ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2134 หยางเซิ่นผิง
หลายวันผ่านไป ธาตุแท้ภายในที่สำคัญที่สุด และหรือก็คือผู้ให้การหนุนหลังที่สำคัญที่สุดของสำนักกระบี่ยักษ์ นามว่าหยางเซิ่นผิงได้รุดมาถึง
หยางเซิ่นผิงคือระดับบรรพบุรุษที่คงเหลืออยู่ของสำนักกระบี่ยักษ์ และเป็นบรรพบุรุษที่มีอายุมากที่สุดของสำนักกระบี่ยักษ์ ทั้งยังเป็นหนึ่งเดียวที่สามารถพูดแล้วมีน้ำหนักในลานกำแหงของสำนักกระบี่ยักษ์
เฉกเช่นจูฉีที่เป็นเจ้าสำนักสำนักกระบี่ยักษ์ แม้จะกล่าวว่าเขามีฐานะเป็นถึงระดับเจ้าสำนัก แต่ ในความเป็นจริงแล้ว สำนักกระบี่ยักษ์ที่อ่อนแอเช่นนี้ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของลานกำแหงทั้งหมดไม่มีเป็นพันแห่งก็ต้องมีถึงแปดร้อยแห่ง ลองนึกภาพดู ภายใต้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของลานกำแหงยังมีสำนักอื่นๆ ที่มีความแข็งแกร่งอีกมากมาย ลำพังสำนักกระบี่ยักษ์ที่อ่อนแอเช่นนี้นับเป็นอะไรได้?
ดังนั้น แม้แต่จูฉีที่อยู่ในฐานะเจ้าสำนักกระบี่ยักษ์ก็เป็นได้แค่ผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียงเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์มีเสียงแม้เพียงน้อยนิดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของลานกำแหง กระทั่งอาจกล่าวได้ว่า จูฉีที่อยู่ในฐานะเจ้าสำนักกระบี่ยักษ์ไม่มีสิทธิ์กระทั่งเข้าไปยังราชสำนักของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของลานกำแหง
หยางเซิ่นผิงคือบรรพบุรุษที่เก่าแก่ที่สุดของสำนักกระบี่ยักษ์ และเป็นบรรพบุรุษที่มีชีวิตอยู่ยาวนานมากที่สุด ทั้งยังเป็นบรรพบุรุษผู้มีทักษะยุทธสูงสุดของสำนักกระบี่ยักษ์ เนื่องจากทักษะยุทธของเขานับว่าใช้ได้ บวกกับมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน จึงมีผู้ที่รู้จักกับเขาเป็นจำนวนไม่น้อยในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของลานกำแหง มีธาตุแท้ภายในอยู่ระดับหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เอง หยางเซิ่นผิงนับว่าเป็นผู้ที่พูดแล้วมีน้ำหนักพอในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของลานกำแหง
จูฉีพร้อมด้วยเหล่าผู้อาวุโสให้การต้อนรับการมาถึงของหยางเซิ่นผิงด้วยตนเองด้วยความเคารพนอบน้อมยิ่งนัก เนื่องจากสำนักกระบี่ยักษ์พวกเขาเหลือเพียงระดับผู้ยิ่งใหญ่คนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น และเหลือบรรพบุรุษที่มีความสามารถเช่นนี้เพียงหนึ่งเดียว เวลานี้ที่สำนักกระบี่ยักษ์ยังคงยืนหยัดอยู่ได้นั้น อาจกล่าวได้ว่าไม่อาจมองข้ามผลงานของหยางเซิ่นผิงไปได้เลย
หากสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขาต้องขาดแม้กระทั่งหยางเซิ่นผิงไปล่ะก็ เมื่อเป็นเช่นนั้น สำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขาคงเท่ากับตกลงสู่ก้นเหวอย่างแท้จริง ไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีกแล้ว
หยางเซิ่นผิงเป็นผู้เฒ่าที่มีผมเผ้าสีขาว แม้ว่าเขาจะมีฐานะเป็นบรรพบุรุษที่มีอายุมากที่สุดของสำนักกระบี่ยักษ์ แต่เขายังคงแข็งแรงและคล่องแคล่ว สีหน้าแดงเรื่อ มองเห็นแวบเดียวก็รู้ว่าเขาคือผู้เฒ่าที่มีพลังลมปราณเต็มเปี่ยม
หยางเซิ่นผิงรับรู้ข่าวคราวเกี่ยวกับหลี่ชิเย่มานานาแล้ว และเขาก็รับรู้เรื่องการฟื้นคืนชีพของบรรพบุรุษผู้นี้ หลังจากมาถึงสำนักกระบี่ยักษ์แล้ว เขายังคงรับฟังรายงานอย่างละเอียดอีกครั้งจากจูฉี
หยางเซิ่นผิงถึงกับนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง เมื่อได้รับฟังรายงานจากจูฉีและเหล่าผู้อาวุโสแล้ว
“ท่านบรรพบุรุษ ตามความเห็นของท่านเล่า?” เมื่อจูฉีเห็นหยางเซิ่นผิงนิ่งเงียบไปถึงกับเอ่ยถามขึ้นแผ่วเบา ภายในใจของจูฉีในเวลานี้ก็กังวลและไม่สงบ เนื่องจากสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขาจะเจริญรุ่งเรืองหรือตกต่ำล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพผู้นี้ ถ้าหากว่านี่เป็นบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพ สำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขาอาจกล่าวได้ว่าได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของลานกำแหงแล้วในคราวนี้
“เกรงว่าข้าเองก็ไร้ความสามารถที่จะไปพิสูจน์ว่าจริงหรือเท็จเสียแล้ว” หยางเซิ่นผิงทำท่าไตร่ตรองนิดหนึ่ง และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “บรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเราลึกซึ้งยากจะหยั่งถึง ลำพังทักษะยุทธเท่านี้ของข้า มันก็แค่ส่วนน้อยนิดท่ามกลางมหาสมุทรเท่านั้น ไหนเลยจะรู้ตื้นลึกหนาบางได้ อีกอย่าง ต้นกำเนิดบรรพบุรุษยาวนานมากเกินไป นานจนไม่สามารถไล่ย้อนกลับไปได้ เกรงว่าในลานกำแหงของพวกเราเองก็ไม่เห็นจะมีใครสามารถจดจำบรรพบุรุษแต่ละท่านในครั้งนั้นได้”
ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานมาก มันยาวนานกระทั่งถึงยุคที่ไม่สามารถไล่ย้อนกลับไปได้ เนื่องจากครั้งแรกที่มีการก่อตั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนั้น มันหาใช่เป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิชั้นพรรษ มันคือระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่อยู่ในชั้นของลัทธิเซียน เพียงแต่ภายหลังได้เสื่อมและตกต่ำลง ค่อยๆ ลดชั้นลงมาจากชั้นลัทธิเซียนเป็นชั้นลัทธิราชัน จากนั้นก็ร่วงลงมาอยู่ในชั้นลัทธิพรรษตามลำดับ
ดังนั้น นอกจากแดนลัทธิเซียน แดนลัทธิราชัน และแดนลัทธิพรรษในแดนสามเซียนจะมีการแบ่งเขตกันอย่างชัดเจนแล้ว ชื่อที่ปรากฎยังเป็นการแยกแยะถึงศักยภาพของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแต่ละแห่งด้วย
ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานมาก มันเคยอยู่ในชั้นของลัทธิเซียน ภายหลังถึงได้ตกต่ำลงไปยังลัทธิพรรษ เรียกได้ว่าในรอบพันล้านปีมานี้ แม้แต่ตัวของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเองก็ไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าเคยมีบรรพบุรุษมาแล้วจำนวนเท่าไร
อีกอย่าง ถ้าหากคนผู้นี้เป็นหนึ่งในบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจริงล่ะก็ ผู้ที่สามารถฝังร่างไว้ในหุบเหวบรรพชนได้นั้น จะต้องเป็นบรรพชนรุ่นที่หนึ่ง หรือรุ่นที่สองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอย่างแน่นอน ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่อยู่ร่วมสมัยเดียวกันกับผู้เฒ่ากำแหง ปฐมบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเขาอย่างแน่นอน
ด้วยยุคสมัยที่ยาวนานอย่างยิ่งเช่นนี้ ทำให้ชนรุ่นหลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจะไปแยกแยะบรรพชนรุ่นพันล้านปี หรือกระทั่งล้านล้านปีก่อนหน้าได้อย่างไรกัน?
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า อย่าว่าแต่เป็นหยางเซิ่นผิงเลย เกรงว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเขาก็ไม่เห็นว่าจะมีผู้ใดสามารถรู้ได้ว่า เป็นบรรพบุรุษท่านใดกันแน่ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา กล่าวสำหรับ พวกเขาแล้ว การแยกแยะในลักษณะเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน
“ถ้าเช่นนั้นควรทำอย่างไรดี?” เมื่อจูฉีได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหยางเซิ่นผิงแล้วก็จนด้วยเกล้าเช่นกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะวิ่งไปถามหลี่ชิเย่ตรงๆ ว่าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม หากเขาเป็นบรรพชนของลานกำแหงจริงๆ ล่ะก็ เพียงมือข้างเดียวก็สามารถทำลายพวกเขาได้แล้ว หากทำให้โกรธขึ้นมา!
หยางเซิ่นผิงถึงกับครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง สิ่งนี้กล่าวสำหรับเขาก็นับเป็นเรื่องที่จัดการได้ยาก ถ้าหากเป็นบรรพบุรุษท่านหนึ่งที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริง แล้วสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขาเมินเฉยไม่สนใจ หากมีการกล่าวโทษขึ้นมา มันคือโทษฐานทรยศสำนัก ทำให้อาจารย์ต้องเสื่อมเสียเลยทีเดียว
ถ้าหากสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขายื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ปวดเศียรเวียนเกล้าเช่นกัน เกิดเป็นบรรพบุรุษที่แอบอ้างแฝงเข้ามาล่ะ? เมื่อเกิดเรื่องขึ้น มิเท่ากับเป็นการสมคบคิดกับศัตรูภายนอกรึ? นี่คือโทษตายเลยเชียวนะ!
“เมื่อพวกเราไม่สามารถแยกแยะได้ มิสู้เชิญลัทธิลานกำแหงมาเป็นผู้แยกแยะดีไหม?” ได้มีระดับผู้อาวุโสเสนอความเห็นขึ้นมา Aileen-novel
“เกิดเป็นตัวปลอมล่ะ?” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งกล่าวด้วยความรอบคอบว่า “หากเป็นผู้ที่แอบอ้างมา เมื่อถึงเวลานั้นมิเท่ากับสมคบคิดกับศัตรูภายนอก นี่มันเป็นโทษหนัก มีความเป็นไปได้ที่จะนำมาซึ่งภัยถูกทำลายสำนัก”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ทำให้บรรดาผู้อาวุโสและจูฉีถึงกับขนลุกซู่ในใจ หากเป็นเช่นนี้จริง เป็นความจริงที่จะต้องโทษประหารทั้งสำนัก
“ข้าจะเชิญบรรพบุรุษท่านนี้กลับไปที่ลานกำแหงก่อน” หยางเซิ่นผิงพึมพำออกมา
“เชิญบรรพบุรุษไปที่ลานกำแหง?” จูฉีรู้สึกตกใจยิ่งนักเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ เขาถึงกับพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ท่านบรรพบุรุษ นี่เท่ากับเป็นการขี่หลังเสือเลยนะ เมื่อไรที่ก้าวเท้าเข้าไปราชสำนักแล้ว จะหันหลังกลับไม่ได้อีก”
ถ้าหากเรื่องนี้ยังคงหยุดอยู่ที่สำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขา ยังมีโอกาสได้ย้อนกลับ แต่ถ้าส่งตัวหลี่ชิเย่เข้าไปยังราชสำนักแล้วทุกอย่างก็จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว จะผิดถูกอย่างไรสำนักกระบี่ยักษ์พวกเขาก็ต้องเดินไปให้ถึงที่สุด
“ด้านลานกำแหงข้าได้ทูลราชินีไปแล้ว” หยางเซิ่นผิงกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “เวลานี้สถานการณ์ภายในลานกำแหงก็ซับซ้อนยิ่งนัก ราชินีเองก็มีพระประสงค์จะหาทางออก บางทีนี่อาจเป็นโอกาสที่ฟ้าประทานมาให้ก็ได้”
ครั้นหยางเซิ่นผิงเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ได้มองดูจูฉีและบรรดาระดับผู้อาวุโสที่อยู่ในเหตุการณ์ กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “นี่เป็นการพนันที่เดิมพันสูงมาก ถ้าหากชนะ สำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเรามีโอกาสรุ่ง ถ้าหากแพ้ สำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเราก็จะไม่ได้ผุดได้เกิดอีก”
คำพูดของหยางเซิ่นผิงทำให้บรรดาผู้อาวุโสและจูฉีที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองตากันและกัน พวกเขาก็รู้ว่าหยางเซิ่นผิงได้ทุ่มเทกำลังกายใจไปไม่น้อย ลำพังศักยภาพของตัวเขาคิดจะพูดกับราชสำนักช่างเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายดายนัก! การไปมาหาสู่ในเรื่องเช่นนี้ต้องสิ้นเปลืองกำลังกายใจไปเท่าไร สิ้นเปลืองกำลังทรัพย์ไปเท่าไร?
สุดท้าย จูฉีตัดสินใจเด็ดขาด และกล่าวว่า “สำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเรายังจะมีอะไรต้องเสียอีก? การเฝ้าอยู่ที่ที่ทุรกันดารปราศจากผู้คนมันก็คือทางตันแล้ว ถอยหลังไปอีกก้าวเดียวก็คือหุบเหวลึกหมื่นจ้างแล้ว อย่างมากก็แค่ตกลงไปในหุบเหวลึกหมื่นจ้างเท่านั้นเอง!”
เวลานี้ จูฉีในฐานะที่เป็นเจ้าสำนัก ย่อมมีอำนาจเลือกชะตาชีวิตให้กับสำนักกระบี่ยักษ์ได้
“พวกเราก็เห็นด้วยกับความคิดของเจ้าสำนัก” บรรดาผู้อาวุโสต่างมองตากันและกัน พวกเขาก็รู้สึกว่าสำนักกระบี่ยักษ์ไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้ว มิสู้เสี่ยงกับมันสักครั้งหนึ่ง
“เช่นนั้นแล้วก็ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน” หยางเซิ่นผิงเอ่ยขึ้นช้าๆ “ข้าจะไปพบท่านบรรพบุรุษ เชิญท่านกลับลานกำแหง”
จูฉีนำพาเหล่าผู้อาวุโสแสดงคารวะต่อหยางเซิ่นผิงอย่างงาม และกล่าวว่า “อนาคตของสำนักกระบี่ยักษ์ฝากไว้กับท่านบรรพบุรุษแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับสำนักกระบี่ยักษ์ให้ท่านบรรพบุรุษเป็นผู้ตัดสินใจ”
ในขณะนี้ หนึ่งเดียวที่สามารถพูดแล้วมีน้ำหนักที่ลานกำแหงก็คงมีแต่หยางเซิ่นผิงเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างของสำนักกระบี่ยักษ์ได้แต่พึ่งพาหยางเซิ่นผิงแล้ว
หลี่ชิเย่นั่งสมาธิอยู่ภายในห้องเงียบๆ ท่ามกลางพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ ต้นอ่อนเต๋ากำลังเจริญเติบโต ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอาย เป็นกลิ่นอายที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง คล้ายดั่งกลิ่นอายขมุกขมัว และก็เหมือนดั่งกลิ่นอายของอารมณ์ความรู้สึกและความปรารถนาเช่นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาทั่วไป และเหมือนเป็นพลังของสัจธรรม…
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ขณะที่หลี่ชิเย่ลืมตาทั้งสองขึ้น จูซือจิ้งก็ได้ยืนห้อยมือลงยืนคอยปรนนิบัติอยู่เงียบๆ ด้านข้างแล้ว
“คุณชาย ผู้อาวุโสหยางมาขอพบท่าน” เวลานี้จูซือจิ้งได้เปลี่ยนคำพูดเรียกเป็น ‘คุณชาย’ แล้ว
หลี่ชิเย่พยักหน้าช้าๆ โบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “ให้เขาเข้ามา”
จูซือจิ้งไม่กล้ากล่าวมากความ ออกไปเชิญหยางเซิ่นผิงทันที
ในขณะนี้ หยางเซิ่นผิงที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูถึงกับรู้สึกตื่นเต้นในใจ จะอย่างไรเสียผู้ที่เขาต้องเข้าไปพบอาจมีความเป็นไปได้ว่าเป็นบรรพชนรุ่นแรกของลานกำแหง แล้วจะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร
หลังจากทีจูซือจิ้งออกมาแล้ว หยางเซิ่นผิงจึงได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งสงบจิตใจเอาไว้ จะอย่างไรเสียเขาก็อยู่ในระดับวีรบุรุษแท้จริง จะมากหรือน้อยก็ยังคงมีความหนักแน่นและนิ่งอยู่บ้าง
ในแดนสามเซียนนั้น ระดับของการฝึกก็จะเหมือนกับเก้าแดน และสิบสามทวีป มีอยู่ด้วยกันสิบเจ็ดระดับ เนื่องจากลำดับชั้นเก้าระดับแรงถือเป็นผู้บำเพ็ญตนที่ค่อนข้างอ่อน อีกทั้งผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในเก้าระดับแรกนี้มีจำนวนมากถึงหนึ่งล้านล้านล้านคน คิดเป็นผู้บำเพ็ญตนส่วนใหญ่ของแดนสามเซียน ดังนั้น ผู้บำเพ็ญตนทั้งเก้าระดับแรกนี้จึงมีชื่อเรียกว่าสาวกแท้จริง
ขณะที่ระดับสาวกแท้จริงนี้ยังแบ่งย่อยออกไปถึงเก้าขั้น นับจากต่ำไปสูงได้แก่ ระดับสาวกแท้จริงขั้นที่หนึ่งกระทั่งถึงระดับสาวกแท้จริงขั้นที่เก้า
ขณะที่หลังจากระดับสาวกแท้จริงแล้วยังมีต่ออีกแปดระดับด้วยกัน จากสูงไปต่ำแบ่งออกเป็นปัญญาแท้จริง ผู้วิเศษแท้จริง อัจฉริยะแท้จริง วีรบุรุษแท้จริง กษัตราแท้จริง ปราชญ์แท้จริง เทพแท้จริง และราชันแท้จริง
ในจำนวนแปดระดับที่ต่อจากระดับสาวกแท้จริงแล้ว แต่ละระดับก็จะแบ่งย่อยออกไปเป็นสามขั้นคือ สูง กลาง ต่ำ แต่ว่าระดับราชันแท้จริงยกเว้น เนื่องจากความแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยของราชันแท้จริงไม่ได้แบ่งเป็นสูง กลาง ต่ำง่ายดายปานนั้น
ลือกันว่า หลังจากระดับราชันแท้จริงแล้ว ยังมีระดับที่อยู่ในตำนานนั่นก็คือระดับเซียนแท้จริง! แต่มันเป็นเพียงตำนานเท่านั้น บนโลกนี้ไม่เคยมีใครได้พบเห็นเซียนแท้จริง!
หลังจากที่หยางเซิ่นผิงสะกดจิตใจให้สงบแล้ว ติดตามจูซือจิ้งเข้าไปในห้อง หลังจากได้พบกับหลี่ชิเย่แล้ว จูซือจิ้งได้ถอยออกไปเงียบๆ ไม่กล้ารั้งอยู่ภายในห้อง
“ชนรุ่นหลังของสำนักกระบี่ยักษ์คารวะท่านบรรพบุรุษ” พลันที่พบกับหลี่ชิเย่ หยางเซิ่นผิงไม่กล้าชักช้าก้มกราบลงกับพื้นทันที แสดงถึงความเคารพนอบน้อม
กล่าวสำหรับหยางเซิ่นผิงแล้ว ไม่ว่าบรรพบุรุษที่อยู่ตรงหน้าจะจริงหรือปลอม แต่ว่าเขาขอแสดงคารวะก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง เกิดเป็นตัวจริง พบบรรพบุรุษแล้วไม่แสดงความเคารพนับว่าเสียมารยาทอย่างยิ่ง หากจะมีการกล่าวโทษกันแล้ว เขาคงรับไม่ไหว
“ลุกขึ้นเถอะ” หลี่ชิเย่ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น โบกมือเบาๆ และกล่าวขึ้นช้าๆ
หยางเซิ่นผิงลุกขึ้นมา มองดูหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้า เวลานี้เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี เนื่องจากหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าหนุ่มแน่นเกินไป อีกทั้งหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้ากล่าวได้ว่าธรรมดาๆ เหลือเกิน ธรรมดามากถึงขั้นที่ว่ามองข้ามไปได้เลย
……………………..