ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2130 สำนักกระบี่ยักษ์
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2130 สำนักกระบี่ยักษ์
สำนักกระบี่ยักษ์มีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเป็นของลานกำแหง ซึ่งเป็นสายแยกย่อยเล็กๆ ของ ‘คัมภีร์กำแหง’ กล่าวได้ว่าสำนักกระบี่ยักษ์ไม่ว่าจะเป็นด้านคัมภีร์ หรือสัจธรรมล้วนแล้วแต่มีแหล่งกำเนิดมาจาก ‘คัมภีร์กำแหง’ ทั้งสิ้น
สำนักกระบี่ยักษ์ก็เคยรุ่งเรืองมาก่อน เคยมีศักยภาพที่โด่งดังมาก ทั้งเคยสร้างผลงานการสู้รบให้กับลานกำแหงมาไม่น้อยทีเดียว น่าเสียดาย ภายหลังสำนักกระบี่ยักษ์ได้เสื่อมลง พ่ายแพ้ในการแย่งชิงอำนาจ ด้วยเหตุนี้เอง จึงถูกลานกำแหงเนรเทศไปยังพื้นที่ที่เป็นชายแดนที่ห่างไกลนั่น
การที่สำนักกระบี่ยักษ์ถูกเนรเทศให้มาอยู่ที่นี่ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อเฝ้าสุสานบรรพชนให้กับลานกำแหง และด้วยเหตุนี้เองทำให้สำนักกระบี่ยักษ์ตกต่ำลงสุดขีดนับแต่นั้นเป็นต้นมา และจากนั้นก็ไม่มีชื่อเสียงอีกเลย กลายเป็นสำนักขนาดเล็กที่เงียบๆ ไร้ชื่อไร้เสียง
สถานที่ที่ได้ชื่อว่าสุสานบรรพชนลานกำแหงซึ่งสำนักกระบี่ยักษ์ไปเฝ้าดูแลอยู่นั้น ความจริงแล้ว ที่ตรงนี้ไม่มีสุสานอะไรอย่างที่กล่าวอ้าง สุสานบรรพชนที่สำนักกระบี่ยักษ์ไปเฝ้ารักษานั้นเป็นเพียงหุบเหวลึกที่มีขนาดยักษ์และลึกมากเท่านั้นเอง
หุบเหวขนาดใหญ่และลึกมาซึ่งถูกขนานนามว่าหุบเหวบรรพชนจากทางลานกำแหงนั้น ตามตำนานเล่าว่า หุบเหวลึกแห่งนี้เป็นที่ฝังร่างของบรรพบุรุษที่เหน็ดเหนื่อยตรากตรำมีผลงานยอดเยี่ยม กระทั่งลือกันว่าหุบเหวบรรพชนแห่งนี้เกิดจากฝีมือของปฐมบรรพบุรุษของลานกำแหงซึ่งก็คือผู้เฒ่ากำแหงนั่นเอง!
ลือกันว่าผู้เฒ่ากำแหงสร้างหุบเหวบรรพชนขึ้นมาก็เพื่อใช้เป็นที่ฝังศพของบรรดาบรรพชนผู้บุกเบิกดินแดน กระทั่งชนรุนหลังเข้าใจว่าแม้แต่ผู้เฒ่ากำแหงเองก็ไม่ได้บรรลุมรรคผลจนกลายเป็นเซียน และได้ฝังร่างของตนเองไว้ทีหุบเหวบรรพชน รอวันหน้าบรรลุมรรคผลแล้วกลายเป็นเซียนต่อไป
ไม่ว่าคำเล่าลือเหล่านี้จะเป็นจริงหรือเท็จ สรุปก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับหุบเหวบรรพชนนั้น มีการบันทึกอยู่น้อยมากภายในลานกำแหงเอง ที่สามารถสืบค้นได้ก็เป็นเพียงการบรรยายเอาไว้ไม่กี่คำเท่านั้น สรุปคือภายหลังยังไม่เคยได้ยินว่ามีบรรพชนผู้ใดได้มาฝังอยู่ที่หุบเหวบรรพชนแห่งนี้
ดังนั้น จึงทำให้ชนรุ่นหลังบางส่วนของลานกำแหงคาดเดากันว่า เกรงว่าคงมีเพียงบรรดาบรรพชนรุ่นแรกที่เป็นรุ่นบุกเบิกของลานกำแหงเท่านั้นที่ฝังอยู่ในหุบเหวบรรพชน บรรพบุรุษในรุนหลังๆ มานี้ล้วนแล้วแต่ไม่ได้มีการฝังไว้ที่หุบเหวบรรพชน
โดยหลักการแล้ว สามารถเป็นผู้เฝ้าสถานที่ฝังศพของบรรพชนนั้นถือเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่ง แต่ ในความเป็นจริงแล้ว บรรพชนจากโลกนี้ไปนานแสนนานแล้ว อีกทั้งบรรพบุรุษในรุ่นหลังๆ ก็ไม่ได้มีการฝังเอาไว้ที่หุบเหวบรรพชนนี้อีก ซึ่งทำให้หุบเหวบรรพชนคงมีแต่นามเท่านั้นมานานแล้ว และกลายเป็นที่ที่ถูกทิ้งร้างไปแล้ว
การที่สำนักกระบี่ยักษ์ถูกเนรเทศมายังพื้นที่ที่ห่างไกลความเจริญเพื่อเฝ้าหุบเหวบรรพชน ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ทรงเกียรติยศอย่างยิ่ง แต่ ในความเป็นจริงแล้วมันคือการถูกขังเอาไว้ในวังเย็น
แต่ว่า มันเป็นเรื่องที่จนด้วยเกล้า ด้วยรากฐานของสำนักกระบี่ยักษ์ที่เป็นเพียงสายแยกบริเวณส่วนปลาย ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของลานกำแหงเท่านั้น ลำพังแค่สำนักกระบี่ยักษ์ไหนเลยจะต่อต้านขัดขืนคำบัญชาของลานกำแหงได้ ได้แต่ยอมให้ถูกเนรเทศมาเฝ้าหุบเหวบรรพชนที่นี้ สิ่งเดียวที่สำนักกระบี่ยักษ์หวังพึ่งพาก็คือศิษย์ของสำนักสามารถกำเนิดอัจฉริยะบุคคลขึ้นมา ทำให้สำนักกระบี่ยักษ์ผงาดขึ้นมาได้ และกลับเข้าไปยังศูนย์กลางอำนาจของลานกำแหงอีกครั้ง
แต่ถ้าหากว่าศิษย์ของสำนักกระบี่ยักษ์น่าผิดหวังล่ะก็ สำนักกระบี่ยักษ์คิดจะผงาดขึ้นมามันคือคนฝันกลางวันแท้ๆ มิฉะนั้นก็ต้องอาศัยบรรพบุรุษของพวกเจ้าสำแดงเดชให้การคุ้มครอง จึงทำให้สำนักกระบี่ยักษ์ผงาดขึ้นมาได้
แต่ว่า เหมือนสำนักกระบี่ยักษ์จะโชคเข้าข้างจริงๆ เหมือนว่าบรรพชนของลานกำแหงได้สำแดงเดชจริงๆ เนื่องจากแต่เช้าในวันนี้ กลับปรากฏโลงไม้โลงหนึ่งลอยอยู่เหนือหุบเหวบรรพชนที่ลึกหมื่นจ้างนั่น
“ดูนั่น นั่นมันคืออะไรกันแน่…” ผู้ที่พบเห็นโลงศพโลงนี้แต่เช้าเป็นคนแรกคือศิษย์ผู้หนึ่งของสำนักกระบี่ยักษ์
ศิษย์ผู้นี้นำพาศิษย์พี่ศิษย์น้องออกมาเดินลาดตระเวนตามปรกติแต่เช้า ในขณะที่เดินผ่านข้างหุบเหวบรรพชนขนาดใหญ่ยากจะหาใดเทียม เขาซึ่งสายตาดีถึงกับมองเห็นด้านล่างของหุบเหวบรรพชนมีโลงศพโบราณลอยอยู่
หุบเหวบรรพชนมีขนาดที่ใหญ่โตยิ่งนัก มันคล้ายดั่งเป็นสัตว์ขนาดยักษ์ที่อ้าปากกว้างอย่างนั้น แค่มองจากระยะห่างไกลก็สามารถทำให้ผู้คนต้องตัวสั่นดั่งลูกนก อีกทั้งหุบเหวบรรพชนนี้มีความลึกสุดจะหยั่งถึง ไม่มีใครรู้ว่าหุบเหวบรรพชนลึกเท่าไร
นับตั้งแต่สำนักกระบี่ยักษ์ถูกเนรเทศมาเฝ้าหุบเหวบรรพชนที่นี่แล้ว ก็เคยมีผู้ที่ไปสำรวจหุบเหวบรรพชน แต่ทว่าข้างล่างนั้นลึกมากจนมองไม่เห็นก้นเหว ไม่มีใครสามารถลงไปจนถึงก้นเหวได้ อีกทั้งยิ่งลงมามากเท่าไรก็จะยิ่งหนาวเย็นมากเท่านั้น ไม่มีใครสามารถรองรับกับความหนาวเย็นของหุบเหวบรรพชนนี้ได้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา หุบเหวบรรพชนมีความสงบเงียบมากยิ่งนัก ไม่เคยเกิดเรื่องใดๆ ขึ้นมาเลย ดังนั้น ศิษย์ของสำนักกระบี่ยักษ์ที่เฝ้าหุบเหวบรรพชนจึงเคยชินกับการดำรงอยู่ของหุบเหวบรรพชนมานานแล้ว และชินกับความเงียบสงบของหุบเหวบรรพชน
มาวันนี้กลับมีโลงโบราณโผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหันโลงหนึ่ง สร้างความตื่นตระหนกให้กับบรรดาศิษย์ที่ทำการลาดตะเวนทั้งหมด เมื่อบรรดาศิษย์ทั้งหมดทยอยกันจ้องมองไป มองเห็นเป็นโลงโบราณที่ลอยล่องอยู่ใต้หุบเหวบรรพชน โลงโบราณมีลักษณะเรียบง่ายโบราณยิ่ง เหมือนว่ามันผ่านการแกะสลักนานนับพันล้านปีมาแล้วอย่างนั้น ในเวลานี้ โลงโบราณยังคงมีเกล็ดน้ำแข็งจับอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เหมือนว่ามันลอยมาจากแม่น้ำน้ำแข็งอย่างนั้น
บรรดาศิษย์ของสำนักกระบี่ยักษ์ต่างตกใจจนยืนเซ่อ เมื่อมองเห็นโลงไม้ที่ลอยล่องอยู่ท่ามกลางหุบเหวบรรพชนกะทันหัน เวลานี้ ทุกคนต่างจ้องมองกันและกัน
“รีบไปรายงานเจ้าสำนัก!” เมื่อได้สติกลับมาแล้ว จึงมีศิษย์รีบเร่งไปรายงานต่อเจ้าสำนักทันที
เจ้าสำนักของสำนักกระบี่ยักษ์มีนามว่าจูฉี คือผู้เฒ่าที่มีอายุห้ารอบแต่ดูเหมือนเป็นคนหนุ่มคนหนึ่ง ตัวเขานับเป็นยอดฝีมือที่มีศักยภาพคนหนึ่งของสำนักกระบี่ยักษ์แล้ว นั่นก็คืออยู่ในระดับสาวกแท้จริงขั้นที่เก้า
แน่นอนที่สุด ระดับสาวกแท้จริงขั้นที่เก้าอย่าว่าแต่ในแดนพรรษเลย ต่อให้อยู่ในลานกำแหงก็เป็นได้เพียงผู้บำเพ็ญตนน้อยๆ คนหนึ่งที่ไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึงเท่านั้น
ในเวลานี้ ใครใช้ให้สำนักกระบี่ยักษ์ตกต่ำลงแล้ว การมีย่อมดีกว่าไม่มี ดังนั้นระดับสาวกแท้จริงขั้นที่เก้าจึงต้องฝืนรับตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักกระบี่ยักษ์ไป
ข่าวนี้ได้ทำเอาจูฉี เจ้าสำนักกระบี่ยักษ์ตกใจเป็นยิ่งนัก เมื่อได้ยินว่ามีโลงโบราณโลงหนึ่งลอยขึ้นมาจากใต้หุบเหวบรรพชน หุบเหวบรรพชนไม่เคยเกิดเรื่องใดๆ ขึ้นมาเลย นับตั้งแต่สำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขาถูกเนรเทศให้มาอยู่ที่นี่ เวลานี้จู่ๆ กลับมีโลงโบราณโผล่ขึ้นมาโลงหนึ่ง แล้วจะไม่ให้พวกเขาต้องตกใจได้อย่างไรกันเล่า
หลังจากที่จูฉีได้สติกลับมาแล้ว จึงได้ตามบรรดาระดับผู้อาวุโสของสำนักกระบี่ยักษ์หลายๆ คนมา พวกเขาล้วนแล้วแต่รุดไปยังหุบเหวบรรพชนแทบจะนาทีแรก ไอรีนโนเวล
จูฉีและบรรดาระดับผู้อาวุโสหลายคนต่างมองหน้ากันและกัน เมื่อได้เห็นโลงโบราณที่ลอยล่องอยู่ใต้หุบเหวบรรพชนนั่น พวกเขาที่มองเห็นโลงโบราณที่มีลักษณะเช่นนี้แล้ว ต่างไม่รู้ว่ามันจะเป็นเรื่องดี หรือเรื่องร้ายกันแน่ ดังนั้น ในเวลานี้พวกของจูฉีต่างก็จนด้วยเกล้า จะอย่างไรเสียสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขาได้ตกต่ำลงแล้ว แม้จะกล่าวว่าพวกเขาคือเจ้าสำนัก คือระดับผู้อาวุโส แต่ว่าต่างก็ไม่ได้ผ่านอุปสรรคอะไรมามากมายนัก ไม่ต่างอะไรจากคนบ้านนอกสักเท่าไร
“เมื่อคืนมีความเคลื่อนไหวไดๆ มีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นหรือไม่?” ไม่ง่ายนักกว่าจูฉีจะได้สติกลับมา จึงสอบถามกับศิษย์ของสำนัก
บรรดาศิษย์ที่ทำหน้าที่ลาดตะเวนต่างมองตากันและกัน สุดท้ายทยอยกันส่ายหน้าและกล่าวว่า “เรียนท่านเจ้าสำนัก พวกเราทำการลาดตะเวนตามกำหนดเวลา ไม่พบความผิดปรกติใดๆ ที่หุบเหวบรรพชน”
“จ้วงมันขึ้นมา” ในที่สุด หลังจากที่จูฉีเจ้าสำนักกระบี่ยักษ์ได้ปรึกษาหารือกับบรรดาระดับผู้อาวุโสแล้ว จึงสั่งการออกมา
สุดท้ายแล้ว ระดับผู้อาวุโสหลายคนของสำนักกระบี่ยักษ์ลงมือ อาศัยพลังไปมากมายกว่าจะลากเอาโลงโบราณที่ลอยล่องอยู่ที่หุบเหวบรรพชนขึ้นมาได้
หลังจากที่โลงโบราณถูกลากขึ้นมาแล้ว จูฉี เจ้าสำนักกระบี่ยักษ์และบรรดาระดับผู้อาวุโสต่างรู้สึกหัวใจเต้นกระตุกทีหนึ่ง พวกเขาล้วนแล้วแต่รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เนื่องจากพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าภายในโลงโบราณบรรจุสิ่งใดเอาไว้ พวกเขาไม่รู้ว่าการที่มีโลงโบราณโผลขึ้นมาจากหุบเหวบรรพชนจะเป็นฟ้าประทานโอกาสดีให้กับสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขา หรือจะเป็นเรื่องร้ายเรื่องหนึ่งกันแน่
สุดท้าย จูฉีและบรรดาระดับผู้อาวุโสสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง พวกเขาร่วมแรงกับเปิดฝาโลงนี้ออก ซึ่งโลงโบราณดังกล่าวไม่ยากแก่การที่จะเปิด เนื่องจากไม่ได้มีการผนึกเอาไว้
พลันที่โลงโบราณถูกเปิดออก จูฉีและบรรดาระดับผู้อาวุโสสามารถมองเห็นในนั้นมีคนนอนอยู่คนหนึ่งทันที คนผู้นี้หนุ่มแน่นมาก ซึ่งทำให้จูฉีและบรรดาระดับผู้อาวุโสมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปมาก จึงทำการปิดฝาโลงทันที
“แบกกลับไป แบกไปไว้ในห้องตระการ” หลังจากที่จูฉีและบรรดาระดับผู้อาวุโสมองหน้ากันและกันแล้ว จึงออกคำสั่งกับศิษย์ในสำนักทันที
หลังจากที่สำนักกระบี่ยักษ์ได้แบกเอาโลงโบราณกลับไปไว้ที่ห้องตระการแล้ว จูฉีได้สั่งการกับศิษย์ภายในสำนักว่า “อย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป มิฉะนั้นจะถูกลงโทษอย่างหนัก”
ศิษย์ของสำนักกระบี่ยักษ์ก็ไม่รู้ว่าภายในโลงโบราณคือสิ่งใดกันแน่ เมื่อได้ยินเจ้าสำนักสั่งการหนักแน่นจริงจังเช่นนี้แล้ว ต่างไม่กล้าประมาท ปิดปากแน่นกัน
ห้องตระการคือสถานที่ที่สำนักกระบี่ยักษ์ใช้รับรองแขกผู้มีเกียรติ แต่เวลานี้ข้างในกลับมีโลงโบราณวางอยู่โลงหนึ่ง ออกจะดูสูงโดดเด่น และแปลกประหลาดอยู่บ้าง
สุดท้าย ศิษย์ภายในสำนักต่างล่าถอยออกไป จูฉีและเหล่าระดับผู้อาวุโสจ้องมองตากันและกัน พวกเขาหลายคนลงมือชำแหละโลงโบราณด้วยตนเอง
สิ่งที่เห็นคือก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ก้อนหนึ่ง ภายในก้อนน้ำแข็งมีคนผู้หนึ่งถูกผนึกเอาไว้ เป็นผู้ที่ดูหนุ่มแน่นมากคนหนึ่ง มองผ่านก้อนน้ำแข็งสามารถมองเห็นคนหนุ่มผู้นี้สวมชุดนักรบอยู่ ไม่เหมือนเป็นคนในยุคสมัยเดียวกับพวกเขา เหมือนว่าคนหนุ่มลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่คนของโลกนี้
น้ำแข็งก้อนนี้เย็นยะเยือกอย่างยิ่ง ดูเหมือนยากจะหลอมละลายได้ ขอเพียงพวกของจูฉีสัมผัสเข้ากับก้อนน้ำแข็ง ก็จะทำให้ร่างกายของพวกเขาหนาวเย็นจนแข็ง และเริ่มปรากฏน้ำแข็งเกาะ
พวกของจูฉีถึงกับมองหน้ากันและกันเมื่อได้เห็นคนหนุ่มที่ถูกผนึกร่างอยู่ในน้ำแข็ง แรกทีเดียว พวกเขายังเข้าใจว่าภายในโลงโบราณต้องเป็นบรรพบุรุษคนใดคนหนึ่ง แต่เมื่อผู้ที่นอนอยู่ภายในโลงโบราณกลับกลายเป็นคนหนุ่มที่ดูหนุ่มแน่นมากๆแล้ว ทำให้พวกของจูฉีจนด้วยเกล้าทำอะไรไม่ถูก
ที่ทำให้จูฉีจนปัญญาที่สุดก็คือ พวกเขาไม่รู้ว่าคนหนุ่มที่ถูกน้ำแข็งผนึกร่างเอาไว้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
“นี่ นี่เป็นโลงที่ตกลงมาจากภายนอกรึ? หรือว่ามีคนเขาโยนศพ” มีระดับผู้อาวุโสถึงกับเอ่ยขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากมีการโยนศพจากภายนอกเข้ามาจริง น่าจะจมลงจนถึงก้นเหว ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า เมื่อไรที่ตกสู่เหวลึกแล้วไม่เคยได้ปรากฏตัวออกมาอีกเลย” ระดับผู้อาวุโสอีกผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมา
เคยมีศิษย์ของสำนักกระบี่ยักษ์ตกลงไปในหุบเหวบรรพชน หลังจากตกลงไปแล้วก็ไม่เคยได้กลับมาอีกเลย ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย กล่าวได้ว่า เมื่อไหร่ที่ตกลงไปในหุบเหวบรรพชน เป็นไปไม่ได้ที่จะไต่ขึ้นมาได้
“หรือบางทีอาจเป็นบรรพบุรุษของลานกำแหงพวกเราจริงๆ” ระดับผู้อาวุโสผู้หนึ่งถึงกับร่างสั่นเทิ้ม และกล่าวว่า “ลานกำแหงพวกเราเคยมีคำเล่าลือกันมิใช่รึ สักวันหนึ่งบรรพชนของพวกเราจะฟื้นคืนชีพจากหุบเหวบรรพชน ขึ้นสู่สามแดน บรรลุมรรคผลกลับกลายเป็นเซียนมิใช่รึ?”
จูฉีและบรรดาระดับผู้อาวุโสคนอื่นๆ ถึงกับมองหน้ากันและกัน เมื่อได้ยินคำพูดของระดับผู้อาวุโสผู้นี้ พวกเขาเองก็เคยได้ยินคำเล่าลือเรื่องนี้ แต่ทว่าไม่เคยคิดว่าจะเป็นเรื่องจริง จะอย่างไรเสียผ่านมาเป็นพันล้านปี หุบเหวบรรพชนเงียบเชียบปราศจากเสียง ไม่เคยเกิดเรื่องใดๆ ขึ้นมาเลย และด้วยเหตุนี้เอง ภายหลังจึงไม่เคยได้ยินว่ามีบรรพบุรุษรุ่นไหนที่ฝังร่างของตนเองในหุบเหวบรรพชนอีกต่อไป
“หาศิษย์ที่มีความละเอียดมาคอยดูแล” สุดท้าย จูฉีได้สั่งการออกไปว่า “รอให้น้ำแข็งละลาย ก็สามารถรู้เรื่องราวอะไรบางอย่าง เป็นหรือตายถึงตอนนั้นก็จะรู้เอง”
ท้ายที่สุด จูฉีได้สั่งการลงไป หาศิษย์สาวที่มีความละเอียดและมีความอดทนมาคอยดูแลคนหนุ่มที่ถูกผนึกร่างโดยน้ำแข็งหนา
แน่นอนที่สุด คนหนุ่มที่ถูกผนึกร่างโดยน้ำแข็งก็คือหลี่ชิเย่ที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงแดนสามเซียน พลันที่เขาได้มาถึงแดนสามเซียน ความทรงจำของตาเฒ่าที่อยู่ใต้หน้าผาสูงชันในหอศิลาโรยก็ได้ปรากฏขึ้นมา เดิมหลี่ชิเย่ต้องการเข้าไปยังระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่สร้างขึ้นโดยตาเฒ่านั่น ไม่นึกเลยว่า เพิ่งจะเข้าไปภายในพิกัดตำแหน่งลับของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ เขาก็ถูกน้ำแข็งผนึกร่างเอาไว้โดยพลัน ถูกตาเฒ่าหลอกเขาให้ทีหนึ่ง
…………………………..