ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2279 ใครกันแน่ที่ควบคุมสถานการณ์
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2279 ใครกันแน่ที่ควบคุมสถานการณ์
คู่ดวงตาของว่านโซ่วเหล่าจวินก็สามารถส่องสว่างโลกธาตุได้แล้ว การนั่งอยู่ที่ตรงนั้นของเขาส่งผลกระทบไปทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ นาทีนี้ไม่รู้ว่ามีสรรพสิ่งมีชีวิตที่บังเกิดมโนภาพว่า ว่านโซ่วเหล่าจวินในขณะนี้ได้ควบคุมหมดทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะไปแล้ว
การเกิดมโนภาพลักษณะเช่นนี้ก็ไม่นับว่าแปลก เนื่องจากผู้ที่แข็งแกร่งจนถึงระดับเช่นว่านโซ่วเหล่าจวินนั้น ต่อให้เขาไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ใน ‘ตำราอมตะ’ ก็ต้องบรรลุเคล็ดวิชาจำนวนมากที่เซียนโอสถได้ทิ้งเอาไว้ ดังนั้น เมื่อว่านโซ่วเหล่าจวินนั่งอยู่บนท้องฟ้าสูงเด่นจึงทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขานั่นแหละที่เป็นศูนย์กลางของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะในฉับพลันทันที ไม่ใช่หุบเขาอมตะ
“คนหนุ่มมีพลังที่น่าเคารพเลื่อมใส…” เวลานี้สายตาของว่านโซ่วเหล่าจวินคล้ายมองมาที่หลี่ชิเย่ ต่อให้เขาอยู่ห่างจากหลี่ชิเย่ไกลถึงล้านล้านลี้ แต่ว่า เวลานี้นาทีนี้เหมือนว่าเขากำลังอยู่ตรงหน้าหลี่ชิเย่เอง และเหมือนอยู่ตรงหน้าของทุกๆ คนอย่างนั้น อำนาจบารมีสยบสายนั้นได้ลอยเข้ามาปะทะใบหน้า
“มีศักยภาพอยู่บ้าง” หลี่ชิเย่ยืนเอามือไพล่หลัง ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับเทพแท้จริงขั้นอมตะก็ยังคงเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้สึกตื่นตระหนกแต่อย่างใด ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “นับว่ามีบุคคลที่มีระดับปรากฎออกมาคนหนึ่งแล้ว ข้าสามารถอุ่นเครื่องได้แล้วล่ะ”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้ทุกคนต้องงงงัน ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนแล้วแต่ถูกทำให้เซ่อไปในทันทีเมื่อได้ยินชื่อของว่านโซ่วเหล่าจวิน กระทั่งตกใจจนก้มกราบลงกับพื้นไม่มีความกล้ากระทั่งเงยหน้าขึ้นมา อย่างไรก็ตามหลี่ชิเย่กลับไม่ถือเอาว่านโซ่วเหล่าจวินเป็นเรื่องสำคัญอะไร
“ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะไม่ได้ปรากฏอัจฉริยะบุคคลเช่นนี้มานานแล้ว ถึงกับสามารถควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ สามารถบรรลุถึงสัจธรรมที่ลึกซึ้งยอดเยี่ยมของปฐมบรรพบุรุษได้ ด้วยสัจธรรมคุณธรรมเช่นนี้แม้แต่บุคคลรุ่นก่อนก็อยากจะเทียม เยี่ยมมาก” ว่านโซ่วเหล่าจวินเอ่ยขึ้นช้าๆ
แม้แต่ว่านโซ่วเหล่าจวินยังกล่าวชื่นชมหลี่ชิเย่ถึงเพียงนี้ พลันทำให้ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะต้องใจหายใจคว่ำ คนที่สามารถควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะได้ เป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะที่น่ากลัวเพียงใด มิน่าเล่าสามารถเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่ง และสามารถสืบทอดตำแหน่งของหุบเขาอมตะได้
ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง ศิษย์คนหนึ่งต่อให้ทักษะยุทธของตัวเขาเองจะไม่แข็งแกร่งอย่างเพียงพอ แต่ถ้าหากว่าเขาสามารถควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่งได้ นั่นก็คือผู้ดำรงอยู่ในฐานะปราศจากผู้ต่อกร! อย่างน้อยที่สุดสามารถเกรียงไกรเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตน
ศิษย์ลักษณะเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่มีจำนวนน้อยมากถึงน้อยที่สุด ถ้าหากว่ามีศิษย์ลักษณะเช่นนี้สักคน ย่อมบ่งบอกว่าสติปัญญาของศิษย์ผู้นั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง อนาคตไร้ขีดจำกัด
“แค่พอใช้ได้เท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยิ้มออกมาตามอารมณ์
แน่นอนที่สุด ว่านโซ่วเหล่าจวินยังคงมองถึงความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของหลี่ชิเย่ไม่ขาด ความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของหลี่ชิเย่ไม่ได้อยู่ที่เขาได้ควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ แต่อยู่ที่ผลสัจธรรมลูกสนลูกนั้นของเขา ผลสัจธรรมลูกสนเป็นตัวที่ทำให้สัจธรรมง่ายและไม่ซับซ้อน นี่แหละคือส่วนที่เป็นแกนหลักของมัน ไม่ใช่ว่าหลี่ชิเย่ได้ควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเอาไว้
“คนหนุ่มมีพลังที่น่าเคารพเลื่อมใส อนาคตไร้ขีดจำกัด เจ้าเพียงขาดเวลาที่ใช้ในการตกผลึกนิดหนึ่งเท่านั้น มิฉะนั้นล่ะก็อนาคตต้องได้เป็นราชันแท้จริงอย่างแน่นอน สามารถแซงล้ำหน้าคนรุ่นก่อน ไม่แน่นักอาจมีโอกาสได้เป็นถึงระดับปฐมบรรพบุรุษ” สายตาคู่นั้นของว่านโซ่วเหล่าจวินที่สาดส่องไปยังหลี่ชิเย่ เหมือนมองหลี่ชิเย่จนทะลุปรุโปร่งแล้วอย่างนั้น
คำพูดของว่านโซ่วเหล่าจวินเรียกว่ามีน้ำหนักมาก เขาอยู่ในฐานะเคยเป็นผู้บ่มเพาะราชันแท้จริงมาก่อน ราชันแท้จริงเป่าโซ่วก็คือศิษย์ของเขา แม้แต่เขายังยอมรับในตัวของหลี่ชิเย่ ย่อมจินตนาการได้ว่าพลังแฝงของหลี่ชิเย่ช่างน่ากลัวเพียงใด
เวลานี้ไม่รู้ว่ามีกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนเท่าไรที่รู้สึกอิจฉา สามารถได้รับการยอมรับเช่นนี้จากว่านโซ่วเหล่าจวิน ย่อมเป็นเกียรติยศสูงสุดอย่างแน่นอน และเป็นต้นทุนอย่างหนึ่งในอนาคต
“แต่ความเป็นไปของสถานการณ์ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้ มันเป็นกระแสนิยม และเป็นโชคชะตา” ว่านโซ่วเหล่าจวินจ้องมองหลี่ชิเย่แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจะต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอน ข้าเองก็ทะนุถนอมผุ้มีฝีมือ เห็นแก่ปรัชญาเมธีเจ้าบอกให้หุบเขาอมตะยอมจำนนเสีย มอบอำนาจออกมา ข้ารับประกันหุบเขาอมตะอยู่เป็นสุขตลอดกาล”
คำพูดนี้ของว่านโซ่วเหล่าจวินดูเรียบเฉย แต่หนักแน่นจริงจังมาก และเปี่ยมด้วยอำนาจบารมี ในเมื่อเขากล้ารับประกันเช่นนี้ ย่อมสามารถให้หุบเขาอมตะสงบสุขและปลอดภัย จะอย่างไรเสียด้วยฐานะที่สูงส่งยิ่งของเขา คำพูดที่พูดออกมาก็เสมือนดั่งกฎทองคำข้อบัญญัติหยก
“ถ้าหากข้าไม่ล่ะ?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย
“ถ้าหากไม่ เช่นนั้นแล้วหุบเขาอมตะก็จะกลายเป็นเถ้าธุลีไป สถานการณ์ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจะต้องเปลี่ยนผู้ครองอำนาจ ใครก็ขวางไม่อยู่” ว่านโซ่วเหล่าจวินกล่าวขึ้นช้าๆ
“มีความมั่นใจมากพอ” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “คำพูดเช่นนี้ทำให้ข้าคันไม้คันมือ ข้ากลับอยากลองว่าใครสามารถขวางทางของข้าได้”
ว่านโซ่วเหล่าจวินส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้ามีความยอดเยี่ยมโดยแท้จริง โดยเฉพาะสามารถบังคับควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ มีกายอมตะในครอบครอง ด้วยศักยภาพเช่นนี้เพียงพอให้เจ้าเกรียงไกรไปทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ เสียดายทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกำลังภายนอก ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ เจ้าไม่สามารถควบคุมต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ เว้นแต่เจ้าสามารถควบคุมต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะได้อย่างแท้จริง จึงจะทำให้เจ้ายืนอยู่ในจุดที่ไม่มีพ่ายแพ้อย่างแน่นอน”
“ดูเหมือนคำพูดนี้จะมีเหตุผล” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เป็นความจริง การควบคุมต้นกำเนิดสัจธรรมจะทำให้มีพลังที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ในครอบครอง”
หลี่ชิเย่ในเวลานี้ไม่ได้ควบคุมต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ แน่นอน หากเขาตั้งใจจะควบคุมต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะก็ใช่ว่าทำไม่ได้ เพียงแต่เขาขี้คร้านไปเสียเวลาเท่านั้นเอง
“พูดถึงเรื่องพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ แคว้นว่านโซ่วของข้าก็สามารถสยบเจ้าได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากข้าลงมือรับรองได้ว่าสถานการณ์โดยรวมถูกกำหนดไว้แล้ว” ว่านโซ่วเหล่าจวินกล่าวขึ้นช้าๆ พลันที่เขาพูดออกมาเช่นนี้ เหมือนว่าทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้แล้วอย่างนั้น
“เหล่าจวินอายุยืนยาวหมื่นๆ ปี ปกครองเป็นหมื่นๆ ปี” ในเวลานี้เอง ยอดฝีมือและระดับบรรพบุรุษจำนวนไม่น้อยของแคว้นว่านโซ่วอดที่จะส่งเสียงร้องออกมา เนื่องจากมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขามองว่าการที่แคว้นว่านโซ่วจะได้ครอบครองอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเป็นที่แน่นอนแล้ว
“เหล่าจวินอายุยืนยาวหมื่นๆ ปี ปกครองเป็นหมื่นๆ ปี” เวลานี้แม้แต่ศิษย์ของบรรดาสำนักเจ้าลัทธิจำนวนมากที่อยู่บนแทนโอสถ ซึ่งหันไปพึ่งพิงแคว้นว่านโซ่วต่างทยอยกันก้มกราบลงกับพื้นและร้องเสียงดังขึ้นมา
กล่าวสำหรับสถานการณ์ลักษณะเช่นนี้ หลี่ชิเย่เพียงแค่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “เช่นนี้แล้วยิ่งทำให้ข้ารู้สึกสนใจ ใครขวางทางข้าฆ่าไม่มีละเว้น ศัตรูยิ่งแกร่งมากเท่าไร เวลาฆ่าก็จะมีความหมายมากยิ่งขึ้น จะอย่างไรเสียหากอ่อนเกินไปไม่มีโอกาสกระทั่งอุ่นเครื่องด้วยซ้ำ เสียความรู้สึกเหลือเกิน”
“ไม่กลัวเป็นเรื่องดี แต่โง่เขลาเกินก็คือความอวดดี” ว่านโซ่วเหล่าจวินจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “สถานการณ์ของใต้หล้าใช่ว่าเจ้าสามารถมองได้ขาด ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งถึงขั้นสามารถเอาชนะข้าได้ ต่อให้เจ้าสามารถเป็นตัวแทนของหุบเขาอมตะ เอาชนะแคว้นว่านโซ่วได้ แต่ทว่าไม่ได้หมายความว่าเจ้าสามารถคุ้มครองหุบเขาอมตะเอาไว้ได้ในอนาคต โลกนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่จับจ้องแผ่นดินผืนนี้เอาไว้”
“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าออกมา เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้าต้องการจะบอกว่าข้างบนมีคนต้องการได้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะมากน่ะสิ เรื่องดีนะเนี่ย ให้พวกเขาเข้ามาเลย ข้ามีช่วงเวลาที่นานมากแล้วไม่ได้สังหารครั้งใหญ่แล้ว ข้าอยากจะเริ่มต้นเข่นฆ่าตั้งแต่แดนลัทธิพรรษ ขึ้นไปยังแดนลัทธิราชัน ขอเพียงขวางทางของข้า ต่อให้เป็นแดนลัทธิเซียนก็จะสังหารสิ้นไม่ให้เหลือแม้แต่น้อย”
พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา ทำเอาเงียบสงัดไปทั่วฟ้าดิน ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าต่อคำกับคำพูดที่ฝืนลิขิตสวรรค์เช่นนี้ คำๆ นี้ที่พูดออกมาใช่เพียงล่วงเกินต่อแดนลัทธิพรรษทั้งหมดเท่านั้น แต่เป็นการล่วงเกินทั้งแดนลัทธิราชันและแดนลัทธิเซียนอีกด้วย มันคือการเปิดศึกโดยลำพังกับแดนสามเซียนชัดๆ
ขณะที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกว่าหลี่ชิเย่นั้นบ้าไปแล้วชัดๆ กล่าวสำหรับแดนลัทธิพรรษแล้ว ไม่รู้ว่าผู้คนจำนวนเท่าไรที่หวาดกลัวต่อแดนลัทธิราชันอย่างยิ่ง ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงแดนลัทธิเซียนอีกเลย
พลันที่พูดออกมาก็บอกว่าจะสังหารสิ้นแดนลัทธิเซียนไม่ให้เหลือหลอ มันคือความบ้าคลั่งจนไม่มีอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“โง่เขลาอวดดี!” แม้แต่ว่านโซ่วเหล่าจวินในเวลานี้ก็อดที่จะเอ่ยปากตำหนิว่า “เจ้าคิดว่าควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะก็สามารถปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้าได้จริงๆ รึ? ไม่ต้องพูดถึงแดนลัทธิราชัน แม้แต่แดนลัทธิพรรษก็มีมังกรเร้นกายพยัคฆ์หมอบ ยิ่งในแดนลัทธิราชันแล้วไม่ปล่อยให้เจ้าได้กำเริบเสิบสานได้ ที่ตรงนั้นผู้ยิ่งใหญ่มีนับไม่ถ้วน แค่ลงมือตามอารมณ์ก็สามารถบดขยี้เจ้าได้อย่างง่ายดาย”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของว่านโซ่วเหล่าจวินทำให้ผู้ดำรงอยู่ในฐานะผู้พเนจรหยางหมิงมีท่าทีที่หนักแน่นจริงจัง การที่แคว้นว่านโซ่วต้องการแย่งชิงอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ คงไม่ใช่เพียงเพราะว่าตัวของแคว้นว่านโซ่วเองที่ต้องการได้มาครอบครองมาก ขณะเดียวกันพวกเขามีกำลังจากภายนอกที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าให้การสนับสนุน อีกทั้งกำลังส่วนนี้มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับแดนลัทธิราชันที่อยู่เบื้องบน
จะไม่ให้ผู้พเนจรหยางหมิงต้องหวั่นเกรงก็เรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร จะไม่ให้ผู้พเนจรหยางหมิงต้องตื่นตัวได้อย่างไร จะอย่างไรเสียพรรคหยางหมิงของพวกเขาคือพรรคอันดับหนึ่งของแดนลัทธิพรรษ หากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะต้องถูกยึดครอง เป็นไปได้ที่พรรคหยางหมิงของพวกเขาก็อาจถูกยึดครองได้
“ไม่ เจ้าพูดผิดแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “กล้าเป็นศัตรูกับข้า กล้าขวางทางของข้า อย่าว่าแต่ผู้ยิ่งใหญ่เลย ต่อให้เป็นปฐมบรรพบุรุษข้าก็จะสังหารเสียตามระเบียบ! ดังนั้น เวลานี้ข้าให้ทางเลือกแก่แคว้นว่านโซ่วของพวกเจ้า ไม่ก็ทุกระดับทั่วแคว้นพวกเจ้าวางอาวุธยอมจำนนเดี่ยวนี้ ไม่ก็ให้ข้าทำลายแคว้นว่านโซ่วของพวกเจ้าเสีย สำหรับผู้ยิ่งใหญ่ของแดนลัทธิราชันอะไรที่เจ้าเอ่ยถึงนั่น พวกเขากล้าหาเรื่องข้าล่ะก็ รอให้ข้ามีเวลาค่อยขึ้นไปที่แดนลัทธิราชัน สังหารสิ้นพวกเขาทั้งเผ่าพันธุ์ไม่ให้เหลือแม้คนเดียว!”
พลันที่พูดคำพูดนี้ออกมา เรียกได้ว่าพาลจนไม่รู้จะพาลอย่างไรอีกแล้ว ในโลกนี้ มีใครบ้างในแดนลัทธิพรรษที่หาญกล้าบอกว่าจะบุกสังหารถึงแดนลัทธิราชันและสังหารผู้ยิ่งใหญ่เสีย นี่มันบ้าบิ่นจนไม่รู้จะบ้าบิ่นอย่างไรแล้ว กระทั่งกล้ากล่าววาจาสามหาวว่าต้องการสังหารปฐมบรรพบุรุษ มันเสียสติแล้วชัดๆ
“เด็กน้อยโง่เขลา ถึงกับกล้ากล่าววาจาไม่ละอายปาก…”ระดับบรรพบุรุษผู้หนึ่งที่อยู่บนแท่นโอสถซึ่งหันไปพึ่งพิงแคว้นว่านโซ่วแล้วถึงกับพูดเสียงดังขึ้นมา เมื่อเห็นว่าหลี่ชิเย่อวดดีถึงเพียงนี้
ปุ…เสียงหนึ่งดังขึ้น ระดับบรรพบุรุษผู้นี้พูดยังไม่ทันขาดคำ พลันถูกหลี่ชิเย่บดขยี้จนกลายเป็นหมอกเลือดไป ไม่มีโอกาสกระทั่งลงมือต่อต้าน
บรรดาผู้คนที่อยู่บนแท่นโอสถถึงกับร่างสั่นเทาเมื่อเห็นระดับบรรพบุรุษผู้นี้กลายเป็นหมอกเลือดไปโดยพลัน ทุกคนในเวลานี้จึงนึกขึ้นได้ว่าหลี่ชิเย่นั้นควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเอาไว้ และมีกายอมตะอยู่ในครอบครอง ใครกล้าทำกำเริบเสิบสานต่อหน้าเขา เป็นการรนหาที่ตายเองอย่างแท้จริง
ดังนั้น ในเวลานี้บรรดายอดฝีมือและบรรพบุรุษที่หันไปพึ่งพิงแคว้นว่านโซ่วต่างรู้สึกขนลุกซู่ในใจ ต่างพาตัวเองออกห่างจากหลี่ชิเย่ให้ไกล และไม่ไปหาเรื่องคนที่คลั่งไคล้สงครามคนนี้ รอให้ว่านโซ่วเหล่าจวินจัดการกับเขาได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตายเอง ข้าก็จะสงเคราะห์เจ้า” ว่านโซ่วเหล่าจวินที่มีท่าทีเย็นชาพูดน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “วันนี้ไม่เพียงเจ้าต้องตาย แม้แต่หุบเขาอมตะก็ต้องถูกฝังพร้อมๆ กับเจ้า นี่แหละคือผลของการเลือกที่ผิดพลาด!”
พลันที่ว่านโซ่วเหล่าจวินได้พูดคำพูดนี้ออกมา ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่เย็นวาบไปทั่วร่าง คำพูดของว่านโซ่วเหล่าจวินเปี่ยมด้วยการฆ่าฟัน ทันใดนั้นทุกคนต่างมองเห็นสภาพที่น่าอนาถ เลือดไหลนองเป็นธารของหุบเขาอมตะ
……………