ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2284 กลายเป็นเถ้าธุลี
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2284 กลายเป็นเถ้าธุลี
จังหวะที่หลี่ชิเย่โจมตีใส่ราชสำนักของแคว้นว่านโซ่วนั้น นักพรตฉางเซินและบรรดาบรรพบุรุษของหุบเขาอมตะรีบเร่งถอนตัวออกทันที ไปให้ไกลจากบริเวณราชสำนัก แต่ว่า เสียงตูมดังสนั่นทำเอาผืนแผ่นดินพังทลาย ก้อนหินขนาดยักษ์รวมทั้งก้อนดินตกลงมาจากท้องฟ้าดั่งฝนฟ้าคะนอง ทำให้พวกของนักพรตฉางเซินต้องทยอยกันคำรามเสียงยาวเหินฟ้าฝ่าย้อนขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำลายบรรดาหินและดินที่พุ่งลงมา
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม พวกเขาล้วนแล้วแต่ดูกระเซอะกระเซิงยิ่งนัก ท้ายสุดแล้ว ไม่ง่ายนักกว่าพวกเขาจะฝ่าออกมาจากหินและดินเหล่านั้นมาได้ด้วยท่าทางที่ดูแย่มาก ซึ่งลักษณะเช่นนี้นับว่าดีแล้ว หากไม่เป็นเพราะพวกเขาสามารถถอนตัวออกมาได้เร็ว หากก้าวเท้าเข้าไปท่ามกลางราชสำนักล่ะก็ เกรงว่าพวกเขาคงถูกโจมตีจนกลายเป็นเถ้าธุลีเฉกเช่นราชสำนักไปแล้วอย่างนั้น
ด้วยท่าทางที่กระเซอะกระเซิงเช่นนี้ ทำให้พวกของนักพรตฉางเซินทั้งโมโหทั้งเคือง แต่ก็จนด้วยเกล้ากับหลี่ชิเย่ที่เป็นคนบ้าเช่นนี้
ไม่เพียงแต่นักพรตฉางเซินเท่านั้น แม้แต่ผู้ชมที่อยู่ข้างๆ เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้วก็ต้องงุนงง หลี่ชิเย่นี่นับว่าบ้าบิ่นเหลือเกิน พลันที่มีการโจมตีก็จะไม่แยกแยะว่าเป็นมิตรหรือศัตรู พวกของนักพรตฉางเซินเกือบจะถูกโจมตีจนกลายเป็นเถ้าธุลีไป ช่างเป็นคนบ้าคนหนึ่งโดยแท้
เมื่อราชสำนักถูกโจมตีจนกลายเป็นเถ้าธุลีไปโดยพลัน พลังยิ่งใหญ่ของแคว้นว่านโซ่วก็แตกสลายทันที บรรดาศิษย์ที่เดิมทีหลอมรวมกลายเป็นร่างเดียวกับพลังยิ่งใหญ่นั้นเหมือนหลุดพ้นจากพันธนาการในชั่วพริบตาเดียว ทั้งหมดทรุดลงนอนอยู่กับพื้นเหมือนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
มีศิษย์ที่มองเห็นราชสำนักถูกโจมตีจนกลายเป็นหลุมขนาดยักษ์จากระยะห่างไกลแล้วไม่อาจเรียกสติกลับมาได้ ทันใดนั้นความรู้สึกไม่รู้ว่าเป็นความสิ้นหวังหรือไม่มีใครสามารถช่วยอะไรได้ เมื่อราชสำนักของแคว้นว่านโซ่วกลายเป็นเถ้าธุลีไป ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าแคว้นว่านโซ่วจบสิ้นแล้ว เป็นการจบสิ้นอย่างสิ้นเชิง นับจากนี้ต่อไป ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจะไม่มีแคว้นว่านโซ่วอีก
ในเวลานี้ บรรดาศิษย์ที่รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดต่างพูดไม่ออกว่ามันคือความรู้สึกเช่นใด ถ้าหากราชสำนักยังไม่จบ บางทีชีวิตของพวกเขาก็คงมีชะตาเหมือนดั่งศิษย์ที่ถูกบูชายันต์ไปแล้วอย่างนั้น ศิษย์จำนวนนับสิบล้านกลายเป็นหมอกเลือดไปในฉับพลัน ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเลือก
แต่ว่า เวลานี้ราชสำนักจบสิ้นไปแล้ว ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าราชสำนัก แคว้นของพวกเขาก็กลายเป็นเถ้าธุลีตามไปด้วย ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจะไม่มีบ้านของพวกเขาอีกแล้ว
ในเวลานี้ หลังจากที่บรรดาศิษย์แคว้นว่านโซ่วที่โชคดีรอดชีวิตมาได้และนอนหมดแรงอยู่กับพื้น ดวงตาทั้งสองมองขึ้นบนท้องฟ้าด้วยความว่างเปล่า ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้
นาทีนี้ บริเวณระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะมีแต่ความเงียบสงัด ไม่ว่าจะเป็นเรือนโอสถหรือสถานที่อื่นๆ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่พูดอะไรไม่ออก ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนมองดูหลุมขนาดยักษ์ที่แคว้นว่านโซ่วไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เป็นเวลานาน ราชสำนักของแคว้นๆ หนึ่งถูกโจมตีจนกลายเป็นเถ้าธุลีไปด้วยประการเช่นนี้ เหลือไว้เพียงหลุมขนาดยักษ์เท่านั้น ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวอะไรอย่างนั้น
แคว้นว่านโซ่วคือแคว้นที่แข็งแกร่งมากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ มีกำลังทหารเป็นอันดับหนึ่ง แต่ทว่าภายในระยะเวลาอันสั้น บทจะถูกทำลายก็ถูกทำลายไปเลย ไม่มีโอกาสที่จะต่อต้านได้มากนัก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว จึงมีผู้ที่ได้สติคืนกลับมา ทุกคนถึงกับร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง ในอดีตผู้คนจำนวนเท่าไรที่เข้าใจว่าหุบเขาอมตะได้ตกต่ำลงแล้ว ทุกคนต่างเข้าใจว่าหุบเขาอมตะ ไม่มีศักยภาพที่จะปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะอีกแล้ว
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความแข็งแกร่งของหุบเขาอมตะเกินกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้มากทีเดียว กระทั่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถจินตนาการได้ ความลึกล้ำของธาตุแท้ภายในของหุบเขาอมตะนั้น เป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
ในขณะนี้ มีผู้ที่ได้สติคืนกลับมามองไปที่หุบเขาอมตะจากระยะห่างไกล ประตูบานนั้นของหุบเขาอมตะได้ปิดลงแล้ว ร่างเงาสูงใหญ่ของผู้ที่ถือคันธนูก็หายไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าผู้ที่ลงมือเป็นใคร ไม่รู้ว่าเป็นบรรพบุรุษท่านใดของหุบเขาอมตะ ยิ่งไม่รู้เลยว่าเขามีความแข็งแกร่งปานใดกันแน่
หุบเขาอมตะในเวลานี้ช่างเงียบสงบเหลือเกิน ช่างสงบเยือกเย็นเหมือนว่าไม่ชิงดีชิงเด่นกับใครอย่างนั้น
“ไม่…” หลังจากผ่านไปนานมาก กษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่วถึงกับร้องเสียงแหลมดังขึ้นได้สติคืนกลับมา เสมือนดั่งสัตว์ที่ร้องคำรามด้วยความสิ้นหวังอย่างนั้น
แม้ว่าตัวเขาที่เป็นกษัตริย์ยังไม่ตาย แต่ แคว้นว่านโซ่วได้จางหายดั่งเมฆหมอกไปแล้ว ความเป็นกษัตริย์ของเขาถึงมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไร้ความหมาย ยิ่งไปกว่านั้นการชิงบัลลังก์แย่งอำนาจในครั้งนี้เขาคือผู้ริเริ่มขึ้น เขาคือตัวการที่ทำให้แคว้นว่านโซ่วต้องถูกทำลายไป เขานั่นแหละคือคนบาปทำให้แคว้นว่านโซ่วถูกทำลายที่แท้จริง และละอายต่อบรรพชนของแคว้นว่านโซ่ว
อ๊ากกก…สุดท้าย กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วร้องเสียงแหลมออกมาคำหนึ่ง กระโดดจากแท่นโอสถลงไปโดยตรง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ด้านล่างของแท่นโอสถปรากฏเสียงดังปังขึ้น กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วได้กระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย การกระโดดลงไปจากที่สูงขนาดนี้ได้ทำให้ร่างของเขาแหลกเหลวไปทันที
ในเวลานี้ ทั่วทั้งแท่นโอสถเงียบสงัดยิ่งนัก ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาสักคำ สำหรับบรรดายอดฝีมือของสำนักต่างที่หันไปพึ่งพาแคว้นว่านโซ่วเหล่านั้น เวลานี้ถึงกับอ่อนแรงอยู่กับพื้น ไม่กล้ากระทั่งจะหลบหนีไป
เวลานี้ต่อให้พวกเขาหลบหนีไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ต่อให้พวกเขาหนีไปได้ก็ไม่มีประโยชน์ แคว้นและสำนักของพวกเขาก็ไม่พ้นต้องถูกลงโทษจากหุบเขาอมตะอยู่แล้ว พวกเขาเลยเลือกที่จะไม่หนีรอรับการลงโทษจากหุบเขาอมตะ มิฉะนั้นล่ะก็เท่ากับเพิ่มโทษอีกเท่าตัว
แคว้นว่านโซ่วล่มสลายไปแล้ว ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนต่ออำนาจของหุบเขาอมตะ เวลานี้ไม่มีแคว้นเจ้าลัทธิใดๆ กล้ายั่วยุต่ออำนาจของหุบเขาอมตะอีก แคว้นว่านโซ่วก็คือตัวอย่าง ใครกล้าท้าทายอำนาจของหุบเขาอมตะย่อมบ่งบอกว่าจะต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไป
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ได้กลับไปนั่งอยู่ที่บัลลังก์กษัตริย์แล้ว ยังคงมีท่าทีที่เอ้อระเหยด้วยท่าทีเบื่อหน่ายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ที่ตรงนั้น เหมือนว่าไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก่อน สำหรับต้นหวู๋ถงนกหงส์ต้นนั้นที่อยู่บนเขาเก็บสมุนไพรได้หายไปแล้ว
ทุกคนมองดูหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้า มีความรู้สึกที่สุดจะเปรียบเปรย เมื่อครู่นี้พลันที่เขาลงมือก็จัดการกับราชสำนักแคว้นว่านโซ่วจนกลายเป็นเถ้าธุลีไป พลันลงมือก็เข่นฆ่านับล้าน เวลานี้กลับมีท่าทีเบื่อหน่ายคล้ายเป็นแมวป่วยตัวหนึ่ง ดูไปแล้วช่างธรรมดา ช่างอิสระเสรีอะไรอย่างนั้น
ลักษณะเช่นนี้ยากที่จะจับมาเชื่อมโยงกับผู้ชายคนเมื่อครู่ที่แข็งแกร่งไร้ซึ่งความปราณี เข่นฆ่าคนนับล้านในคราวเดียว ในเวลานี้บนตัวของเขาไม่ได้มีกลิ่นอายฆ่าฟันลักษณะเช่นนั้น กระทั่งทำให้รู้สึกว่าเขาไม่ได้แตกต่างอะไรกับมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง
เมื่อได้สติกลับมาแล้ว ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง ลักษณะเช่นนี้แหละที่น่ากลัวที่สุด เนื่องจากกล่าวสำหรับเขา การทำลายล้างแคว้นๆ หนึ่งเป็นเรื่องที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรแล้ว เหมือนเป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปรกติอยู่แล้ว
หลี่ชิเย่นอนอยู่ที่บัลลังก์กษัตริย์ด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย เสพสุขอยู่กับการปรนนิบัติจากฟ่านเมี่ยวเจินสามพี่น้องเสมือนดั่งกษัตริย์คนหนึ่ง เวลานี้เขาจึงเหลือบตามองดูผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย และกล่าวว่า “อืมม ทุกคนลองบอกมาซิ เวลานี้ใครควรจะเป็นผู้นำเล่า? ข้าเป็นคนที่ชอบฟังความเห็นของทุกคน ทุกคนที่มีความเห็นต่างล้วนแล้วแต่สามารถพูดออกมาได้ ข้ายินดีรับฟัง”
ในเวลานี้ เหตุการณ์เป็นไปด้วยความสงบเงียบ บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์อย่าว่าแต่พวกยอดฝีมือที่หันไปพึ่งพาแคว้นว่านโซ่ว แม้แต่ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ยืนหยัดยืนอยู่ข้างฝ่ายของหุบเขาอมตะก็ต้องมองหน้ากันและกัน พวกเขาต่างถูกวิธีการเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำเอารู้สึกขนลุกอยู่ไม่น้อย
หากจะถามว่าใครคือทรราช เช่นนั้นแล้วผู้ที่อยู่ตรงหน้าย่อมเป็นทรราชอย่างแน่นอน ทั้งยังเป็นทรราชที่ทำลายล้างแคว้นๆ หนึ่งตามอารมณ์ พลันที่ลงมือก็จะไม่มีสิ่งใดที่จะพูดคุยกันได้อีกเลย
“ศิษย์พี่ใหญ่…” มียอดฝีมือก้มกราบกับพื้นและส่งเสียงดังขึ้นมา
“ศิษย์พี่ใหญ่…” ในขณะนี้บรรดาศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทยอยกันคุกเขาลงกับพื้น และก้มกราบร้องเสียงดังขึ้นมา แม้แต่บรรดายอดฝีมือที่หันไปพึ่งพาแคว้นว่านโซ่วก็ทยอยกันคุกเข่าร้องเสียงดังขึ้นมา
ในเวลานี้ ต่อให้พวกเขาหาญกล้าต่อต้านหุบเขาอมตะ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้แล้ว พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะพูดคำว่าไม่ออกมา พวกเขาล้วนแล้วแต่ถูกทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว
“อืมม ดูแล้วทุกคนต่างมีความคิดที่เป็นเอกฉันท์แล้ว” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มที่จางๆ ออกมาและกล่าวว่า “แต่ทว่า เรื่องการเป็นผู้นำนี้ข้าไม่ได้สนใจอะไร มีผู้ที่จะเป็นอยู่แล้ว เออ นั่นมากันแล้วมิใช่รึ”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ เห็นคนกลุ่มหนึ่งเหินฟ้าลงมาบนแท่นโอสถ ผู้ที่นำหน้ามาก็คือนักพรตฉางเซิน และบรรดาเหล่าบรรพบุรุษของหุบเขาอมตะ
“เจ้าหุบเขา…” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะต่างทยอยกันแสดงคารวะ เมื่อเห็นนักพรตฉางเซิน
จะอย่างไรเสียนักพรตฉางเซินก็คือผู้กุมอำนาจของหุบเขาอมตะ มีตำแหน่งและฐานะที่สูงส่งในหุบเขาอมตะ แม้แต่ผู้แทนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ ที่นั่งอยู่บริเวณซ้ายขวาสองข้างก็ทยอยกันลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ
ในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับเย็นวาบเมื่อเห็นนักพรตฉางเซินแล้ว ก่อนหน้านั้นมีข่าวลือมาตลอดว่านักพรตฉางเซินถูกลอบทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เวลานี้ดูไปแล้วนักพรตฉางเซินไม่ได้เหมือนผู้ที่มีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายสักนิด
เวลานี้ทุกคนจึงได้เข้าใจแล้วว่า นี่เป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น ต่อให้นักพรตฉางเซินถูกลอบทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสจริง แต่อาการบาดเจ็บของนางไม่ได้หนักหนาเหมือนเช่นที่ลือกันไป เรื่องที่แพร่ออกมาว่าชีวิตนักพรตฉางเซินแขวนอยู่บนเส้นด้าย โดยมีระดับบรรพบุรุษของหุบเขาอมตะทั้งหมดทุ่มเทให้การช่วยเหลือ นั่นเป็นเพียงการหลอกบุคคลภายนอกเท่านั้นเอง
ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้แคว้นว่านโซ่วเข้าใจว่ามันคือช่วงเวลาที่เหมาะสมมากที่สุด ฉวยโอกาสที่หุบเขาอมตะอยู่ในช่วงที่อ่อนแอมากที่สุดเข้าโจมตีและยึดหุบเขาอมตะเอาไว้ แย่งชิงอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ
ความจริงแล้ว ผู้ที่ถูกวางแผนให้ร้ายไม่ใช่หุบเขาอมตะ แต่เป็นแคว้นว่านโซ่ว เป็นแคว้นว่านโซ่วเองที่กระโดดลงไปในหลุมขนาดใหญ่ อีกทั้งยังเป็นการกระโดดลงไปในหลุมขนาดใหญ่ที่ตัวเองเป็นคนขุดขึ้นมา
ถ้าหากว่าแคว้นว่านโซ่วไม่แสดงตนด้วยการเปิดศึกแย่งชิงบัลลังก์และยึดอำนาจก่อน ต่อให้หุบเขาอมตะรู้ทั้งรู้ว่าแคว้นว่านโซ่วเป็นหนามยอกอก แต่ก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้
เป็นอย่างไรล่ะตอนนี้ แคว้นว่านโซ่วเองก่อการยึดอำนาจชิงบัลลังก์ขึ้น ซึ่งเรื่องเช่นนี้กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่งถือว่าเป็นเรื่องเนรคุณ ต่อให้หุบเขาอมตะจัดการทำลายล้างแคว้นว่านโซ่วเสียก็จะไม่มีใครพูดอะไรได้
เวลานี้หุบเขาอมตะทำลายแคว้นว่านโซ่วแล้วจริงๆ กำจัดหนามยอกอกสำคัญไป ทุกอย่างช่างสมเหตุสมผลอะไรอย่างนั้น ทุกอย่างล้วนแล้วแต่สำเร็จลุล่วงด้วยดี
ผู้ที่วางแผนจริงๆ ไม่ใช่แคว้นว่านโซ่วแต่เป็นหุบเขาอมตะ ผู้ที่นึกออกถึงข้อนี้ได้ต่างรู้สึกเสียวสันหลังวาบ!
“เอาล่ะ คนสวย แพะรับบาปข้าก็เป็นให้แล้ว งานหนักก็ทำให้แล้ว พวกเจ้าคือผู้ที่นั่งเสวยสุขจากผลพวงความสำเร็จของผู้อื่น” หลี่ชิเย่มองดูนักพรตฉางเซินที่เดินเข้ามา กล่าวยิ้มแต้ว่า ”ละครที่พวกเจ้าแสดงก็ใกล้จะจบแล้ว เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีเรื่องของข้าแล้วเวลานี้”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา ทุกคนต่างอ้าปากตาค้าง จ้องมองหลี่ชิเย่ กับนักพรตฉางเซินอย่างไม่อยากจะเชื่อ สมควรทราบว่า หลี่ชิเย่คือศิษย์ลำดับที่หนึ่ง ขณะที่นักพรตฉางเซินคือเจ้าหุบเขาของหุบเขาอมตะ ว่ากันด้วยเรื่องฐานะแล้ว หลี่ชิเย่คือศิษย์ของนักพรตฉางเซิน
แต่ว่าเวลานี้หลี่ชิเย่กลับเรียกนักพรตฉางเซินว่า ‘คนสวย’ ท่าทางของเขาไม่ได้ให้ความเคารพต่อผู้เป็นอาจารย์แม้แต่น้อย กระทั่งเรียกได้ว่ามีความเหลาะแหละอยู่สามส่วน ผู้คนจำนวนมากมองว่ามันคือเรื่องที่เหลือเชื่อ
จะอย่างไรเสียในสายตาของผู้คนจำนวนมากมองว่าผู้เป็นอาจารย์ย่อมเป็นใหญ่ หากผู้เป็นศิษย์ไม่ให้ความเคารพถึงขนาดนี้ โทษสถานเบาคือลงโทษอย่างหนัก ส่วนโทษสถานหนักคือไล่ออกจากสำนัก
………………………………………………………