ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2185 เซิ่นจู่แห่งบ้านตระกูลเผิง
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2185 เซิ่นจู่แห่งบ้านตระกูลเผิง
ถ้าหากกษัตริย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้มีการฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ จริงล่ะก็ นับเป็นเรื่องใหญ่คับฟ้าเลยทีเดียว
ช่วงเวลาแห่งความชั่วร้ายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงในครั้งนั้นไม่มีใครอยากจะไปเอ่ยถึงมันอีก ยุคสมัยแห่งความชั่วร้ายในครั้งนั้นได้ถูกระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงปิดผนึกเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ได้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไปแล้ว ในครั้งนั้นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้ทำการเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาและเคล็ดวิชาลับของ ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ทิ้งไปสิ้น
ในครั้งนั้น หลังจากซิวหลอจ้านเทียนสังหารเทพแท้จริงเทียนเต๋อไปแล้วก็ได้บัญญัติกฎเหล็กขึ้นมาทันที ชนรุ่นหลังไม่ว่าใครก็ตามห้ามไม่ให้ฝึก ‘มารคลั่งดูดเลือด’ อีก มิฉะนั้นแล้วจะถือว่าทรยศต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ ต้องถูกประหารด้วยการรัดคอ!
เวลานี้หากจะกล่าวว่า กษัตริย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้มีการฝึก ‘มารคลั่งดูดเลือด’ จริงล่ะก็ สิ่งนี้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อจวนหวังโดยรวม และทำให้ทุกคนตั้งข้อสงสัยถึงความถูกต้องตามกฎต่อจวนหวังในการครองอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
“เหอะ การฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ จะไม่ทำให้เกิดธาตุไฟเข้าแทรกอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นการดำเนินการของจวนหวัง หรือว่าพระนางท่านลงมือด้วยตนเอง นี่คือการปลงพระชนม์พระราชา ทั้งยังเป็นการปลงพระชนม์พระราชาโดยพละการ!” เวลานี้ปราชญ์ภูผาพิโรธยิ้มกล่าวด้วยเสียงน่าสะพรึงกลัวออกมา
คำพูดลักษณะเช่นนี้พลันทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดรู้สึกใจหายใจคว่ำ ในเวลานี้ทุกคนต่างบังเกิดความสงสัยถึงการเสียชีวิตของกษัตริย์ขึ้นมาแล้ว หรือกษัตริย์ได้ฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ แล้วจริงๆ ซึ่งหากว่ากษัตริย์ได้มีการฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’จริงๆ มันเป็นเรื่องใหญ่คับฟ้าอย่างแน่นอน
ถ้าหากเป็นไปตามที่ปราชญ์ภูผาพิโรธพูดเอาไว้ว่า การฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ จะไม่ทำให้เกิดธาตุไฟเข้าแทรก เช่นนั้นแล้ว แสดงว่ากษัตริย์ต้องถูกคนปลงพระชนม์แล้วสิ เฉกเช่นที่ปราชญ์ภูผาพิโรธได้พูดเอาไว้อย่างนั้น เป็นการปลงพระชนม์โดยจวนหวัง หรือว่าหวังหานกันแน่ เรื่องเช่นนี้พลันเต็มไปด้วยปริศนาทันที
“ในเมื่อปราชญ์ภูผาพิโรธรู้เรื่องของวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ละเอียดถึงเพียงนี้ หรือว่าท่านได้ทำการฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ มาแล้ว และหรือบางทีอาจมีคนของกองกำลังซั่งที่ฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ กันเล่า?” หวังหานไม่หวั่นไหวกับคำพูดของปราชญ์ภูผาพิโรธ เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง
“อย่าได้ใส่ร้ายคนอื่น” เวลานี้สีหน้าของปราชญ์ภูผาพิโรธเปลี่ยนไป กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “พระนาง ท่านจะต้องรับผิดชอบคำพูดของท่านเอง”
“ปราชญ์ภูผาพิโรธ ข้าน่ะรับผิดชอบในคำพูดของข้า” หวังหานกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ถ้าหากปราชญ์ภูผาพิโรธไม่ได้ฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ และหรือกองกำลังซั่งของท่านไม่ได้มีเคล็ดวิชา หรือเคล็ดลับของ ‘มารคลั่งดูดเลือด’ อยู่ในครอบครอง แล้วรู้ได้อย่างไรว่าการฝึก ‘มารคลั่งดูดเลือด’ จะไม่ทำให้เกิดธาตุไฟเข้าแทรกเล่า?”
“ฮึ ข้าเองก็แค่ไปรู้มาจากบันทึกในตำราโบราณของสำนักเท่านั้นเอง” ปราชญ์ภูผาพิโรธกล่าวพร้อมกับส่งเสียงฮึน่าเกรงขามออกมา
“เช่นนั้นแล้ว แสดงว่ากองกำลังซั่งยังคงไม่ยอมละทิ้งความพยายามต่อวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ น่ะสิ” เวลานี้หวังหานได้ทีขี่แพะไล่ กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ช่วงเวลาแห่งความชั่วร้ายในครั้งนั้น ยอดฝีมือบางส่วนของกองกำลังซั่งเคยเข้าร่วมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเทพแท้จริงเทียนเต๋อ ทำหน้าที่จับเลือดพันธุ์ให้กับเทพแท้จริงเทียนเต๋อ ในฐานะที่ท่านเป็นระดับบรรพบุรุษสมควรทราบว่า หลุมขนาดยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าก็คือที่ที่เทพแท้จริงเทียนเต๋อใช้เป็นสถานที่กลั่นเลือด การมายืนอยู่บนสถานที่เดิมแห่งนี้ เทพแท้จริงกล้าสาบานหรือไม่เล่า!”
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำเมื่อได้ยินคำพูดของหวังหาน ทุกคนล้วนแล้วแต่จ้องมองไปที่ปราชญ์ภูผาพิโรธด้วยความตระหนก ผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าหลุมโลหิตที่อยู่ตรงหน้าก็คือสถานที่ที่เทพแท้จริงเทียนเต๋อใช้กลั่นเลือดในครั้งนั้นนั่นเอง
ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสจำนวนไม่น้อยต่างรู้ว่า คำว่าเลือดพันธุ์ก็คือ ขณะที่เทพแท้จริงเทียนเต๋อในครั้งนั้นฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ จะนำเอาผู้ที่ถูกจับเป็นมาแล้วรีดเลือดในกายของพวกเขาจนแห้ง ทำการกลั่นให้กลายเป็นเลือดบริสุทธิ์ยึดเอาไว้เป็นของตน ตามตำนานเล่าว่า ในครั้งนั้นเทพแท้จริงเทียนเต๋อต้องการฝึก ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ให้ถึงขั้นสูงสุด เคยจับเอาคนเป็นๆ มากลั่นจำนวนเป็นพันเป็นหมื่น
ในขณะนี้ทุกคนต่างยืนอยู่ในเขาฟันหลอ แต่จะมีสักกี่คนที่รับรู้จริงๆ ว่า หลุมยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าก็คือสถานที่ที่เทพแท้จริงเทียนเต๋อเคยใช้เป็นที่กลั่นบูชาคนมาเป็นพันเป็นหมื่นกันเล่า?
ในเวลานี้ทุกคนจึงเข้าใจว่า เพราะอะไรเมื่อครู่ถึงได้มีน้ำเลือดพวยพุ่งขึ้นมา น้ำเลือดเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเลือดเสีย แท้จริงแล้วมันคือสิ่งที่หลงเหลือจากการกลั่นเลือดของเทพแท้จริงเทียนเต๋อในครั้งนั้น
“พระนาง เกินไปแล้วนะ” เวลานี้เทพฟ้าคะนองก็ร้องตวาดเสียงดังขึ้นมาเช่นกัน “ความชั่วร้ายในช่วงที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่ถูกปิดผนึกไปแล้ว ชนรุ่นหลังพวกเราก็จะไม่ไปเอ่ยถึงมันอีก แต่ พระนางกลับไปแกะแผลของผู้อื่น ต้องการอะไรกันแน่!”
“เทพแท้จริงก็ทำเกินไปแล้ว” สำหรับการตวาดเสียงดังของเทพฟ้าคะนองนั้น หวังหานก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย กล่าวน่าเกรงขามว่า “ฝ่าบาทสวรรคตเป็นที่รับรู้กันทั่วหล้า เวลานี้เทพแท้จริงกลับมาสร้างให้เป็นเรื่องใหญ่ที่นี่ ทำลายพระเกียรติของฝ่าบาท ต้องการอะไรกันแน่!”
เวลานี้ หวังหานกลับเป็นฝ่ายรุกฆาตเทพฟ้าคะนองกับปราชญ์ภูผาพิโรธ เดิมทีพวกเขาต้องการอาศัยเรื่องเกี่ยวกับกษัตริย์มาสร้างเรื่องให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่นึกไม่ฝันว่ากลับถูกหวังหานแว้งกัดเข้าให้ทีหนึ่ง
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องบรรพบุรุษฟื้นคืนชีพอะไรนั่น เรื่องนี้หากไม่มีหลักฐานที่หนักแน่น กองกำลังซั่งของพวกเราจะไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด” ปราชญ์ภูผาพิโรธส่งเสียงฮึเย็นชาออกมา
“ภูผาพิโรธ หากไม่มีหลักฐานหนักแน่น ก็หุบปากของเจ้าเสีย คราวหน้าหากพูดถึงเรื่องสวรรคตของกษัตริย์อีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะสับเจ้าเป็นคนแรก” ในเวลานี้เทพดาบเดือดซี๋วเฮ่าตงที่ยืนอยู่ข้างรถกษัตริย์ก็ส่งเสียงดังน่าเกรงขามออกมา
เกรงว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์คงไม่กล้าพอที่จะตวาดเสียงดังกล่าวตำหนิปราชญ์ภูผาพิโรธ แต่ว่าเมื่อเทพดาบเดือดซี๋วเฮ่าตงตำหนิเสียงดังขึ้นมากลับทำให้ปราชญ์ภูผาพิโรธต้องหุบปากลง
แม้ว่าปราชญ์ภูผาพิโรธอยู่ต่อหน้าผู้อื่นจะวางมาดเสียยิ่งใหญ่ แต่ว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าเทพดาบเดือดซี๋วเฮ่าตงแล้วกลับไม่หลงเหลือมาดอะไรอีกเลย เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ซี๋วเฮ่าตงแข็งแกร่งมากกว่าเขา ใครใช้ให้เขาเคยพ่ายแพ้ให้กับซี๋วเฮ่าตงเล่า มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เมื่อเขามีท่าทีที่เหนือกว่า
“พวกเจ้าทะเลาะกันพอแล้วยัง?” จังหวะที่พวกของปราชญ์ภูผาพิโรธเอะอะโวยวายอยู่นั้น เสียงที่เอ้อระเหยเสียงหนึ่งได้ดังขึ้นในเวลานี้ ผู้ที่พูดก็คือหลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรนั่นเอง
เดิมทีหลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรหลับตาพักผ่อนกายา เหมือนว่าได้นอนหลับไปแล้วอย่างนั้น แต่ว่าในขณะนี้เขาค่อยๆ ลืมตาทั้งสองขึ้น และพูดขึ้นมาช้าๆ ในที่สุด
เมื่อหลี่ชิเย่เปิดปากพูดออกมา ทุกคนล้วนแล้วแต่จ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ในทันที เมื่อครู่ขณะหลี่ชิเย่ไม่พูดไม่จา ทุกคนเหมือนว่าได้ลืมการดำรงองู่ของเขาไปแล้วอย่างนั้น
เวลานี้ หลี่ชิเย่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรด้วยท่าทางเอ้อระเหยสบายอกสบายใจ จ้องมองไปยังทุกคน ยิ้มนิดหนึ่ง และกล่าวว่า “ล้วนแล้วแต่ไร้สาระทั้งนั้น ข้ายังจะต้องให้พวกเจ้ามายอมรับอย่างนั้นรึ? จำเป็นต้องให้พวกเศษสวะกลุ่มหนึ่งมาเห็นชอบด้วยรึ? อาศัยชื่อหลี่ชิเย่ก็เพียงพอแล้ว! ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามายอมรับ และไม่สนใจการคัดค้านของพวกเจ้า คนอย่างข้าทำงานง่ายมาก…”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว หลี่ชิเย่หยุดนิดหนึ่ง จากนั้นกล่าวต่อว่า “ถ้าหากพวกเจ้ายินดีติดตามทำงานให้ข้า ข้ายินดีต้อนรับ ถ้าหากไม่ต้องการติดตามทำงานให้ข้าก็ไม่เป็นไร ข้าเพียงต้องการบอกคำๆ เดียวเท่านั้น ใครขวางข้าม้วย! เอาล่ะ ข้าพูดจบแล้ว เวลานี้พวกเจ้าจะยืนอยู่ฝ่ายไหนล่ะ? จะยอมสวามิภักดิ์กับข้าแต่โดยดี หรือเป็นศัตรูกับข้าล่ะ?” เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วหัวเราะและกล่าวว่า “ในเมื่อทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันที่นี่แล้ว เมื่อเป็นดังนี้พวกเจ้าเลือกเอาก็แล้วกัน คนอย่างข้าชอบฟังความคิดเห็นคนอื่นมากเหลือเกิน”
“จวนหวังข้ายินดีติดตามท่านบรรพบุรุษ!” หวังหานไม่ต้องคิดตอบโดยไม่ลังเลเลย
“ค่ายฉู่ของข้าก็ยินดี!” หลังจากที่หวังหานแสดงท่าทีแล้ว ฉู่ชิงหลินก็กล่าวในฐานะตัวแทนค่ายฉู่ ย่อมไม่ต้องสงสัย ภายในค่ายฉู่เองก็ได้บรรลุร่วมกันแล้ว มิฉะนั้นล่ะก็ ลำพังอาศัยฉู่ชิงหลินก็ไม่กล้าแสดงท่าทีในฐานะค่ายฉู่
ครั้นจวนหวังและค่ายฉู่ต่างแสดงท่าทีไปแล้ว คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างจ้องมองหน้ากันและกัน ส่วนใหญ่แล้วมองไปที่ตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ กับสี่ปราชญ์แห่งกองกำลังซั่ง
กล่าวสำหรับสำนักหรือตระกูลขุนนางโบราณใดๆ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้ว ก่อนที่สี่ขั้วอำนาจใหญ่จะตัดสินใจเสียก่อน พวกเขาตัดสินใจเลือกก็ไม่ก่อเกิดประโยชน์แต่อย่างใด มีเพียงรอให้หอศักดิ์สิทธิ์ และกองกำลังซั่งต่างแสดงท่าทีไปแล้ว พวกเขาที่เป็นสำนักหรือตระกูลขุนนางโบราณต่างๆ จึงสะดวกที่จะเลือกอยู่กับฝ่ายไหน
เสียงตูมดังสนั่น ทันใดนั้นเองเสียงที่ดังสนั่นขึ้นมาเหมือนว่าได้ดังก้องไปทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอย่างนั้น เสียงที่ดังสนั่นขึ้นมาเช่นนี้สามารถได้ยินไกลไปถึงพื้นที่จำนวนมากในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
จากเสียงที่ดังขึ้น มองเห็นประกายที่ไม่มีสิ้นสุดพวยพุ่งขึ้นมาจากท้องฟ้า พริบตาเดียวนั่นเอง ทิศทางที่ตั้งราชสำนักปรากฎประกายที่เจิดจ้าพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ส่องสว่างไปทั่งท้องฟ้า
ในเวลานี้เอง จวนขนาดใหญ่มากหลังหนึ่งได้ฉายภาพปรากฏอยู่บนท้องฟ้า มองเห็นสัจธรรมแต่ละสายที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ฐานเต๋าของสำนักหรือตระกูลขุนนางโบราณแห่งหนึ่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้น สำนักหรือตระกูลขุนนางโบราณแห่งนี้พลันปรากฎขึ้นมาด้วยท่าทีที่น่าเกรงขาม พลังดุจมหาสมุทร
การที่ตระกูลขุนนางโบราณแห่งหนึ่งพลันเอาสำนักของตนฉายภาพอยู่บนท้อง เหมือนเป็นท่วงทำนองของการประกาศสงครามชัดๆ
“บ้านตระกูลเผิง!” ผู้คนจำนวนมากสามารถจดจำได้เมื่อมองเห็นสำนักที่ถูกฉายภาพขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้า รู้ว่านี่คือสำนักหรือตระกูลขุนนางโบราณใด
การที่ตระกูลเผิงจู่ เอาสำนักของตนฉายภาพไปบนท้องฟ้าอย่างกะทันหัน ทำเอาผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับตกใจยิ่ง ตระกูลเผิงต้องการประกาศศึกกับผู้ใดรึ?
ขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกฉงนอยู่นั้น เสียงตูมดังสนั่นขึ้นมา ในเวลานี้เองบ้านตระกูลเผิงได้พวยพุ่งพลังออกมาอย่างไม่ขาดสาย พริบตาเดียวนั่นเอง อานุภาพเทพแท้จริงสายหนึ่งได้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และมีการขยายเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง เป็นเทพแท้จริงที่ปลดปล่อยพลังของตนออกมาเต็มที่โดยไม่มีการเก็บงำเอาไว้แม้แต่น้อย กระทั่งมีความคิดต้องการใช้อำนาจสยบทั่วหล้าอย่างนั้น
“ฮึ ในโลกนี้ไหนเลยมีเรื่องการฟื้นคืนชีพ เป็นคำพูดที่ไร้สาระ” ในเวลานี้เอง บนท้องฟ้าเหนือบ้านตระกูลเผิงปรากฎร่างเงาคนๆ หนึ่ง เป็นร่างเงาที่สูงใหญ่ยิ่งนัก ศีรษะจรดทั้งฟ้า เท้าเหยียบผืนแผ่นดิน ทั่วร่างปรากฎกลิ่นอายเทพแท้จริงที่แผ่ออกมาดั่งคลื่นที่โหมสาดซัดอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งไปกว่านั้น ยามที่ดวงตาแห่งความโกรธทั้งสองข้างของเขาเบิกกว้าง เสมือนดั่งเป็นดวงตะวันสองดวงที่สาดส่องท้องฟ้าจนสว่างไสว
“เซิ่นจู่แห่งบ้านตระกูลเผิง!” บรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณเมื่อได้เห็นร่างเงาทีสูงใหญ่ยิ่งร่างนี้แล้วรู้สึกตกใจและเอ่ยขึ้นมาว่า “นี่คือธาตุแท้ภายในที่แข็งแกร่งที่สุดของบ้านตระกูลเผิง”
“ตระกูลเผิงของพวกเราจะไม่ยอมรับบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพอะไรนั่นอย่างเด็ดขาด สำหรับผู้ใดก็ตามที่มีจิตใจชั่วร้ายยากจะคาดเดาต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงพวกเรานั้น ฆ่าไม่มีละเว้น!” เวลานี้เสียงของเซิ่นจู่แห่งบ้านตระกูลเผิงดังก้องไปทั่วฟ้าดิน และกล่าวว่า “กองกำลังซั่งก็จะไม่ยอมให้ผู้ที่แอบอ้างหลอกลวงต้นตุ๋นได้ก้าวขึ้นมาเป็นกษัตริย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอย่างเด็ดขาด! ศิษย์ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงคนใดก็ตาม สมควรฆ่าไม่มีละเว้นกับคนประเภทนี้!”
เวลานี้เซิ่นจู่แห่งบ้านตระกูลเผิงพลันที่พูดออกมา เหมือนเป็นการตัดสินความโดยอาศัยคำพูดคำเดียว นี่เป็นการประกาศศึกต่อหลี่ชิเย่ของบ้านตระกูลเผิง โดยบ้านตระกูลเผิงอาศัยคำพูดคำเดียวปฏิเสธฐานะของหลี่ชิเย่ไปเลย!
ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ขณะที่เซิ่นจู่แห่งบ้านตระกูลเผิงพูดคำลักษณะเช่นนี้ออกมา ถ้าหากเวลานี้หลี่ชิเย่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ล่ะก็ เกรงว่าจะส่งผลให้ผู้คนที่ไม่ยอมรับฐานะของหลี่ชิเย่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
“ถูกต้อง คำพูดของเซิ่นจู่แห่งบ้านตระกูลเผิงมีเหตุผล ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ของพวกเราจะไม่อนุญาตให้มีผู้ใดมาต้มตุ๋นหลอกลวงอย่างเด็ดขาด!” ปราชญ์ภูผาพิโรธก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา สนับสนุนคำพูดของเซิ่นจู่แห่งบ้านตระกูลเผิง