เช่นนั้นแล้วนักศึกษาส่วนใหญ่ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ต้องไม่ลังเลที่จะเลือกยืนอยู่ข้างฝ่ายของกู่ฉวี่หัง จะอย่างไรเสียกล่าวสำหรับนักศึกษาจำนวนมากแล้ว หลี่ชิเย่เป็นเพียงประเภทที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามเท่านั้นเอง
“พี่ฉวี่หังอย่าใจร้อน การบรรยายของคุณชายหลี่ควรค่าแก่พวกเรารอคอย เหล่าผู้เฒ่าเองก็ยินดีรอ” เวลานี้เสียงที่เหมือนดั่งเสียงธรรมชาติดังขึ้น ผู้หญิงคนหนึ่งลอยล่องมาถึง เสมือนหนึ่งเทพธิดาลงมายังโลกมนุษย์ ปราดเปรื่องน่าทึ่งปราศจากผู้เทียบเทียม ทำให้ผู้พบเห็นต่างมีจิตเคลิบเคลิ้มหลงไหล
“อาจารย์เชียนเสวียนก็มาแล้ว” สายตาของนักศึกษาทั้งหมดพลันถูกดึงดูดเอาไว้ เมื่อมองเห็นผู้หญิงที่งดงามดั่งเทพธิดาลงมาจากสวรรค์ มีนักศึกษาที่ร้องเสียงดังขึ้นมา
ผู้ที่มาถึงก็คืออวี่เชียนเสวียนนั่นเอง หลังจากที่อวี่เชียนเสวียนมาถึงแล้วได้กล่าวว่า “โชคดีที่มาทัน สามารถได้ฟังคำสั่งสอนของคุณชาย” กล่าวพลางรีบเข้านั่งประจำที่
การมาของอวี่เชียนเสวียนพลันทำให้นักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกงงงัน ในบรรดาอาจารย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ความนิยมชมชอบของอวี่เชียนเสวียนสามารถเทียบเคียงกับกู่ฉวี่หังได้อย่างแน่นอน
ขณะกู่ฉวี่หังบรรยาย อวี่เชียนเสวียนไม่ได้มาให้การสนับสนุน แต่หลี่ชิเย่ยังไม่ทันได้มาบรรยาย อวี่เชียนเสวียนกลับมาให้การสนับสนุนแต่วัน
สีหน้าของกู่ฉวี่หังถึงกับเปลี่ยนไป แต่ว่าเขายังคงเผยรอยยิ้มออกมา ยังคงรักษาท่วงท่าสง่างามเหนือผู้คน
ในเวลานี้เอง มีคนสองคนเดินเข้าหุบเขามา และมาถึงด้านนอกของลานธรรม หลังจากที่คนทั้งสองมาถึงแล้ว ได้มองไปรอบๆ ดูเหมือนจะไม่คุ้นเคย
สองคนนี้เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ฝ่ายชายนั้นรูปร่าสูงใหญ่ ทรงพลังอำนาจและกล้าหาญ สะพายดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มหนึ่งอยู่ด้านหลัง ฝ่ายผู้หญิงรูปร่างกระจุ๋มกระจิ๋ม งดงามจนหาสิ่งใดเปรียบเปรยไม่ได้ สะพายกระบี่เล่มหนึ่ง
หนึ่งชายหนึ่งหญิงนี้ได้เก็บงำพลังลมปราณเอาไว้ และสำรวมกลิ่นอายทั้งหมด ปิดบังซ่อนเร้นความอภินิหารทุกอย่าง ทำให้ผู้พบเห็นไม่สามารถดูรู้ถึงความตื้นลึกหนาบางของพวกเขาทั้งสอง
“ไม่ได้กลับมานานมากแล้ว ไม่รู้ว่ามาผิดทางหรือเปล่า” หลังจากเดินเข้ามายังหุบเขาแล้ว มองดูลานธรรมแล้วชายวัยกลางคนที่รูปร่าสูงใหญ่ ทรงพลังอำนาจและกล้าหาญถึงกับเอ่ยขึ้น
“ท่านพี่ ท่านมองไปที่ไหนกัน ดอกสัจธรรมหลายดอกที่อยู่บนผนังสัจธรรมข้างหน้าท่านคงมองเห็นกระมัง ในสถาบันศึกษาเทพเจ้านอกจากลานธรรมแล้วยังจะมีที่ใดมีดอกสัจธรรมเล่า” ผู้หญิงที่รูปร่างกระจุ๋มกระจิ่มหัวเราะและพูดขึ้นมา
“ที่พูดมาก็ถูก เช่นนั้นแล้วพวกเราไม่ได้มาผิดที่แล้ว” ชายวัยกลางคนที่รูปร่าสูงใหญ่ ทรงพลังอำนาจและกล้าหาญเกาศีรษะและหัวเราะออกมา
บรรดานักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกแปลกใจกับหนึ่งชายหนึ่งหญิงที่ปรากฎขึ้นมาอย่างกะทันหัน เวลานี้นักศึกษาจำนวนไม่น้อยต่างมองตากันและกัน ทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจว่าหนึ่งชายหนึ่งหญิงนี้โผล่มาจากไหนกันแน่ จะอย่างไรเสียพวกเขาสองคนดูแล้วไม่เหมือนเป็นอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้า
“พวกเขาดูคุ้นหน้าคุ้นตาเหลือเกิน เหมือนว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” มีนักศึกษารู้สึกสงสัยขณะมองดูหนึ่งชายหนึ่งหญิงคู่นี้ รู้สึกว่าตนเองเหมือนได้เคยพบเห็นพวกเขามาก่อนอย่างนั้น แต่กลับนึกไม่ออก
“นั่นสิ ข้าเองก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเหลือเกิน แต่ก็นึกไม่ออก” มีนักศึกษาที่พูดสนับสนุนขึ้นมา
“รีบเดินเข้าหน่อยอย่ามัวโอ้เอ้ การที่อาจารย์สามารถบรรยายด้วยตัวเองสักครั้ง ช่างเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย” เวลานี้ผู้หญิงที่มีรูปร่างกระจุ๋มกระจิ๋มพูดกับผู้ชายคนนั้น
“ได้ ได้ ยังดีที่มาไม่สาย ไม่อย่างนั้นหละก็ข้าสมควรตบปากตัวเองแล้วหละ” ชายวัยกลางคนยิ้มกล่าว
เวลานี้ชายวัยกลางคนกับผู้หญิงทั้งสองจูงมือกันก้าวเท้าเข้าไปยังลานธรรมอย่างเร็ว ขณะที่พวกเขาทั้งสองก้าวเข้ามายังลานธรรม พวกเหมยซู่เหยาต่างหันไปมอง
“ท่านผู้อาวุโสทั้งสองมาถึง ผู้เยาว์ไม่ได้ไปให้การต้อนรับ ขออภัย ขออภัย” อวี่เชียนเสวียนรีบลุกขึ้นยืนให้การต้อนรับด้วยตนเอง
“นังหนูโตขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องเกรงใจ ล้วนแล้วแต่เป็นครอบครัวเดียวกัน” ผู้หญิงยิ้มกล่าวต่ออวี่เชียนเสวียน
ชายวัยกลางคนก็หัวเราะและกล่าวว่า “ทักษะยุทธของนังหนูเกือบจะแซงหน้าพวกเราแล้วหละ นี่แหละคลื่นลูกหลังไล่คลื่นลูกหน้า”
“ท่านลุงหยางหัวเราะเยาะข้าแล้ว ดาบกระบี่สองประสานของท่าลุงหยาง ปราศจากผู้ต่อกรในหล้า ใครหาญกล้าต่อกร” อวี่เชียนเสวียนหัวเราะดั่งเด็กสาวดูงดงามยิ่งนัก
“ข้า ข้า ข้ารู้แล้วว่าพวกเขาเป็นใคร…” เวลานี้มีนักศึกษาของจวนราชัยผู้หนึ่งถึงกับร้องเสียงดังขึ้นมา แต่นาทีต่อมาเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเสียงตัวเองดังเกินไปแล้ว เป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง
นักศึกษาผู้นี้รีบลดโทนเสียงลง และกล่าวว่า “พวก พวก พวกเขาก็คือเทพผู้พิทักษ์สถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเรา นามว่าเซียนหวังสองประสาน!”
“ถูกต้อง เป็นพวกเขานั่นแหละ ข้าเคยเห็นรูปแกะสลักของพวกเขาที่เมืองตำรา” นักศึกษาอีกผู้หนึ่งก็พูดขึ้นเสียงแผ่วเบา
เวลานี้เอง ทุกคนจึงได้เข้าใจว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงรู้สึกว่าสามีภรรยาคู่นี้คุ้นหน้าคุ้นตากันนัก ที่แท้พวกเขาก็คือเทพผู้พิทักษ์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าเซียนหวังสองประสาน ดาบกระบี่ปราศจากผู้ต่อกรนั่นเอง
ที่เมืองตำรายังคงมีรูปแกะสลักขนาดยักษ์ของพวกเขาตั้งตระหง่านอยู่ นักศึกษาทั้งหมดของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ล้วนแล้วแต่เคยเห็นรูปแกะสลักของพวกเขามาก่อน
เวลานี้ นักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างอ้าปากกว้าง แม้แต่เซียนหวังสองประสานยังปรากฎตัวออกมาฟังการบรรยายด้วยตนเอง มัน มันไม่น่าเชื่อเหลือเกิน
นักศึกษาทั้งหมดต่างมองดูด้วยความงงงัน นี่คือเซียนหวังสองประสานนะเนี่ย ดาบกระบี่สองประสานสองสามีภรรยาของพวกเขาปราศจากผู้ต่อกรในหล้า สามารถสังหารจอมราชันที่มีชะตาฟ้าแปดสายได้ ในฐานะที่เป็นเซียนหวังรุนโบราณ ได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนเป็นอันมาก วันนี้กลับมาฟังการบรรยาย มัน มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อสำหรับผู้คนอยู่แล้ว
“นับว่าโชคดีมากที่ข้าไม่ได้มาสาย มิฉะนั้นหละก็โทษมหันต์แล้ว” เวลานี้ปรากฎเสียงหัวเราะที่เปิดเผยขึ้นเป็นระลอก มองเห็นคนผู้หนึ่งเหินฟ้าเข้ามา เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ก้าวเท้าเข้าไปในลานธรรม
“ราชันทักษิณมาแล้ว” มีนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าร้องเสียงดังขึ้นมา เมื่อมองเห็นผู้ที่เหินฟ้าเข้ามา
สองวันก่อนราชันทักษิณเพิ่งกลายเป็นเซียนหวังหมาดๆ เป็นเซียนหวังรุ่นใหม่ที่มีชะตาฟ้าสี่สาย เรียกได้ว่าชื่อเสียงโด่งดังยิ่ง อำนาจบารมีสยบทั่วทุกแห่ง เวลานี้ราชันทักษิณก็เดินทางมาฟังการบรรยายด้วยตนเองแล้ว ทำให้นักศึกษาทุกคนมองดูจนอ้าปากตาค้าง
“คนหนุ่มมีพลังน่าเคารพเลือมใส อ้ายน้อง อนาคตเจ้าสืบทอดชะตาฟ้าสิบสองสาย คล้ายดั่งเซียนหวังอิเย่อย่างนั้น คือความภาคภูมิใจของสถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเรา” เมื่อหยางเจิ้นเวยของเซียนหวังสองประสานพบกับราชันทักษิณได้ตบบ่าของราชันทักษิณและพูดหัวเราะเสียงดังขึ้นมา
“ให้พี่ต้องหัวเราะเยาะแล้วหละ” ราชันทักษิณโค้งคำนับ หัวเราะและกล่าวว่า “ดาบและกระบี่ของท่านที่เป็นสองสารมีภรรยาปราศจากผู้ต่อกร วันหน้ายังต้องขอคำชี้แนะจากทั้งสองท่านให้กับผู้เยาว์เช่นข้า”
“ใครกันแน่ที่เป็นผู้เยาว์ก็ยังไม่แน่” กัวซินเย่ของเซียนหวังสองประสานหัวเราะและเอ่ยขึ้นมา
“ผู้บรรลุถึงจุดหมายก่อนนับเป็นผู้อาวุโส ไม่นับความแก่หรืออ่อนด้านอายุ” ราชันทักษิณหัวเราะและกล่าวว่า “ท่านที่เป็นสองสามีภรรยาคือผู้ที่ก้าวเดินอยู่ข้างหน้า มีสัจธรรมสูงส่ง บนเส้นทางสายนี้ข้าคือผู้เยาว์”
คำพูดของราชันทักษิณพลันทำให้เซียนหวังสองประสานสองสามีภรรยาหัวเราะขึ้นมา จากนั้น พวกเขาจึงได้เข้านั่งประจำที่
เวลานี้พวกนักศึกษาอย่างเถาถิงเรียกได้ว่ากลัวด้วยความหวาดระแวง ทั้งตระหนกระคนกับความดีใจ นาทีนี้พวกเขาไม่สามารถอาศัยตัวอักษรมาเปรียบเปรยถึงสภาพจิตใจของตนเองได้
สมควรทราบว่า ปรกติแล้วพวกเขาคิดจะได้พบเห็นเซียนหวังในตำนานประเภทนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว เวลานี้พวกเขากลับอยู่ใกล้กับตนเองมากถึงเพียงนี้ สามารถนั่งใกล้กับพวกเขา ได้ฟังการสนทนาอย่างสนุกสนานของพวกเขา ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อะไรอย่างนั้น
การได้นั่งอยู่ด้วยกันกับเซียนหวัง ลำพังแค่พบกันด้วยโชคแท้ๆ เช่นนี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกว่าเป็นเกียรติอย่างสูงสุด เรื่องลักษณะเช่นนี้สามารถกลายเป็นหัวข้อสนทนาของพวกเขาไปชั่วชีวิต
ต่อให้พวกเขาไม่สามารถกลายเป็นระดับผู้ยิ่งใหญ่อะไรในอนาคตก็ตาม แต่ว่า เมื่อเล่าถึงเรื่องราวในอดีตของตนเองกับผู้เยาว์แล้ว พูดถึงว่าตนเองได้เคยนั่งด้วยกันกับเซียนหวังสองประสาน ราชันทักษิณที่เป็นบุคคลระดับเช่นนี้แล้ว มันช่างเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจเหลือเกิน สามารถยืดอกของตนได้เต็มที่ต่อหน้าลูกหลานของตนเอง บรรพบุรุษของพวกเจ้านับว่าเป็นผู้ที่ได้เคยพบกับผู้ยิ่งใหญ่มาแล้ว
“พวกเจ้าที่เป็นตาเฒ่าเหล่านี้เดินให้มันเร็วๆ หน่อย เกือบจากไปสายแล้วนะ อายุปูนนี้แล้วยังทำตัวเหมือนเด็กนักเรียนอย่างนั่นที่มาสาย ไม่อายเขารึ?” ขณะที่นักศึกษาที่อยู่ด้านนอกลานธรรมกำลังอ้าปากตาค้างอยู่นั้น เสียงที่แก่หง่อมเสียงหนึ่งดังขึ้น
ในเวลานี้เอง มองเห็นด้านนอกหุบเขามีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ถือไม้เท้าก้าวเดินเข้ามาเหมือนเหาะได้ ผู้เฒ่าผู้นี้มีท่วงท่าบุคลิคที่ดูกระฉับกระแฉง ผมเผ้าที่เป็นสีดอกเลาส่งประกายสีเงินแวบวับ แลดูมีชีวิตชีวา
“อา อดีตผู้อำนวยการ…” มีนักศึกษาที่สามารถจดจำได้ทันทีที่เห็นผู้เฒ่าที่ก้าวเดินได้รวดเร็วเหมือนเหาะ พูดติดอ่างออกมา
“ตาเฒ่าสือ เจ้าเดินได้เร็วก็เก่งนักหนานะเนี่ย” จังหวะที่ผู้เฒ่าก้าวเดินเข้ามาดั่งเหาะนั้น ปรากฎมีเสียงด่าดังตามมาจากด้านหลัง
จากนั้น ปรากฏผู้เฒ่ากลุ่มหนึ่งเดินเข้าหุบเขามา ล้วนแล้วแต่เป็นผู่เฒ่าที่มีผมเผ้าขาวโพลนทั้งสิ้น มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง พวกเขาพูดคุยกันอย่างอารมณ์ดีเข้ามา
“ข้า ข้า ข้าคงไม่ได้ตาลายนะ ล้วน ล้วน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เฒ่าของสถาบัน พวก พวก พวกเขาก็มาฟังการบรรยายรึ?” นักศึกษาทั้งหมดต่างมองดูจนงุนงงไปหมด เมื่อได้เห็นผู้เฒ่ากลุ่มนี้ที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนานพากันเดินเข้ามาเหมือนมาเดินตลาดนัดอย่างนั้น
ผู้เฒ่ากลุ่มนี้ที่อยู่ตรงหน้าก็คือผู้เฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้านั่นเอง ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสถาบันศึกษาเทพเจ้าทั้งสิ้น ปรกติแล้วพวกเขาจะไม่ปรากฏตัวออกมาถ่ายทอดวิชา เว้นแต่บางครั้งอาจนึกสนุกขึ้นมาแล้วมาถ่ายทอดความรู้สักครั้งสองครั้ง กล่าวได้ว่าสำหรับนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าแล้ว สามารถฟังการบรรยายของพวกเขาต้องถือว่าโชคดีอย่างยิ่ง
แต่ว่า เวลานี้อาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้ายกขบวนกันมาทั้งหมด พวกเขาถึงกับมาฟังคำบรรยายจากหลี่ชิเย่ นี่ นี่ นี่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
อาจารย์…นักศึกษาทั้งหมดที่อยู่ในลานธรรมต่างรู้สึกตื่นตระหนก เมื่อได้เห็นการมาถึงของบรรดาผู้เฒ่าที่เป็นพวกอดีตผู้อำนวยการ พวกของเถาถึงตกใจจนต้องหวาดกลัวด้วยความหวาดระแวง ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าผู้เฒ่าของสถาบันจะพากันมาทั้งหมด พวกเขาถึงกับได้นั่งฟังการบรรยายพร้อมกับผู้เฒ่าของสถาบัน เรื่อง เรื่อง เรื่องนี้พูดออกไปแล้วคนอื่นคงไม่เชื่อ
“เสี่ยวกัวสองสามีภรรยาก็มาด้วยแล้ว” มีผู้เฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้าหัวเราะเหอะเหอะเมื่อมองเห็นราชันทักษิณและเซียนหวังสองประสานที่ลุกขึ้นมาให้การต้อนรับ
แม้จะกล่าวว่าเซียนหวังสองประสานคือเซียนหวังที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งยุค แต่ทว่าท่ามกลางผู้เฒ่ากลุ่มนี้แล้ว ยังคงมีผู้เฒ่าที่เคยสอนพวกเขาสองสามรภรรยาอยู่
“อาจารย์มาบรรยาย พวกเราสองสามีภรรยามาเพื่อฟังคำสั่งสอน” หยางเจิ้นเวยหัวเราะพลางและพูดขึ้น
เวลานี้ ภายใต้การต้อนรับของพวกอวี่เชียนเสวียน เหล่าผู้เฒ่าของสถาบันทยอยกันเข้านั่งประจำที่ หลังจากที่บรรดาผู้เฒ่าต่างนั่งลงกันเรียบร้อยแล้ว พวกของเถาถิงจึงกล้านั่งลง
ในขณะนี้ พวกของเถาถิงไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจแรง สิ่งนี้กล่าวสำหรับพวกเขาแล้วนับว่าน่าสะเทือนหวั่นไหวเหลือเกิน ในใจของพวกเขาก็แอบรู้สึกว่าเป็นความโชคดี ถ้าหากไม่เป็นเพราะพวกเขาเข้ามาก่อนหละก็ เวลานี้คงไม่มีสิทธิ์ได้มานั่งอยู่ที่ตรงนี้แล้ว
เวลานี้ ต่อให้นักศึกษาที่อยู่ด้านนอกลานธรรมคิดอยากจะเข้ามานั่งก็ไม่กล้าแล้ว เนื่องจากบรรดาผู้เฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้า และเซียนหวังล้วนแล้วแต่นั่งกันอยู่ตรงนั้นแล้ว หากนับเรื่องของอาวุโสพวกเขาไม่มีสิทธิ์นั่งด้วยกันกับบรรดาผู้เฒ่าและเซียนหวังได้
ในขณะนี้มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่แอบนึกเสียใจอยู่ภายในใจ ถ้าหากพวกเขาเข้านั่งประจำที่เหมือนดั่งพวกเถาถิงแต่แรก เช่นนั้นแล้ว การนั่งอยู่ภายในลานธรรมก็กลายเป็นสมเหตุสมผลไปแล้ว
เวลานี้พวกเขาคิดอยากจะไปนั่งมันเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว พวกเขาไม่มีสิทธิ์นั่งร่วมกันกับบรรดาผู้เฒ่าและเซียนหวัง!
“เฮ่อ พวกเจ้าหน่ะ จะมาฟังการบรรยายทั้งทีก็ไม่ยอมเรียกข้าสักคำ แอบพากันมา หรือรำคาญตาเฒ่าอย่างข้าเดินช้าอย่างนั้นรึ?” เวลานี้มีเสียงที่แก่หง่อมเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
มองเห็นเพียงผู้เฒ่าผู้หนึ่งที่ก้าวเดินเข้ามายังหุบเขาอย่างช้าๆ ค่อยๆ โยกตัวก้าวเดินมาถึงด้านนอกลานธรรม ผู้เฒ่าผู้นี้แลดูธรรมดามาก ไม่มีสิ่งใดเป็นที่น่าสังเกตเป็นพิเศษ
แต่ทว่า ยามที่ผู้เฒ่าผู้นี้ก้าวเดินเข้ามานั้น บรรดาผู้เฒ่าทั้งหมดและเซียนหวังต่างลุกขึ้นยืนทันที
ยิ่งเซียนหวังสองประสานสองสามีภรรยาด้วยแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว พวกเขาเข้าไปพยุงผู้เฒ่าผู้นี้ซ้ายขวา แม้ว่าสองสามีภรรยาจะกลายเป็นเซียนหวังไปแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เฒ่าผู้นี้แล้วก็เรียบร้อยเหมือนดั่งนักเรียนอย่างนั้น
………………………………………………….