ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2209 ออกเดินทาง
หวู่ปิงหนิงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง เมื่อได้ฟังคำเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว เงยหน้าขึ้นจ้องไปที่หลี่ชิเย่ทีหนึ่ง และกล่าวว่า “แบบนี้ก็ถือเป็นการล้างสมองให้กับข้า!” คำพูดนี้ฟังดูเหมือนเป็นการบ่นโทษคนอื่น แต่ท่ามกลางสิ่งนี้กลับมีลักษณะของจริตแสร้งว่าโกรธอยู่เจ็ดส่วน
“ล้างสมองก็ล้างสมองก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “ต่อให้เป็นการล้างสมอง เจ้าก็ชอบการล้างสมองลักษณะเช่นนี้”
หวู่ปิงหนิงส่งเสียงฮึขึ้นมาเบาๆ แต่ภายในจิตใจของนางรู้สึกอบอุ่น ในเวลานี้จิตใจดวงนั้นที่เย็นชาของนางถึงกับหลอมละลาย นี่เป็นความมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งที่งดงามยากจะหาใดเทียม ทำให้ผู้คนอดที่จะไปอิงแอบไม่ได้ ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ต้องไปชิดใกล้ นับว่าทำให้ผู้คนหลงใหลยิ่งเหลือเกิน
“โลกนี้ยากเข็ญยิ่ง เจ้ายังมีหนทางที่ยาวไกลมากต้องไปก้าวเดิน แต่ว่า ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถก้าวเดินออกไปได้อยู่แล้ว” หลี่ชิเย่ ลูบไล้ที่หน้าผากของนางเบาๆ
หวู่ปิงหนิงถึงกับพยักหน้าเบาๆ ในพริบตาเดียวนี้เอง จิตใจของนางดูจะเบิกบานขึ้นมากทีเดียว สิ่งที่สร้างความกังวลใจรบกวนนางมาโดยตลอดก่อนหน้านั้นได้จางหายไปในชั่วพริบตาเดียว ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเมฆและควันที่จางหายไป ทุกสิ่งดูจะเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ไม่คู่ควรจะกล่าวถึงอะไรอย่างนั้น
ชั่วพริบตาเดียวนี่เอง เรื่องเช่นนี้ไม่รบกวนนางอีกต่อไป ความกังวลที่เคยรบกวนนางนั้นเวลานี้ช่างไร้ค่าที่จะกล่าวถึง ที่นางกระหายอยากยิ่งกว่าคือการก้าวเดินไปข้างหน้า กระหายอยากในการคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดในอนาคตมากกว่า
“ข้ายินดีไปทำ และยินดีใช้ความพยายาม” หวู่ปิงหนิงถึงกับกำหมัด ขณะที่ความคิดที่อยู่ในใจกลับกลายเป็นมั่นคงยิ่งขึ้น นาทีนี้ สำหรับอนาคตแล้วนางมองไปได้ไกลยิ่งกว่า และมองได้ชัดเจนยิ่งกว่า
เนื่องจากนาทีนี้นางรู้แล้วว่าตนเองนั้นต้องการอะไร นาทีนี้นางเข้าใจแล้วว่าตัวเองสมควรไปทำสิ่งใด ดังนั้นกล่าวสำหรับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ต่อให้นางต้องไปแบกรับความกดดันที่มากมายอีกเท่าไรก็ตาม แต่ว่านางก็จะยืนหยัดปณิธานของตนก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง นางยินดีติดตามผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้
“จะเป็นแดนลัทธิพรรษก็ดี แดนลัทธิราชันก็ช่าง ต่อให้เป็นแดนลัทธิเซียนก็ไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงเจ้าสามารถก้าวเดินไปถึงขั้นนั้น ในเวลานั้น ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ทะเลกว้างท้องนภาสูง มีข้าอยู่ทั้งคน จะเป็นกำหนดอะไร ปณิธานอะไรล้วนแล้วแต่ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
“ข้ารู้” ดวงตาคู่นั้นของหวู่ปิงหนิงพลันกลับกลายเป็นมั่นคงขึ้นมาโดยพลัน แววตาที่เกาะรวมตัวกัน นาทีนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถสั่นคลอนต่อการตัดสินใจของนางอีกแล้ว
“คุณชายออกจะลำเอียงไปหน่อยนะ” เวลานี้หวังหานได้นำผลไม้ที่ผ่านการปอกเปลือกแล้วลูกหนึ่งป้อนเข้าปากของหลี่ชิเย่ เหมือนพูดตัดพ้อขึ้นมาว่า “น้องชิงหลินก็มีพลังแฝงอยู่นะ สมควรที่คุณชายจะได้บ่มฟักน้องชิงหลินบ้าง”
หวังหานกำลังพูดแทนฉู่ชิงหลิน เวลานี้พวกของหวังหานต่างมองออกว่าหลี่ชิเย่มีความคิดที่จะบ่มฟักหวู่ปิงหนิง ในเวลานี้ หวังหานจึงพยายามให้ได้มาเพื่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงบ้าง
จะอย่างไรเสียตัวของฉู่ชิงหลินก็มีกำลังแฝงเช่นกัน ในฐานะบุคคลอันดับหนึ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง พรสวรรค์ของฉู่ชิงหลินนั้นไม่มีสิ่งใดให้ตำหนิติเตียนได้ ที่สำคัญมากกว่าก็คือ ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นฉู่ชิงหลินกับหวังหานนั้นมีมิตรภาพที่ลึกล้ำมาก แม้ว่าฉู่ชิงหลินจะมีชาติกำเนิดมาจากค่ายฉู่ แต่ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วฉู่ชิงหลินยังคงยืนอยู่ข้างหวังหานเสมอ และเป็นแนวร่วมเดียวกันกับนาง โดยเฉพาะเรื่องใหญ่หลายๆ เรื่องของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง แนวคิดของฉู่ชิงหลินกับนางล้วนแล้วแต่ตรงกันเป็นเอกฉันท์
แล้วเหตุใดหวังหานจะไม่ใช้โอกาสนี้ช่วงชิงให้ได้มาเพื่อฉู่ชิงหลินกันเล่า จะอย่างไรเสียในอนาคตหากฉู่ชิงหลินได้กลายเป็นราชันแท้จริงแล้วล่ะก็ ยังคงมีหนทางอีกยาวไกลที่ต้องก้าวเดิน โดยเฉพาะหากฉู่ชิงหลินต้องการจะเป็นปฐมบรรพบุรุษในอนาคตล่ะก็ ยิ่งมีความต้องการบรรพบุรุษอย่างหลี่ชิเย่มาช่วยเหลืออีกแรง
กล่าวสำหรับหวังหานแล้ว ยิ่งฉู่ชิงหลินมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งสามารถช่วยเหลือนางได้อีกแรงในอนาคตในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
ฉู่ชิงหลินเองนับเป็นผู้ที่อวดดีว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แม้รู้อยู่เต็มอกว่าหลี่ชิเย่มีใจต้องการบ่มฟักนาง แต่ทว่า ในใจของนางมักจะมีความระมัดระวังตัวอยู่หลายส่วน และไม่ยอมเอ่ยปากออกมาเท่านั้นเอง
ด้วยเหตุนี้เอง หวังหานจึงต้องพยายามช่วงชิงโอกาสให้กับฉู่ชิงหลิน
คำพูดของหวังหานทำให้ใบหน้าฉู่ชิงหลินแดงก่ำขึ้นมา นางก้มหน้าลงนิดหนึ่ง มองดูตำราที่อยู่ในมือ
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา ส่ายหน้าเบาๆ ขณะมองดูฉู่ชิงหลิน และกล่าวว่า “นี่หาใช่ข้าลำเอียง อนาคตของชิงหลินก็ไร้ขอบเขตจำกัด เพียงแต่นางกับปิงหนิงมีข้อแตกต่างกันเท่านั้น การที่ชิงหลินก้าวเดินไปตามเส้นทางของผู้เฒ่ากำแหงไปเรื่อยๆ ต่อให้ไม่สามารถแซงล้ำหน้าผู้เฒ่ากำแหงได้ แต่ว่า การก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในอนาคตใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
“ส่วนปิงหนิงนั้นแตกต่างกัน บางทีในอนาคตนางอาจจะสามารถหลุดพ้นไปได้ จะอย่างไรเสียมีเรื่องราวมากมายที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของนาง” หลี่ชิเย่ยิ้มและจ้องมองดูหวังหาน และกล่าวว่า “แต่ ชิงหลินได้รับการช่วยเหลืออย่างสุดกำลังจากเจ้า ข้าเชื่อว่าจากสองประสานของพวกเจ้าในอนาคต จะต้องสร้างความโชติช่วงชัชวาลให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้อย่างแน่นอน”
“หากมีวันนั้นจริงๆ วันที่ชิงหลินสามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้วคิดจะหลุดพ้นจากตรงนั้น บางทีนางก็อาจได้เห็นเส้นทางที่ข้าเคยเตือนและชี้แนะเอาไว้ ข้ากำลังรอวันนั้นมาถึง บนเส้นทางของผู้เฒ่ากำแหงในวันนี้ ชิงหลินสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าโดยลำพัง ไม่จำเป็นต้องให้ข้าไปสอดแทรก” หลี่ชิเย่กล่าวพลางหันมองไปที่ฉู่ชิงหลิน
ฉู่ชิงหลินเงยหน้า ดวงตาที่สดใสมองดูหลี่ชิเย่แวบหนึ่ง และกล่าวว่า “ข้าจะไม่ทำให้คุณชายต้องผิดหวัง ข้าจะต้องพยายามมากกว่านี้” กล่าวพลาง แววตาของนางกลับกลายเป็นมั่นคงยิ่งขึ้น
“ข้าเชื่อ” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มที่เมินเฉยออกมา
“ไปเถอะ ไปเตรียมตัวให้พร้อม ได้เวลาพวกเราต้องไปจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้แล้ว” สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้สั่งการกับหวู่ปิงหนิงออกไป
หวู่ปิงหนิงตอบรับคำเบาๆ คำหนึ่ง รีบเร่งเดินจากไป การย่างก้าวของนางนั้นช่างอ่อนช้อยเหลือเกิน ช่างร่าเริงมีชีวิตชีวายิ่ง เวลานี้ความกังวลในใจของนางถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น
ขณะที่หลี่ชิเย่นำพาหวู่ปิงหนิงจากไป บรรดาผู้คนทั้งหมดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต่างไม่อยากให้เข้าไปจาก ไม่ว่าจะเป็นพวกหลี่เชียน หรือพวกหวังหาน ต่างก็รู้สึกเสียดาย
แต่ทว่าพวกเขาเองก็รู้ดี ไม่ว่าจะอย่างไรระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ไม่สามารถรั้งตัวหลี่ชิเย่เอาไว้ได้ จะอย่างไรเสียหลี่ชิเย่นั้นคือมังกรที่อยู่บนฟากฟ้า เฉกเช่นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่เปรียบได้เป็นเพียงศาลเจ้ามันเล็กเกินไป ไหนเลยจะรั้งพระองค์ใหญ่ให้อยู่ได้เล่า
“คุณชาย ยังมีโอกาสได้พบกับท่านอีกไหม?” ก่อนจากกัน ที่เศร้าเสียใจมากที่สุดยังคงเป็นจูซือจิ้ง นางอดที่จะวิ่งเข้าไปกอดหลี่ชิเย่เอาไว้แน่น
กล่าวได้ว่า ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้น ผู้ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดก็คือจูซือจิ้งแล้ว นางที่มีชาติกำเนิดมาจากเผ่าสาปแช่ง แล้วยังเป็นแค่ศิษย์ธรรมดาของสำนักกระบี่ยักษ์ เรียกได้ว่าชั่วชีวิตนี้ของนางทำได้เพียงสุดเพียงแค่อยู่ในสำนักขนาดเล็กอย่างสำนักกระบี่ยักษ์เท่านั้น
หลังจากติดตามหลี่ชิเย่แล้ว ชะตาชีวิตของนางก็ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่หลี่ชิเย่ได้ประทานของวิเศษให้แก่นางชิ้นแล้วชิ้นเล่า ให้คำชี้แนะถึงทางสว่างในการบำเพ็ญเพียรของนาง ขณะเดียวกัน นางถือเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดหลี่ชิเย่มากที่สุด ซึ่งส่งผลให้นางมีฐานะที่ไม่ธรรมดาในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
กล่าวได้ว่าหากไม่มีหลี่ชิเย่ ก็จะไม่มีนางที่เป็นจูซือจิ้งในวันนี้ หากไม่เป็นเช่นนี้ ในอนาคตอย่างดีที่สุดนางก็เป็นได้เพียงศิษย์ธรรมดาๆ หรือเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเท่านั้นเอง
กล่าวสำหรับจูซือจิ้งแล้ว บุญคุณอันยิ่งใหญ่ที่หลี่ชิเย่มีต่อนางนั้นเปรียบประดุจบิดามารดาบังเกิดเกล้า นางยินดีมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับหลี่ชิเย่ เวลานี้พลันที่หลี่ชิเย่กำลังจะจากไปอย่างกะทันหัน ทำให้จูซือจิ้งไม่อยากจากกันอย่างยิ่ง นางเองก็รู้ดีว่า ตนเองกับหลี่ชิเย่เป็นบุคคลที่อยู่กันคนละโลกอย่างสิ้นเชิง การจากไปของหลี่ชิเย่กะทันหันในครั้งนี้ ระหว่างพวกเขาบางทีอาจเป็นการจากกันชั่วนิรันดร์
ด้วยเหตุนี้เอง จังหวะที่กำลังจะจากกัน จูซือจิ้งไม่รู้ว่าไปเอาความกล้าหาญมาจากไหน ถึงกับวิ่งเข้าไปกอดหลี่ชิเย่กะทันหัน บางทีนี่อาจเป็นการกอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากก็เป็นได้
“เด็กโง่ นี่เป็นเพียงการจากกัน ไม่ได้ตายจากกัน ไม่เห็นมีอะไรต้องเศร้าเสียใจ หากมีวาสนาย่อมต้องได้พบกันอีก” หลี่ชิเย่กอดจูซือจิ้งไว้และยิ้มกล่าวว่า “ไม่แน่นัก เมื่อข้าได้พบเจ้าอีกครั้งในวันนั้น เจ้าได้กลายเป็นหงส์ที่บินร่อนอยู่เหนือเก้าชั้นฟ้าแล้ว”
“ข้า ข้าจะต้องพยายามแน่นอน” จูซือจิ้งถึงกับรู้สึกสะท้านภายในใจ พริบตาเดียวนั่นเอง ภายในใจของนางได้บังเกิดการตัดสินใจที่กล้าหาญอย่างยิ่ง คำพูดคำนี้ของหลี่ชิเย่เสมือนดั่งเป็นตะเกียงที่ส่องสว่างให้กับชีวิตของนางอย่างนั้น ทันใดนั้นนางได้บังเกิดเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา และนางจะก้าวเดินไปข้างหน้ามุ่งสู่เป้าหมายนี้
นาทีนี้ ภายในใจของจูซือจิ้งไม่เคยได้มั่นคงขนาดนี้มาก่อน และมีความฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นความฝันที่นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดมาก่อน
“ลาก่อน” สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้โบกมือลากับทุกๆ คน พาหวู่ปิงหนิงก้าวเท้าเข้าไปในประตูมิติ ก้าวข้ามข่องว่างมุ่งสู่โลกอีกโลกนอกระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
แดนลัทธิพรรษมีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอยู่เป็นจำนวนมาก แม้จะกล่าวว่าในแดนลัทธิพรรษมีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานไม่ถึงหมื่น แต่ก็นับว่ามีอยู่เป็นจำนวนมากทีเดียว มีผู้กล่าวเอาไว้ว่า แดนลัทธิพรรษมีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอยู่เป็นพันแห่ง ส่วนสำนักและตระกูลขุนนางโบราณที่อยู่ภายใต้สังกัดของเหล่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ เรียกว่านับกันไม่หวั่นไม่ไหวแล้ว
ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิส่วนใหญ่ที่อยู่ในแดนลัทธิพรรษล้วนแล้วแต่ติดต่อไปมาหาสู่ซึ่งกันและกันได้ เรียกได้ว่าประตูของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิส่วนใหญ่ในแดนลัทธิพรรษล้วนแล้วแต่เปิดกว้างทั้งสิ้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ หรือผู้บำเพ็ญตนคนใดก็ตามล้วนแล้วแต่ไปมาหาสู่กันได้ มีเพียงระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิส่วนน้อยเท่านั้นที่ปิดสำนักของตนไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็คือหนึ่งในตัวอย่างที่ว่านั้น
เป้าหมายของหลี่ชิเย่คือหุบเขาอมตะของแดนลัทธิพรรษ แม้ว่าหุบเขาอมตะจะตั้งชื่อโดยมีคำว่า ‘หุบเขา’ แต่มันไม่ได้เป็นหุบเขา ความจริงแล้วมันคือระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารมากแห่งหนึ่ง เพียงแต่หุบเขาอมตะแม้ว่าจะมีฐานะเป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแห่งหนึ่ง แต่ว่า พวกเขาไม่ได้ปกครองทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเท่านั้นเอง และอาศัยอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่ง จึงได้ชื่อนี้มาด้วยเหตุนี้นี่เอง
ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะก่อตั้งขึ้นโดยปฐมบรรพบุรุษเซียนโอสถ เรื่องราวเกี่ยวกับเซียนโอสถนั้นมีเรื่องเล่าลือกันไปต่างๆ นานา กระทั่งมีผู้ที่ยกย่องให้เขาเป็น ‘ผู้เฒ่าไม่มีวันแก่’ เนื่องจากยาเม็ดอายุวัฒนะที่เซียนโอสถปรุงกลั่นขึ้นมานั้นได้รับการยกย่องว่าหนึ่งในสุดยอดนิรันดร์กาล จากจุดนี้ย่อมสามารจินตนาการได้ว่า ฝีมือด้านยาเม็ดอายุวัฒนะของเขานั้นเป็นหนึ่งไม่มีสองเช่นใดแล้ว
เกี่ยวกับกรณีที่เซียนโอสถสามารถกลายเป็นปฐมบรรพบุรุษ และหรือมีฝีมือด้านยาเม็ดอายุวัฒนะที่ยอดเยี่ยมปราศจากผู้เทียบเทียมนั้น มีตำนานที่น่าสนใจมากอยู่เรื่องหนึ่ง
ตามตำนานเล่าว่า ในขณะที่เซียนโอสถอายุยังเยาว์วัยนั้น ได้พบกับเรื่องประหลาดมหัศจรรย์เข้า เขาได้ตกลงไปในถ้ำแห่งหนึ่ง ได้รับตำราโอสถของจักรพรรดิเสินหนง หลังจากนั้น เขาก็ได้ก้าวเดินไปสู่เส้นทางวิชากลั่นยาเม็ดที่ปราศจากผู้เทียบเทียมในหล้าเป็นต้นมา
ภายหลังเซียนโอสถได้กลายเป็นปฐมบรรพบุรุษ อาศัย ‘ตำราอมตะ’ มาสร้างเป็นอาณาจักร และก่อตั้งหุบเขาอมตะขึ้นมา
จากตำนานที่เล่าว่าเซียนโอสถได้ตำราโอสถของจักรพรรดิเสินหนงมานั่นเอง ทำให้ฝีมือด้านการปรุงกลั่นโอสถของเซียนโอสถเต็มไปด้วยสีสันแห่งมหัศจรรย์ และส่งผลให้เกิดการคาดเดาต่างๆ นานาขึ้นมาในยุคหลัง
จักรพรรดิซุ่ยเหริน จักรพรรดิฝูซี และจักรพรรดิเสินหนงเป็นเพียงจักรพรรดิทั้งสามที่เป็นตำนานอยู่ในแดนสามเซียนเท่านั้น มีผู้กล่าวว่าพวกเขาไม่ได้มีอยู่จริง แต่ก็มีคนบอกว่าพวกเขามีอยู่จริงๆ แต่ทว่า ไม่ว่าจะมีอยู่หรือไม่มีอยู่จริงก็ตาม ดูเหมือนว่าบนโลกนี้ไม่เคยมีใครได้พบเห็นพวกเขามาก่อนเลย
ดังนั้น จักรพรรดิซุ่ยเหริน จักรพรรดิฝูซี และจักรพรรดิเสินหนงเป็นเพียงจักรพรรดิทั้งสามที่อยู่ในตำนานเท่านั้นเอง
………………………………………………..