ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2111 กำลังจะออกเดินทาง
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2111 กำลังจะออกเดินทาง
เนื่องเพราะมีความรู้สึกเกิดความสะเทือนอารมณ์และสะท้อนใจ ทำให้หลิวจินเซิ่นตัดสินใจรั้งอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าเพื่อสอนหนังสือ กล่าวสำหรับตัวเขาซึ่งเป็นจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวงแล้ว เขาห่างจากการเป็นเทพโบราณเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เรียกได้ว่าอนาคตสำหรับเขานั้นกว้างไกลไร้ขอบเขต แต่ว่าเขายังคงยินดีรั้งอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า
เป็นไปตามที่เขาได้พูดเอาไว้อย่างนั้น ถึงเวลาที่เขาสมควรคืนให้กับสถาบันศึกษาเทพเจ้าบ้างแล้ว
หลี่ชิเย่เองก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจเช่นนี้ของหลิวจินเซิ่น เขาหัวเราะและกล่าวว่า “มีใครบ้างที่ไม่เคยประมาทเลินเล่อในวัยเยาว์ ใครๆ ก็เคยอวดดีกันทั้งนั้น สถาบันศึกษาเทพเจ้าก็สมควรมีผู้คอยเฝ้าปกป้อง จะอย่างไรเสียหนทางข้างหน้ายากลำบากยิ่งนัก การที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้เจ้าที่เป็นขุนพลใหญ่เพิ่มอีกคน นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีของสถาบันศึกษาเทพเจ้า”
หลิวจินเซิ่นถึงกับหัวเราะออกมาเช่นกัน การรั้งอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าเพื่อสอนหนังสือก็ถือเป็นการคลายปมที่อยู่ในใจของเขาในครั้งนั้น ครั้งนั้นเขาที่อายุยังน้อยจึงมีความโอหังยิ่งนัก ทำร้ายอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าจนบาดเจ็บ ฝากคำพูดนักเลงไว้แล้วก็ไปจากสถาบันศึกษาเทพเจ้า
ครั้นเมื่ออายุล่วงเลยเข้าสู่วัยชราได้กลับมาที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าอีกครั้ง เมื่อหวนนึกถึงอดีตที่อายุยังน้อยและประมาทเลินเล่อถึงกับยิ้มออกมา การรั้งอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าเพื่อสอนหนังสือถือเป็นการคืนถิ่นและนับเป็นชะตาลิขิตอย่างหนึ่ง
แล้วเจ้าหละ…เวลานี้หลี่ชิเย่มองดูแขนเหล็กห่วงทองคำแล้วเอ่ยขึ้น
แขนเหล็กห่วงทองคำเกาหัวและหัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “แหะ มีผู้เฒ่าหลิวเป็นผู้สนับสนุน ข้ากลับอยากจะรั้งอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า เพียงแต่ข้าเบื้องบนมีผู้เฒ่าเบื้องล่างมีเด็กน้อย ทั้งครอบครัวต่างรอให้ข้าไปให้การเลี้ยงดู ดังนั้น ข้ายังคงกลับบ้านจะดีกว่า”
แขนเหล็กห่วงทองคำหวังจั๋วต้งแตกต่างจากหลิวจินเซิ่น บนบ่าของเขาแบกภาระหนักอึ้งต้องสร้างตระกูลหวังให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่ ที่เขามายังสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็เพื่อค้นหาเคล็ดวิชาลับของบรรพบุรุษตระกูลหวังที่หายไป เวลานี้เขาสามารถค้นหาเคล็ดวิชาที่สูญหายจนพบแล้ว ก็สมควรแก่เวลาที่เขาจะต้องกลับไปแล้ว ในอนาคตตระกูลหวังยังต้องพึ่งพาความพยายามของเขา ต้องการเขาเป็นผู้ที่แบกรับภารกิจยิ่งใหญ่
“ไปเถอะ ลูกหลานของตระกูลหวังยังคงต้องกลับบ้านอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่ได้มอบของวิเศษหลายชิ้นให้กับแขนเหล็กห่วงทองคำไปตามอารมณ์
แขนเหล็กห่วงทองคำร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง หลังจากรับเอาของวิเศษที่หลี่ชิเย่มอบมาให้ ก้มกราบกับพื้น คุกเข่าสามครั้งกราบเก้าครั้ง และกล่าวว่า “ขอบคุณอาจารย์ที่ประทานให้”
ตระกูลหวังของเขาตกต่ำลง เวลานี้เขาคิดจะฟื้นฟูตระกูลหวังขึ้นใหม่ เรียกได้ว่าหนทางยาวไกลและยากเข็ญ เวลานี้หลี่ชิเย่ประทานของวิเศษให้เขารวดเดียวหลายชิ้น นับว่าเป็นการยื่นมือเข้าช่วยในยามยาก และทันกาล ซึ่งสิ่งนี้นับว่ามีความสำคัญต่อตระกูลหวังของเขามากเหลือเกิน
“ลูกหลานของตระกูลหวังก็อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวัง” หลี่ชิเย่พยักหน้า และรับการคารวะเต็มรูปแบบอย่างสงบ
หลังจากที่แขนเหล็กห่วงทองคำแสดงคารวะเต็มรูปแบบด้วยการคุกเข่าสามครั้งกราบเก้าครั้งแล้ว จึงได้ลุกขึ้นมาด้วยความดีใจอย่างยิ่งและถอยไปยืนอยู่ด้านข้าง ทุกอย่างนับว่าเพียงพอสำหรับเขาแล้ว
“ซินเสวี่ยคิดอย่างไรบ้าง?” หลี่ชิเย่อมยิ้มมองดูเย่ซินเสวี่ย เขาเองก็ชื่นชมและชื่นชอบหญิงสาวที่มีท่าทีเอียงอายบ้างผู้นี้ บนตัวของนางทำให้เขามองเห็นเงาของคนผู้หนึ่ง
“ข้า…” เย่ซินเสวี่ยเงยหน้าขึ้นจ้องมองหลี่ชิเย่ จากนั้นมองดูหลิวจินเซิ่นและแขนเหล็กห่วงทองคำ เวลานี้นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี
นางแตกต่างจากหลิวจินเซิ่นและแขนเหล็กห่วงทองคำ ทั้งหลิวจินเซิ่นและแขนเหล็กห่วงทองคำต่างพกพาเป้าหมายเข้ามายังสถาบันศึกษาเทพเจ้า เมื่อเทียบกับพวกเขาสองคนแล้ว เป้าหมายของนางดูจะบริสุทธิ์ยิ่งนัก แค่ต้องการอ่านตำราเท่านั้นเอง ต้องการเป็นนักศึกษาธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
เวลานี้ หลิวจินเซิ่นคงอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าเพื่อสอนหนังสือ ขณะที่แขนเหล็กห่วงทองคำเข้าสู่การฟื้นฟูตระกูลของตนเองที่ภารกิจยิ่งใหญ่ นางที่เป็นเพียงนักศึกษาตัวน้อยๆ พลันรู้สึกแคว้งขึ้นมา จากการที่หลิวจินเซิ่นและแขนเหล็กห่วงทองคำจากไป ภายในเรือนตำราก็จะเหลือนางที่เป็นนักศึกษาเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ข้า ข้า ข้าก็ไม่รู้” เย่ซินเสวี่ยมีท่าทีเอียงอาย และรู้สึกสับสนงุนงง สุดท้ายอดที่จะเพิ่มเติมไปคำหนึ่งว่า “ข้า ข้าอยากอ่านตำรา”
การที่เย่ซินเสวี่ยได้เพิ่มเติมคำๆ หนึ่งนั้น ในนั้นมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง แม้ว่าเย่ซินเสวี่ยจะมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลขุนนางโบราณ แต่ยังเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูล แต่การอยู่ในตระกูลของนางนั้นดูจะเข้ากับนางไม่ได้เลย นางจึงยินดีที่จะรั้งอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้า และพาตัวเองเข้าไปอยู่ในทะเลตำราที่กว้างใหญ่ไพศาลนั่น
ต่อให้มีวันนั้นวันที่นางสำเร็จการศึกษาแล้ว นางก็ยังยินดีที่จะอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าต่อไป เนื่องจากการอยู่ในเรือนตำราที่ภายในสถาบันที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ นางสามารถหลีกหนีไกลจากความวุ่นวายต่างๆ ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ที่ลึกลับซับซ้อนสารพันภายในตระกูลของนาง
“ก็ได้” หลี่ชิเย่พยักหน้า และกล่าวว่า “ข้าจะบอกกล่าวกับทางสถาบัน รอให้เจ้าสำเร็จการศึกษาแล้ว เจ้าก็ยังคงอยู่ที่เรือนตำราได้อีกต่อไป”
“จริงรึ…” เย่ซินเสวี่ยรู้สึกดีใจสุดขีดเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ เวลานี้นางยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ จะอย่างไรเสียนางเป็นเพียงนักศึกษาที่ธรรมดามากๆ คนหนึ่งเท่านั้น การจะคงอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าหลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วใช่เป็นเรื่องง่ายดาย โดยทั่วไปจะมีเพียงนักศึกษาที่ดีเลิศเท่านั้นที่คงอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้ต่อไปหลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว
ถ้าหากเวลานี้นางสามารถรั้งอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าต่อไป กล่าวสำหรับนางแล้วไม่เพียงแค่เป็นข่าวดีที่สุดในโลกเท่านั้น
“ฮ่า ฮ่านังหนู ยินดีด้วย ในที่สุดความฝันเจ้าก็เป็นจริงแล้ว” แขนเหล็กห่วงทองคำถึงกับหัวเราะเสียงดัง และกล่าวแสดงความยินดีกับเย่ซินเสวี่ย
เย่ซินเสวี่ยดีใจไม่หยุด โผเข้ากอดแขนเหล็กห่วงทองคำและหลิวจินเซิ่น แม้แต่หลิวจินเซิ่นก็อดที่จะเผยรอยยิ้มออกมา จะอย่างไรเสียเขาก็เฝ้าดูเย่ซินเสวี่ยเติบโตขึ้น เสมือนหนึ่งเป็นผู้เยาว์คนหนึ่งของตนอย่างนั้น
เย่ซินเสวี่ยดีใจจนอยากเข้าไปสวมกอดหลี่ชิเย่ แต่ฉับพลันต่อหยุดเอาไว้อย่างนั้น นางดีใจจนเกินไป เกือบลืมฐานะของหลี่ชิเย่ไป
หลี่ชิเย่ยิ้มและสวมกอดเย่ซินเสวี่ยเบาๆ ยิ้มกล่าวเบาๆ ว่า “พยายามเข้านังหนู ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถก้าวเดินในอาณาจักรนี้จนกลายเป็นโลกใบใหม่สำหรับเจ้า”
เย่ซินเสวี่ยดีใจจนใบหน้าแดงก่ำ พยักหน้ารัวๆ เวลานี้คำพูดมากมายเพียงใดก็ไม่สามารถเปรียบเปรยจิตใจของนางในเวานี้ได้อีกแล้ว
สุดท้าย พวกของเย่ซินเสวี่ยทั้งสามคนล้วนแล้วแต่จากไป ขณะที่หลี่ชิเย่เดินทางไปพบโอรสราชันเซียนเฟยด้วยตนเอง
เมื่อโอรสราชันเซียนเฟยเห็นหน้าหลี่ชิเย่จึงโค้งคำนับแสดงคารวะ และกล่าวว่า “สถาบันศึกษาเทพเจ้ารอดมาได้ ต้องขอบคุณใต้เท้าที่ให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่”
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องของคุณข้า” หลี่ชิเย่หัวเราะ ส่ายหน้าและกล่าวว่า “เกมๆ นี้ได้วางเอาไว้นานมากแล้ว เพียงแต่ไม่นึกว่าจะได้ใช้จริง ได้แต่บอกว่าทรัพย์สินเงินทองเย้ายวนจิตใจผู้คน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเย้ายวนแล้ว ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังก็อดที่จะกระโดดลงไป”
เมื่อโอรสราชันเซียนเฟยได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วก็อดทอดถอนใจเบาๆ ทีหนึ่งไม่ได้ รู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก จอมเทพ และเซียนหวังจำนวนเท่าไรที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าไป เรียกได้ว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้ามีบุญคุณในการประสาทวิชาและไขปริศนาให้กับพวกเขา แต่ว่า เมื่อต้องเผชิญกับสิ่งยั่วยวนยิ่งใหญ่ พวกเขากลับไม่ลังเลแม้แต่น้อยในการลงมือเพื่อทำลายสถาบันศึกษาเทพเจ้าเสีย
“หลังจากศึกในครั้งนี้ นับว่าสิบสามทวีปสมควรจะสงบได้แล้ว” โอรสราชันเซียนเฟยกล่าวขึ้นมาช้าๆ หลังจากศึกในครั้งนี้แล้ว ในสิบสามทวีปไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องกับสถาบันศึกษาเทพเจ้าอีกต่อไป จะอย่างไรเสียทุกคนต่างมีความชัดเจนในธาตุแท้ภายในของสถาบันศึกษาเทพเจ้า
“ใช่ สมควรสงบได้แล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เพียงแต่เป็นความสงบก่อนที่จะเกิดพายุฝนฟ้าคะนองเท่านั้นเอง นี่เป็นเพียงจังหวะก้าวแรกการมาของความมืดเท่านั้นเอง”
“มาถึงเร็วขนาดนี้เลยรึ?” ภายในใจของโอรสราชันเซียนเฟยถึงกับเย็นวาบ เขาเข้าใจถึงความน่าสยองขวัญกับการมาของความมืด
หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “คงไม่ไกลแล้ว เกือบแล้วหละ พวกผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดทำตัวเงียบสงัดมานานเท่าไรแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาทุกตนต่างไม่ได้รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพวกมัน พวกเขาหดหัวอยู่ในกระดองลึกมากไม่ปรากฏตัวออกมา จะมีสักกี่คนที่รับรู้ถึงการคงอยู่ของพวกมัน? เพราะอะไรที่จู่ๆ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดถึงทนไม่ไหวแล้วโผล่ออกมา นอกเหนือจากพวกเขาอดกลั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าเวลาเหลืออยู่อีกไม่มาก ดังนั้น ผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมือจึงต้องการครอบครองจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงนี้ของข้าเพียงคนเดียว เป็นการเตรียมการสำหรับความยากลำบากที่จะมาถึง!”
“ที่พูดมาก็ถูก” ถึงกับพยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ในยุคสมัยที่ผ่านมา จะมีสักกี่คนที่รับรู้ถึงร่องรอยของพวกเขากันเล่า กล่าวได้ว่า พวกเขาเคยลบเลือนร่องรอยของตนออกไป พวกเขาไม่ต้องการให้ใครรู้ว่ามีผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนที่อยู่ในความมืด ก้มมองดูสิบสามทวีปอยู่ตลอดเวลา!”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในโลกนี้มีน้อยคนนักที่รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืด อย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญตนทั่วๆ ไปเลย ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังระดับล่างก็ยากที่จะรู้ ต่อมาภายหลังมีจอมราชันเซียนหวังระดับสูงที่เคยได้ยินตำนานบางอย่างมาบ้าง ผู้ที่สามารถรู้สึกได้ถึงการยึดครองพื้นที่อยู่ในความมืดของผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดแต่ละคน คงจะต้องเป็นราชันซื่อตี้ที่เป็นจอมราชันเซียนหวังชะตาฟ้าสิบสองสายเหล่านี้แล้ว
แม้จะกล่าวว่าพวกราชันซื่อตี้ก็รับรู้ถึงเรื่องที่มีการยึดครองของผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืด แต่ว่าเรื่องบางเรื่องพวกเขาก็ไม่กล้าเปิดเผยกับบุคคลภายนอกโดยง่ายดาย
“การต่อสู้ในอนาคตหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “หวังว่าเชื้อไฟของสถาบันศึกษาเทพเจ้าจะไม่ดับ ขอเพียงไฟของสถาบันศึกษาเทพเจ้ายังคงสาดส่องร้อยชาติพันธุ์เอาไว้ ต่อให้เป็นเหมือนเทียนไขที่ส่ายโอนเอนไปมาอยู่ท่ามกลางพายุ แต่ร้อยชาติพันธุ์ก็ยังคงมีความหวัง คงมีสักวัน ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าจะเป็นเหมือนดั่งตะเกียงดวงหนึ่งท่ามกลางความมืดมิด คอยชี้นำทางให้กับประชาชนของร้อยชาติพันธุ์ได้ก้าวเดินไปข้างหน้าท่ามกลางความมืด”
“หวังว่าอย่างนั้น” โอรสราชันเซียนเฟยทอดถอนใจเบาๆ และหลี่ชิเย่ “พวกเราจะพยายามอย่างเต็มกำลังความสามารถ! พวกเราก็หวังว่าอนาคตใต้เท้าจะเป็นเหมือนเช่นตะเกียงดวงหนึ่ง ส่องสว่างนำทางพวกเราให้ก้าวเดินไปข้างหน้า”
“ได้เวลาที่ข้าสมควรจะจากไปแล้ว” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “อนาคตข้าอาจจะหายไปจากสายตาของพวกเจ้า ข้ายังเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าต้องไปทำ”
“เวลานี้ใต้เท้าต้องการไปที่แห่งใด?” โอรสราชันเซียนเฟยไม่รู้สึกเหนือความคาดคิด เขาเข้าใจดีว่าวันนี้จะต้องมาถึงอยู่แล้ว เนื่องจากหลี่ชิเย่มีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าต้องไปทำ เฉกเช่นบิดาและคุณตาของเขาอย่างนั้น
“ข้ายังไม่คิดจะไปสู้รบที่สุดปลายทางของโลก ศึกครั้งนั้นยากกว่าที่เจ้าจินตนาการมากทีเดียว ข้าคิดจะไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ข้าต้องการบรรลุ ในอนาคตข้าต้องการก้าวเดินให้ได้ไกลกว่านี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจำเป็นต้องบังคับเปิดหน้าศักราชนี้หน้าหนึ่งให้ได้ มิฉะนั้นหละก็ อนาคตอยากจะจินตนาการ…”
หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “…ข้าต้องการไปยังสถานที่ที่ไกลมากแห่งหนึ่ง เป็นโลกที่ไม่สามารถจับต้องได้! มันคือด่านๆ หนึ่งที่พ่อและตาของเจ้าเคยขบคิดกันมา” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว สายตาของเขามองไปยังที่ที่ห่างไกล ไกลมาก
“โลกในตำนานที่เป็นไปไม่ได้ว่าจะดำรงอยู่รึ?” โอรสราชันเซียนเฟยเอ่ยถามขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่
เขาคือโอรสของราชันเซียนเฟย หลานตาของราชันเทพจงหนาน เขารู้อะไรต่างๆ มากมาย ความจริงแล้ว บิดาและคุณตาของเขาก็เคยร่วมบรรลุด่านนี้ สุดท้ายแล้ว เนื่องจากขาดซึ่งโอกาสและวาสนาต่างๆ นานาจึงไม่สำเร็จ ด้วยเหตุนี้ทั้งราชันเซียนเฟยและ ราชันเทพจงหนานต่างก็ละทิ้ง และท้ายที่สุดพวกเขาได้ก้าวสู่การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้าย
“ถูกต้อง โลกที่ว่านั่นแหละ ครั้งนั้นพ่อและตาของเจ้าขาดซึ่งโอกาสและวาสนาต่างๆ นานา ไม่สามารถจับต้องโลกใบนี้ได้ แต่ว่า ข้าคิดว่าข้ามีอะไรเพียงพอที่จะจับต้องโลกใบนี้ได้แล้ว ได้เวลาสมควรให้ข้าได้ไปสักครั้งแล้ว” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นช้าๆ
…………………..