ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2303 ตำหนักหมีเซียนหลังสุดท้าย
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2303 ตำหนักหมีเซียนหลังสุดท้าย
ขณะที่เงินทองตกพื้นกำลังคึกคักอย่างยิ่งนั้น ขณะเดียวกันลึกเข้าไปในตำหนักหมีเซียนกลับมีแต่ความเงียบสงบ กระทั่งไม่มีใครเหยียบย่างไปถึง ต่อให้มีคนที่เคยมา เกรงว่าก็คงไม่มีผู้ใดในหล้าทราบเรื่องนี้
แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น ภายในตำหนักหมีเซียนหลังสุดท้าย ซึ่งก็คือตำหนักหมีเซียนหลังที่หนึ่งร้อยยี่สิบแปดพลันปรากฎประกายแวบหนึ่ง หลี่ชิเย่และหลินซิม่อได้ปรากฏตัวอยู่ที่ตรงนี้
“ตำหนักหมีเซียนหลังที่หนึ่งร้อยยี่สิบแปด!” การปรากฎตัวที่ตำหนักหมีเซียนลักษณะเช่นนี้ทำให้ในใจของหลินซิม่อถึงกับสะเทือนหวั่นไหวหนัก เดิมทีจากการผ่านตำหนักหมีเซียนแต่ละหลังเรื่อยมานั้นนางรู้สึกชินชาไปบ้างแล้ว แต่เมื่อปรากฏตัวขึ้นที่ตำหนักหมีเซียนหลังที่หนึ่งร้อยยี่สิบแปดแล้ว ยังคงทำให้ภายในใจของนางต้องสะดุ้งทีหนึ่ง
นาทีนี้เวลานี้ภายในใจของนางตื่นเต้นจนไม่สามารถบรรยายได้ด้วยตัวอักษร มันอาจมีความเป็นไปได้ว่าเป็นตำหนักหมีเซียนหลังที่ไม่เคยมีใครได้เคยมาถึงตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ต่อให้มีคนที่มาถึงได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในระดับปฐมบรรพบุรุษ
มาวันนี้ นางกลับมาถึงตำหนักหมีเซียนหลังที่หนึ่งร้อยยี่สิบแปด สิ่งนี้กล่าวสำหรับนางแล้วตื่นเต้นสุดเปรียบเปรย จะอย่างไรเสียเรื่องอย่างนี้คนอื่นไม่สามารถพานพบได้ชั่วชีวิตอยู่แล้ว ต่อให้นางติดตามหลี่ชิเย่มาแล้วไม่ได้ของล้ำค่าแม้เพียงชิ้นเดียวก็ตาม กล่าวสำหรับนางมันก็เพียงพอแล้ว สามารถมาถึงตำหนักหมีเซียนหลังที่หนึ่งร้อยยี่สิบแปดได้มันก็คือโชคดีมากที่สุดในชีวิตของนางแล้ว และเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของนางแล้ว
ถ้าหากอาศัยนางลำพังคนเดียว เฉกเช่นบุคคลเล็กๆ ที่ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง ชั่วชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้มาถึงสถานที่แห่งนี้ได้
ตำหนักหมีเซียนหลังที่หนึ่งร้อยยี่สิบแปด ขณะที่ก้าวเข้ามาอยู่ภายในตำหนักหมีเซียนหลังนี้นั้น กลิ่นอายที่ดึกดำบรรพ์ได้โชยมาปะทะใบหน้า พริบตาเดียวนั่นเองหลินซิม่อรู้สึกว่าตนเองไปอยู่ในยุคสมัยที่เก่าแก่โบราณจนสุดจะจินตนาการได้ กลิ่นอายที่ดึกดำบรรพ์เช่นนี้พลันท่วมนางจนจมมิด
ในเวลานี้เอง หลินซิม่อจึงได้สังเกตเห็นว่าตำหนักหมีเซียนหลังนี้แตกต่างกับตำหนักหมีเซียนหลังอื่นๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง จะเห็นว่าตำหนักหมีเซียนหลังนี้ไม่มีส่วนของหลังคาที่เป็นโดม โดยอาศัยท้องฟ้าเป็นหลังคาโดม
ขณะแหงนหน้าขึ้นมอง สิ่งที่สายตาสามารถมองเห็นคือท้องฟ้าที่คราคร่ำไปด้วยดวงดาวที่อยู่ไกลโพ้นยิ่งนัก เหมือนว่าเป็นการอยู่บนท้องฟ้าแห่งดวงดาวและอยู่สูงจนสุดจะจินตนาการ ภายใต้ท้องฟ้าที่คราคร่ำไปด้วยดวงดาวเช่นนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าตนเองนั้นเล็กจิ๋วยิ่งนัก เสมือนหนึ่งเป็นฝุ่นผงเม็ดหนึ่งของจักรวาลเท่านั้น
แต่ทว่า เมื่อหันมองไปรอบๆ นั้น จะเห็นว่าตำหนักหมีเซียนหลังนี้ไม่มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ทั่วทั้งตำหนักหมีเซียนมีเพียงรูปปั้นแกะสลักที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารอยู่สามสิบหกตัวเท่านั้น โดยที่รูปปั้นแกะสลักทั้งสามสิบหกตัวนี้มีขนาดใหญ่โตจนไม่สามารถจินตนาการได้
รูปปั้นแกะสลักแต่ละตัวสูงใหญ่ยิ่งนัก เสมือนหนึ่งเป็นภูเขาขนาดยักษ์อย่างนั้น ทุกๆ รูปปั้นแกะสลักที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้ เสมือนหนึ่งสามารถค้ำโลกๆ หนึ่งได้อย่างนั้น กระทั่งโลกๆ หนึ่งภายใต้พวกมันก็ดูจะมีขนาดที่เล็กจิ๋วมาก
ที่ทำให้ผู้คนต้องสะเทือนหวั่นไหวยิ่งกว่าหาใช่ขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารของรูปปั้นแกะสลักทั้งสามสิบหกตัวนี้ แต่เป็นกลิ่นอายจากรูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัวเหล่านี้ แม้จะกล่าวว่ารูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัวนี้จะแกะสลักมาจากก้อนหิน ไม่ได้ผ่านการปลุกเสกให้มีพลังที่สะเทือนฟ้าใดๆ แต่ก็ยังคงเปล่งกลิ่นอายที่น่ากลัวปราศจากผู้ต่อกรออกมา
กลิ่นอายที่น่ากลัวปราศจากผู้เทียบเทียมเสมือนดั่งทะลุผ่านอดีตถึงปัจจุบัน ดึกดำบรรพ์ยิ่งกว่าฟ้าดินเสียอีก เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดในหล้าดึกดำบรรพ์ยิ่งไปกว่าพวกมันอีกแล้ว เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดยาวนานยิ่งกว่าพวกมันอีกแล้ว เหมือนว่าก่อนที่จะมีต้นกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง พวกมันก็ดำรงคงอยู่มาแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่สามารถนำมาพูดเปรียบเทียบกับพวกมันได้อีกแล้ว
หลินซิม่อพลันหมดแรงทรุดลงนั่งอยู่กับพื้น เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นอายของรูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัว ท่ามกลางกลิ่นอายลักษณะเช่นนี้ นางรู้สึกว่าตนเองแม้แต่มดปลวกยังไม่มีสิทธิ์ได้เป็น กระทั่งแหงนหน้ามองก็ไม่มีสิทธิ์ กลิ่นอายที่น่ากลัวปราศจากผู้เทียบเทียมเช่นนี้ทำให้นางหายใจไม่ออก
สุดท้าย เมื่อกลิ่นอายของหลี่ชิเย่ได้ครอบคลุมนางเอาไว้ จึงทำให้นางสามารถหยุดพักได้บ้าง ภายใต้การปกคลุมจากกลิ่นอายของหลี่ชิเย่ นางจึงได้รู้สึกว่าการได้อยู่ข้างกายของเขาคือสถานที่ที่ปลอดภัยมากที่สุดในโลก
ไม่ง่ายนัก กว่าหลินซิม่อจะมีพลังเงยหน้าขึ้นมองดูรูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัวนั่น อย่างไรก็ตาม รูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัวนี้ส่วนใหญ่นางไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ชนิดใด
“นี่ นี่ นี่มันคืออะไร?” หลินซิม่อถูกทำให้หวั่นไหวโดยสิ้นเชิงขณะมองดูรูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัวนี้ บางทีราชันแท้จริงก็ไม่เกินไปกว่านี้
“ผู้ดำรงอยู่ในฐานะดึกดำบรรพ์ยิ่ง” หลี่ชิเย่มองดูรูปปั้นแกะสลักทั้งสามสิบหกตัวแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “หากเป็นไปได้ บางทีอาจสามารถไล่ย้อนไปถึงอมตะ!”
“อมตะ…” หลินซิม่อถึงกับพูดพึมพำออกมา แต่เรื่องแบบนี้นางไม่เคยนึกถึงมาก่อน เนื่องจากห่างไกลจากนางมากเกินไป ไกลจนนางไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะนึกถึง
“ดึกดำบรรพ์นะเนี่ย…” หลี่ชิเย่มองดูรูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัวที่อยู่ตรงหน้า กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ใครกันแน่ที่เป็นมือมืดที่แท้จริง ใครกันแน่ที่เป็นสิ่งน่าสยองขวัญที่แท้จริง ใครกันแน่ที่เป็นต้นกำเนิดความมืดที่แท้จริง!”
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว แววตาของเขาพลันกลับกลายเป็นลึกล้ำสุดเทียบเทียม ลึกล้ำยากที่จะหยั่งถึง ในเวลานี้เอง แววตาที่ลึกล้ำยิ่งของเขาได้พิจารณารูปปั้นแกะสลักทั้งสามสิบหกตัวนี้อย่างละเอียด
ภายใต้การพิจารณาดูรูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัวนี้อย่างละเอียดนั้น เหมือนว่าเวลาได้จับตัวจนแข็งไปแล้วอย่างนั่น สำหรับหลินซิม่อแม้แต่หายใจแรงยังไม่กล้า
ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว หลี่ชิเย่ได้ละสายตากลับมา ยิ้มบางๆ และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ข้าต้องไปสักครั้งแน่ ทุกอย่างได้เวลาต้องจบสิ้นแล้ว มันไม่เพียงเพราะข้าที่ต้องการคำตอบ ยิ่งไปกว่านั้นต้องให้คำตอบกับสรรพชีวิตในหมื่นยุค!”
หลินซิม่อฟังไม่เข้าใจกับคำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่อยู่แล้ว นางไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่หมายถึงสิ่งใด ยิ่งไม่รู้ว่าคำตอบที่หลี่ชิเย่ต้องการคืออะไร
“ที่ ที่ ที่ตรงนี้มีอาวุธที่ปราศจากผู้ต่อกรเป็นนิรันดร์ใช่หรือไม่? เป็นอาวุธปราศจากผู้ต่อกรระดับปฐมบรรพบุรุษใช่หรือไม่?” หลินซิม่ออดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใหญ่
สมควรทราบว่า สามารถไปถึงตำหนักหมีเซียนหลังที่หลายสิบก็สะเทือนฟ้ายิ่งนักแล้ว สามารถได้รับสมบัติวิเศษที่เป็นหนึ่งไม่มีสองในหล้าแล้ว เวลานี้พวกเขาอยู่ในตำหนักหมีเซียนหลังที่หนึ่งร้อยยี่สิบแปด ซึ่งเป็นตำหนักหมีเซียนหลังสุดท้าย ของล้ำค่าที่จะแลกมาได้จากที่ตรงนี้เกรงว่าจะต้องเป็นระดับปฐมบรรพบุรุษกระมัง เกรงว่าจะต้องเป็นของวิเศษที่ปราศจากผู้ต่อกรในหล้ากระมัง
“อาวุธปราศจากผู้ต่อกรระดับปฐมบรรพบุรุษ?” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “หากเพียงเพื่อต้องการอาวุธระดับปฐมบรรพบุรุษ ข้าไม่เห็นจำเป็นต้องมาที่ตรงนี้ เจ้าดูถูกสถานที่แห่งนี้มากเกินไปแล้ว”
“หรือว่ามีของวิเศษที่ทรงพลังยิ่งกว่าอาวุธปฐมบรรพบุรุษอีก?” หลินซิม่ออ้าปากกว้างมาก พลันเกินเลยจากจินตนาการของนางไปแล้ว นางจินตนาการไม่ออกว่าบนโลกนี้ยังจะมีสิ่งใดแข็งแกร่งยิ่งกว่าอาวุธระดับปฐมบรรพบุรุษอีก ในความคิดของนางนั้น อย่าว่าแต่ระดับปฐมบรรพบุรุษเลย แม้แต่ราชันแท้จริงก็ปราศจากผู้ต่อกรแล้ว สำหรับระดับปฐมบรรพบุรุษนั้นเป็นสิ่งที่นางสัมผัสไม่ถึงชั่วชีวิต
“พูดถึงของวิเศษ ธรรมดาเหลือเกิน” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ มองดูรูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัวนี้ เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ณ ที่ตรงนี้ ที่ตรงนี้มีเพียงโอกาสเท่านั้น สามารถได้รับโอกาสๆ หนึ่ง!”
“ได้รับโอกาสๆ หนึ่ง?” หลินซิม่อพลันรู้สึกงงงัน นางไม่เข้าใจ นึกไม่ถึงว่าอุตส่าห์เสียพลังไปมากมายได้มาเพียงแค่โอกาสเท่านั้น ทำให้นางไม่สามารถจินตนาการได้
ในขณะที่หลินซิม่อกำลังงุนงงอยู่นั้น สุดท้ายหลี่ชิเย่เดินไปถึงด้านหน้าของรูปปั้นแกะสลักตัวหนึ่ง ยื่นมือขวาออกไปช้าๆ รูปกุญแจสีทองประทับสลักอยู่ใจกลางฝ่ามือของเขานั่นเอง
“ได้เวลาแล้วล่ะ” หลี่ชิเย่ยื่นมือออกไป ยิ้มเฉยเมย
แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น ประกายรวมตัวกัน เห็นประกายแต่ละสายปรากฎออกมาจากรูปปั้นแกะสลักตัวนี้ จากนั้นไปรวมตัวกันอยู่บนฝ่ามือของหลี่ชิเย่
สุดท้ายประกายจางหายไป รูปประทับสลักกุญแจสีทองบนฝ่ามือของหลี่ชิเย่ก็หายไป ขณะที่เวลานี้ที่อยู่ในมือของเขาเป็นเพียงป้ายประกาศิตอันหนึ่งเท่านั้นเอง
ป้ายประกาศิตอันนี้มีความเก่าแก่โบราณจนไม่สามารถจินตนาการได้ ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นมาด้วยวัตถุประเภทใด บนป้ายมีตัวอักษรคำว่า ‘คำสั่ง’ เท่านั้น แน่นอนที่สุด คำว่า ‘คำสั่ง’ คำนี้เขียนขึ้นมาด้วยตัวอักษรที่โบราณยิ่ง โดยตัวอักษรลักษณะเช่นนี้ไม่ได้มีการสืบทอดต่อกันมานานแล้ว ผู้คนเฉกเช่นหลินซิม่อไม่รู้จักอักษรเช่นนี้อยู่แล้ว
“ก็ดี” หลี่ชิเย่มองดูป้ายประกาศิตในมือแล้วพยักหน้านิดหนึ่ง
หลินซิม่อรู้สึกเซ่อไปเลย นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่ได้มาจากตำหนักหมีเซียนหลังสุดท้ายจะเป็นป้ายประกาศิตอันหนึ่งเช่นนี้ มันช่างเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจินตนาการได้
นี่มันคือตำหนักหมีเซียนหลังสุดท้ายนะเนี่ย สถานที่ที่ผู้คนจำนวนเท่าไรที่ทุ่มเทชั่วชีวิตก็มาไม่ถึง กระทั่งราชันแท้จริง หรือปฐมบรรพบุรุษก็มาไม่ถึง เวลานี้หลี่ชิเย่มาถึงแล้ว แต่กลับได้มาเพียงป้ายประกาศิตอันหนึ่งเท่านั้นเอง มันช่างเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจินตนาการได้
ที่เหลือเชื่อมากที่สุดก็คือ หลี่ชิเย่กลับรู้สึกพอใจอย่างยิ่งกับป้ายประกาศิตอันนี้ ยิ่งทำให้ผู้คนยากที่จะจินตนาการได้แล้ว
“แค่ แค่นี้เองหรือ?” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ หลินซิม่อถึงกับเอ่ยขึ้นด้วยความงงงัน “ที่ ที่ ที่ตรงนี้ แม้แต่ปฐมบรรพบุรุษก็ไม่แน่ว่าจะมาถึงได้”
“นับแต่อดีตกาลเป็นต้นมา ผู้ที่สามารถมาถึงที่ตรงนี้ได้ก็แค่สองสามคนเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมย
พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา ทำให้ภายในใจของหลินซิม่อหวั่นไหวยิ่งนัก มีเพียงสองสามคนเท่านั้นที่มาถึงได้ กลับสามารถได้มาเพียงป้ายประกาศิตอันหนึ่งเท่านั้น เป็นเรื่องเหลือเชื่อเหลือเกิน
“ป้ายประกาศิตอัน อันนี้ของของวิเศษรึ?” หลินซิม่อรู้สึกว่าเซ่อไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
“ไม่ นี่เป็นโอกาสๆ หนึ่ง” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “อาจมีความเป็นไปได้ว่าเป็นโอกาสที่ทำให้เจ้าไม่ได้ผุดได้เกิด ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเลือกอย่างไร แน่นอนที่สุดโอกาสเช่นนี้ ยากที่จะมีผู้ใดในหล้าสามารถรองรับอยู่แล้ว”
“เช่น เช่นนั้นสิ่งนี้มันยังจะมีความหมายอะไรเล่า?” หลินซิม่อไม่สามารถเข้าใจได้อย่างสิ้นเชิง เสียพลังกายใจนับไม่ถ้วน เสียเงินจำนวนนับไม่ถ้วน มาถึงตำหนักหมีเซียนหลังสุดท้ายเพียงเพราะต้องการโอกาสๆ หนึ่ง อีกทั้งโอกาสนี้อาจจะทำให้ต้องไม่ได้ผุดได้เกิดเลยก็เป็นได้ แล้วมันจะมีความหมายอะไรเล่า
“ถ้าหากเจ้าต้องการรุ้ว่าอะไรที่เรียกว่าอมตะ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีต ในต้นกำเนิดของเวลาเป็นอย่างไรกันแน่” หลี่ชิเย่มองดูหลินซิม่อทีหนึ่ง กล่าวเฉยเมยว่า “มิฉะนั้นล่ะก็ ทุกอย่างแค่เป็นสิ่งที่วางแผนกันบนกระดาษเท่านั้น มิฉะนั้นล่ะก็ คำว่าอมตะที่ว่ามันก็เป็นได้แค่สิ่งที่เพ้อฝันเท่านั้น”
เมื่อหลินซิม่อได้ฟังคำเช่นนี้ถึงกับงงงัน ยิ้มเจื่อนๆ นางไม่เข้าใจ เนื่องจากนางไม่มีสิทธิ์ไปเข้าใจ เวลานี้นางเป็นเพียงมดปลวกที่ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดอย่างยากลำบากเท่านั้น นางยังไม่มีสิทธิ์พูดถึงเรื่องอมตะ
สุดท้าย หลี่ชิเย่พาหลินซิม่อไปจากตำหนักหมีเซียนหลังนี้ ท่ามกลางเสียงแว้งค์ดังขึ้นเสียงหนึ่ง พวกเขาสองคนถูกส่งตัวไปถึงหน้าประตูของตำหนักหมีเซียนหลังที่หนึ่ง
เมื่อครู่พวกเขายังอยู่ในตำหนักหมีเซียนที่เงียงเหงาเปล่าเปลี่ยว พลันกลับมาอยู่ที่เงินทองตกพื้นที่คึกคักยิ่งนัก
“เจ้าก็คือหลี่ชิเย่แห่งหุบเขาอมตะ…” ในขณะที่หลี่ชิเย่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูของตำหนักหมีเซียนหลังที่หนึ่ง ยังไม่ทันก้าวลงจากบันได เสียงที่เย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น
พลันที่ได้ยินน้ำเสียงที่เย็นชานี้ ทำให้รู้ได้ทันทีว่าไม่ได้มาดี รับรองได้ว่าไม่ใช่การทักทายที่หวังดีอย่างแน่นอน
…………………………………………………..