ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2309 ข้าจะฆ่าคนใครขวางได้
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2309 ข้าจะฆ่าคนใครขวางได้
เวลานี้ทุกคนต่างมองไปที่ฝานกุ้ยซิน ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการรู้ว่าเขาจะทำอย่างไร จะอย่างไรเสีย ความดุดันและถืออำนาจบาตรใหญ่ของหลี่ชิเย่นั้น ทุกคนต่างประจักษ์มาแล้ว เขาคือคนที่หมางเมินทั่วหล้าคนหนึ่งนั่นแหละ
ท่าน พอแล้วนะ… เวลานี้ฝานกุ้ยซินได้กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า อภัยได้ก็จงอภัย อย่าได้ฆ่าแบบไม่ให้เหลือ!
เจ้าเป็นตัวอะไร? หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีที่เบื่อหน่ายสำหรับคำพูดของฝานกุ้ยซิน และยังคงเดินเข้าหาโจวจื้อคุนไม่ช้าและไม่เร็ว
สีหน้าของฝานกุ้ยซินถึงกับแปรเปลี่ยนไป นับตั้งแต่เขาติดตามนายของเขามาถึงแดนลัทธิพรรษเรียกได้ว่าอยู่ในฐานะสูงเด่น มีใครบ้างในแดนลัทธิพรรษที่ไม่ให้เกียรติเขาสามส่วน สมควรทราบว่าตระกูลมู่ของพวกเขาคือหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่แห่งแดนลัทธิราชัน ใครหาญกล้าไม่ให้เกียรติต่อตระกูลมู่ของพวกเขา
ในแดนลัทธิพรรษ อย่าว่าแต่ระดับผู้อาวุโสของสำนักเจ้าลัทธิที่เป็นบุคคลไร้อันดับ ต่อให้เป็นระดับบรรพบุรุษ หรือกระทั่งเป็นเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ก็ต้องให้เกียรติแก่ฝานกุ้ยซิน แม้ว่าเขาเป็นแค่ระดับเทพแท้จริงธรรมดายังไม่ถึงขั้นก้าวขึ้นสู่สวรรค์ แต่ทว่า บรรดาบรรพบุรุษที่อยู่ในระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ล้วนแล้วแต่ต้องเรียกเขาว่าพี่ฝาน
แล้วเป็นอย่างไรล่ะตอนนี้ เฉกเช่นหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงผู้เยาว์คนหนึ่งเท่านั้นกลับกล้ายกตนข่มท่าน พูดคำพูดลักษณะเช่นนี้ออกมาต่อหน้าสาธารณะชนทั่วหล้า มันคือการตบหน้าเขาฉาดหนึ่งชัดๆ
ข้าคือศิษย์ของตระกูลมู่ ภักดีต่อตระกูลมู่มาหลายพันปี ฝานกุ้ยซินกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า ข้าเคยรับใช้บรรพบุรุษของตระกูลมู่ เคยเรียนหนังสือเป็นเพื่อนกับเจ้าบ้าน…
คำพูดที่เย็นชาเช่นนี้ของฝานกุ้ยซินชัดเจนที่สุดแล้ว เป็นการแสดงถึงฐานะที่สูงส่งของเขา แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงคนรับใช่แก่ๆ คนหนึ่งของตระกูลมู่ แต่ได้รับใช้มาหลายรุ่น มีความซื่อสัตย์ภักดี และตระกูลมู่เองก็ได้มอบฐานะที่สูงส่งให้กับเขา
ไม่ว่าใครในแดนลัทธิพรรษก็ตาม ต้องรู้สึกเย็นวาบในใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของฝานกุ้ยซิน เขาไม่ได้เหมือนดั่งโจวจื้อคุนที่เป็นประเภทสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือสามารถมาเทียบเคียงได้ เขาคือผู้ที่มีฐานะสูงส่งในตระกูลมู่อย่างแท้จริง เขาเป็นผู้ที่สามารถเสนอความเห็นต่อหน้าเจ้าบ้านตระกูลมู่ได้
ตระกูลมู่เป็นตัวอะไร หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเบื่อหน่าย ยังคงมีท่าทีที่ตามอารมณ์ ถือกระบี่ไม้ไผ่ไล่ตามโจวจื้อคุนไปไม่ช้าและไม่เร็ว
โจวจื้อคุนถูกทำให้ตกใจจนสติแตก วิ่งหนีพลางหันกลับไปมองหลี่ชิเย่พลาง เขาอยากจะหนีไปให้ไกลจากมารร้ายคนนี้ให้ไกลที่สุดให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ยิ่งไกลยิ่งดี
‘ตระกูลมู่คือตัวอะไร’ สีหน้าของฝานกุ้ยซินดูไม่จืดถึงขีดสุดเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ในเวลานี้ดวงตาคู่นั้นของเขาถึงกับพ่นเป็นไฟแห่งความโกรธออกมา
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนแล้วแต่เสียวสันหลังวาบ ต่อให้ภายในใจของผู้คนจำนวนมากไม่สบอารมณ์กับนายน้อยมู่ แต่ว่า ไม่มีใครกล้าบอกว่า ‘ตระกูลมู่เป็นตัวอะไร’ ออกมาอย่างเปิดเผย นี่มันคือหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ของแดนลัทธิราชันเชียวนะ ถ้าหากทำให้ตระกูลมู่โกรธขึ้นมาล่ะก็ มันคือเรื่องที่น่าสยองขวัญอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง กระทั่งอาจนำมาซึ่งความล่มสลายให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตน
ผู้เยาว์ อาศัยคำพูดนี้ของเจ้าเพียงพอที่จะฆ่าล้างเจ้าเก้าชั่วโคตร! ฝานกุ้ยซินกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา
อ๋อ อย่างนั้นรึ? หลี่ชิเย่ที่มีท่าทีเบื่อหน่ายและกล่าวว่า ถ้าหากตระกูลมู่รู้จักกาลเทศะก็ให้ไสหัวไปให้ไกลๆ หน่อย มิฉะนั้นล่ะก็หากกล้าเป็นศัตรูกับข้า ข้าจะทำลายล้างตระกูลมู่พวกเจ้า!
นี่ นี่ นี่มันกำแหงจนไร้ขอบเขต…ทุกคนต่างอ้าปากตาค้างเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้วถึงกับพูดอะไรไม่ออก
หาญกล้าบอกว่าจะทำลายล้างตระกูลมู่เสียต่อหน้าผู้คนทั่วหล้า นี่มันเสียสติไปแล้วชัดๆ ต่อให้เป็นราชันแท้จริงก็ไม่กล้าบอกว่าจะทำลายตระกูลมู่ จะอย่างไรเสียตระกูลมู่ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ของแดนลัทธิราชัน ธาตุแท้ภายในลึกล้ำยากจะหยั่งถึง
หนูน้อยโง่เขลา อาศัยเจ้าน่ะหรือ? ที่จะทำลายล้างตระกูลมู่? ฝานกุ้ยซินหัวเราะเสียงดัง กล่าวน่าครั่นคร้ามขึ้นมาว่า ผู้เยาว์ เจ้าตายแน่นอนแล้ว อีกทั้งตระกูลมู่จะต้องสังหารเจ้าเก้าชั่วโคตร
คำพูดแบบนี้ข้าฟังจนเบื่อแล้ว หลี่ชิเย่หัวเราะเอามือแคะหูทีหนึ่ง กล่าวเอ้อระเหยขึ้นมาว่า ผู้ที่ร้องเอะอะว่าจะสังหารข้าเก้าชั่วโคตรนั้น ภายหลังล้วนแล้วแต่ถูกข้าทำลายล้างพวกเขาเก้าชั่วโคตรทั้งนั้น
เวลานี้ทุกคนล้วนแล้วแต่กลั้นลมหายใจเอาไว้และจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ ทุกคนต่างรู้สึกว่าเจ้าหมอนี้นับว่าบ้าบิ่นเหลือเกิน มันคือคนเสียสติชัดๆ แต่ว่า ไม่ว่าเขาจะเสียสติหรือไม่ก็ตาม ลำพังความกล้าหาญที่กล้าท้าทายต่อตระกูลมู่โดยตัวคนเดียวก็ทำให้ผู้คนต้องเลื่อมใส ใครบ้างในแดนลัทธิพรรษที่กล้าส่งเสียงท้าทายต่อตระกูลมู่
ผู้เฒ่าฝาน…โจวจื้อคุนที่วิ่งหนีจนเข้าใกล้ฝานกุ้ยซินเข้าไปทุกทีแล้ว เขารู้สึกดีใจยิ่งนัก ร้องเสียงดังออกมาแต่ไกลว่า ผู้เฒ่าฝาน ช่วยข้าด้วย… สายตาของฝานกุ้ยซินที่เพ่งไปข้างหน้า ได้ยินเสียงจี๊ดดังขึ้นเสียงหนึ่ง สิ่งของสิ่งหนึ่งถูกขว้างออกมาและปักตรึงอยู่ด้านหน้าไม่ไกลจากหลี่ชิเย่มากนัก
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม โจวจื้อคุนได้มาพึ่งพาเขาและทำงานให้กับเขา ในเวลาเช่นนี้ฝานกุ้ยซินยังคงต้องช่วยเขาเอาไว้
สิ่งที่ฝานกุ้ยซินขว้างออกไปและไปปักตรึงอยู่บนพื้นด้านหน้าของหลี่ชิเย่นั้นคือธงเล็กๆ ธงหนึ่ง บนธงได้ปักคำว่า ‘มู่’ เอาไว้ ดูมีความโบราณและพาลยิ่งนัก พลันที่เห็นก็รู้ว่าธงนี้ใช่มาจากฝีมือบุคคลธรรมดาทั่วไป
ธงอาญาสิทธิ์ของตระกูลมู่…ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องเย็นวาบในใจเมื่อเห็นธงนี้แล้ว โดยเฉพาะระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ พวกเขารู้ว่าธงนี้บ่งบอกถึงสิ่งใด
ธงนี้เป็นตัวแทนอำนาจของตระกูลมู่ เมื่อไรที่เห็นธงอาญาสิทธิ์นี้ไม่ว่าใครก็ต้องยอมอ่อนข้อให้ มิฉะนั้นแล้วก็เท่ากับเป็นศัตรูกับตระกูลมู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความรุนแรงอย่างยิ่ง
สมควรทราบว่า ธงอาญาสิทธิ์ลักษณะเช่นนี้ใช่ว่ามีกันได้ทุกคน เฉกเช่นฝานกุ้ยซินที่รับใช้ตระกูลมู่มาหลายยุคจึงสามารถได้ธงเช่นนี้มา ความล้ำค่าของมันใช่ธรรมดา อีกทั้งมีอำนาจบารมีที่สูงส่งยิ่งนัก
เห็นธงดั่งเห็นประกาศิต พลันที่ธงอาญาสิทธิ์นี้ปรากฏ เกรงว่าต่อให้เป็นเรื่องราวที่ใหญ่โตเพียงใดก็คงมีไม่กี่คนที่ไม่ให้เกียรติ มิฉะนั้นล่ะก็เท่ากับเป็นศัตรูกับตระกูลมู่อย่างแท้จริง
หยุดอยู่ตรงนั้น มิฉะนั้นก็คือศัตรูของตระกูลมู่ ฆ่าไม่มีละเว้น ฝานกุ้ยซินพูดน่าเกรงขามขึ้นมาเมื่อเห็นหลี่ชิเย่เดินเข้ามา
โจวจื้อคุนเองก็อดที่จะดีใจเป็นอย่างยิ่งไม่ได้ เมื่อเห็นฝานกุ้ยซินลงมือแล้ว อีกทั้งตัวเองเข้าไปใกล้ฝานกุ้ยซินทุกขณะแล้ว จะอย่างไรเสียธงอาญาสิทธิ์ของตระกูลมู่ไช่ธรรมดา ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าฝ่าฝืน
เมื่อโจวจื้อคุนเห็นว่าตนเองรอดแล้ว จึงร้องออกมาด้วยความดีใจเป็นที่สุด ขอบคุณผู้เฒ่าฝานที่ช่วยชีวิต…
อย่างไรก็ตามโจวจื้อคุนพูดยังไม่ทันจบ ได้ร้องเสียงเอิกก…ขึ้นมา อ้าปากกว้างค้างอยู่อย่างนั้น โดยที่คำสุดท้ายยังค้างคาไม่ได้ออกจากปากเลย
เวลานี้เลือดสดๆ ค่อยๆ ไหลออกมาจากลำคอของเขาอย่างช้าๆ หนึ่งกระบี่ที่ทะลุจากหลังคอออกทางคอหอยของเขา
หนึ่งกระบี่ปลิดชีพของเขาโดยที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากระบี่นี้มาได้อย่างไร อย่าว่าแต่คิดจะช่วยเขาเลย ต่อให้เป็นฝานกุ้ยซินคิดจะช่วยเขาก็เร็วไม่เท่ากระบี่นี้ กระบี่นี้รวดเร็วมากจนไม่สามารถเปรียบเปรยได้
ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ได้เป่าหยดเลือดที่ค้างอยู่ที่ปลายกระบี่ออกไปเบาๆ และกล่าวเฉยเมยว่า ช่างเถอะ ถลกหนังมันยุ่งยากมากเกินไป ส่งเจ้าไปลงนรกด้วยกระบี่เดียวเถอะ
ทุกคนที่ได้เห็นภาพนี้แล้วต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ ทุกคนล้วนแล้วแต่ดวงตาเบิกกว้าง การสังหารโจวจื้อคุนต่อหน้าฝานกุ้ยซิน มันคือการตบหน้าฝานกุ้ยซินฉาดใหญ่อย่างแรงเข้าให้ชัดๆ
ขณะที่ทุกคนกำลังเหม่อลอยอยู่นั้น หลี่ชิเย่ยกเท้าเหยียบย่ำธงอาญาสิทธิ์ของตระกูลมู่ไว้ใต้ฝ่าเท้าตามอารมณ์ และกล่าวว่า นี่มันธงกระจอกอะไรถึงกับคู่ควรนำมาอวดอ้างแสนยานุภาพ
ถืออำนาจบาตรใหญ่มากเหลือเกิน… แม้แต่ระดับบรรพบุรุษของสำนักเจ้าลัทธิยังต้องเซ่อไปเลย และพึมพำออกมา
ในแดนลัทธิพรรษจะมีใครกันที่หาญกล้าเหยียบธงอาญาสิทธิ์ของตระกูลมู่เอาไว้ใต้ฝ่าเท้า ใครกล้าเหยียบย่ำอำนาจบารมีของตระกูลมู่? นี่มันเท่ากับไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วล่ะ โทษของมันคือทำลายเผ่าพันธุ์เลยทีเดียว
เวลานี้สีหน้าของฝานกุ้ยซินดูไม่จืดถึงขีดสุด เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอกับเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้ ธงอาญาสิทธิ์ของเขาพลันขว้างออกไป อย่าว่าแต่ในแดนลัทธิพรรษเลยต่อให้เป็นแดนลัทธิราชันก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม จะอย่างไรเสียมันคือสิ่งแทนอำนาจบารมีของตระกูลมู่ของพวกเยา
เวลานี้หลี่ชิเย่กลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย จัดการเหยียบย่ำธงอาญาสิทธิ์ตระกูลมู่พวกเขาไว้ใต้เท้า เป็นการเหยียบย่ำอำนาจบารมีของตระกูลมู่อย่างแรง
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ก้าวเดินไปหาฝานกุ้ยซินช้าๆ ยังคงไม่รีบและไม่ช้า
เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร? ทันใดนั้นเอง ฝานกุ้ยซินถึงกับขนลุกซู่ภายในใจ นาทีนี้เขาเข้าใจทันทีแล้วว่าตัวเองได้ชนตอเข้าให้เต็มเปาแล้ว เขาได้ไปแหย่เอาคนที่น่ากลัวเข้าให้แล้วจริงๆ โลกนี้มีคนที่ไม่กลัวตระกูลมู่พวกเขาอยู่จริง และมีผู้ที่ไม่เห็นตระกูลมู่อยู่ในสายตาจริงๆ
แล้วเจ้าว่าอย่างไรล่ะ? หลี่ชิเย่ยิ้มบางๆ ว่า ในเมื่อเจ้าบอกแล้วว่าจะฆ่าล้างเก้าชั่วโคตรของข้า เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ก็จะส่งเจ้าไปลงนรกเสียก่อน
เจ้า เจ้าอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ สีหน้าของฝานกุ้ยซินเปลี่ยนไปมากทีเดียว สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งและกล่าวน่าเกรงขามว่า เจ้าจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำที่เอาแต่ใจตัวของเจ้าเอง เมื่อถึงตอนนั้นไม่เพียงเจ้าที่เคราะห์ร้ายเท่านั้น เกรงว่าสำนักของเจ้า ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของเจ้าก็ต้องนำมาซึ่งภัยถูกฆ่าล้างจนสิ้น
แล้วอย่างไรล่ะ? หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีตามอารมณ์ยิ่งว่า ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะทำลายล้างตระกูลมู่พวกเจ้าก่อน
เจ้า… ฉับพลันทำให้ฝานกุ้ยซินพูดอะไรไม่ออก หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นต้องนึกถึงผลที่จะตามมาหากเป็นศัตรูกับตระกูลมู่ แต่ว่า หลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าคือคนเสียสติชัดๆ ไม่สนใจเรื่องผลที่จะตามมาภายหลังอยู่แล้ว
สำหรับคนเสียสติตรงหน้าเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นคำขู่ใดๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด อำนาจบารมีของตระกูลมู่ใช้ไม่ได้ผลใดๆ บนตัวของเขา
เจ้าว่าภายใต้หนึ่งกระบี่ของข้า เจ้าสามารถหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน? นิ้วของหลี่ชิเย่ทำท่าปัดเบาๆ ทีหนึ่ง
อย่าบอกนะว่าจะเล่นของจริง? เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ถึงกับต้องการลงมือต่อฝานกุ้ยซิน สร้างความตระหนกให้ผู้คนจำนวนมากถึงกับขนหัวลุก เวลานี้ทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน
คนเสียสติเช่นนี้ หรือว่าสำนักของพวกเขาไม่มีใครสักคนออกมาขัดขวางรึ? มีผู้ที่รุ้สึกขนหัวลุกและกล่าวว่า การ การ การเป็นศัตรูกับตระกูลมู่ หากผิดพลาดจะทำให้เกิดฟ้าถล่มดินทลายได้นะ
บ้าบิ่นมากเหลือเกินถึงกับเอาจริง กล้าสังหารคนรับใช้เก่าแก่ของตระกูลมู่ ระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิก็รู้สึกขนหัวลุกเหมือนกัน ถ้าหากสังหารคนรับใช้เก่าแก่ของตระกูลมู่จริง มันช่างเป็นเรื่องสร้างความสะเทือนฟ้าดินเพียงใด เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากอยู่แล้ว
เหมือนเช่นที่ฝานกุ้ยซินได้พูดเอาไว้อย่างนั้น หากพลาดขึ้นมาจะนำพาให้สำนักของตนต้องถูกทำลายล้างได้
แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในพริบตาเดียวนั่นเอง ฝานกุ้ยซินต้องการจะหลบหนีแล้ว ช่องว่างเกิดการกระเพื่อมทีหนึ่ง เห็นร่างของเขาแวบหนึ่งพุ่งทะยานไปยังเส้นขอบฟ้า
ในเสี้ยววินาทีนี้เองตัวของฝานกุ้ยซินก็บังเกิดความกลัวขึ้นมา เนื่องจากเขาเจอะเจอเข้ากับคนเสียสติ ไม่ได้ใส่ใจในทุกสิ่ง เจ้าคนเสียสติคนนี้ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน