ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2310 พบสหายเก่าอีกแล้ว
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2310 พบสหายเก่าอีกแล้ว
ฝานกุ้ยซินหลบหนีไปอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนรับมือไม่ทัน ทุกคนล้วนแล้วแต่นึกไม่ถึงว่าฝานกุ้ยซินจะหนีไปกะทันหันเช่นนี้ จะอย่างไรเสียเขาคือตัวแทนของตระกูลมู่ในระดับหนึ่งนะเนี่ย ผู้คนจำนวนมากจึงเข้าใจว่าฝานกุ้ยซินจะยืนหยัดให้ถึงที่สุด ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเวลานี้เมื่อเห็นท่าไม่ดีกลับหลบหนีได้รวดเร็วยิ่งกว่าใครๆ อีกทั้งแม้แต่คำพูดที่ดูเป็นทางการสักคำก็ไม่พูด
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น จังหวะที่ฝานกุ้ยซินกำลังหลบหนีไปพริบตาเดียวกันนั้น กลับถูกคนสกัดเอาไว้กะทันหัน พริบตาเดียวนั่นเองเสมือนดั่งช่องว่างถูกปิดกั้นเอาไว้อย่างนั้น พลังที่น่าเกรงขามยิ่งสายหนึ่งพลันพุ่งโจมตีเข้ามา
ฝานกุ้ยซินรู้สึกตกใจกับสิ่งนี้ และต้องล่าถอยกลับในพริบตา หลีกเลี่ยงพลังที่น่าเกรงขามยิ่งที่เข้ามาสายนี้
ผู้เฒ่าฝาน จะรีบเร่งหนีไปไหนกันเล่า? เวลานี้เสียงที่ไพเราะน่าฟังเสียงหนึ่งดังขึ้น นาทีนี้เองปรากฎคนผู้หนึ่งได้ขวางทางของฝานกุ้ยซินเอาไว้
ผู้ที่ขวางทางฝานกุ้ยซินเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีบุคลิกลักษณะอันองอาจห้าวหาญ รูปโฉมสวยหยาดเยิ้ม เรียกได้ว่าสุดยอดในหล้ามีเพียงหนึ่งไม่มีสอง
เทพธิดาสงคราม…ผู้คนจำนวนไม่น้อยพลันจดจำนางได้ทันที เมื่อเห็นผู้หญิงที่ขวางทางไปของฝานกุ้ยซินเอาไว้
ผู้ที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันก็คือหวู่ปิงหนิง เทพธิดาสงครามแห่งจูเซียงหวู่ถิงนั่นเอง และนับเป็นอัจฉริยะบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังของแดนลัทธิพรรษ และเป็นเทพธิดาที่ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันถึง
หลานรัก…ฝานกุ้ยซินรู้สึกตกใจลึกๆ อยู่เหมือนกันเมื่อเห็นหวู่ปิงหนิงมาขวางทางของตนเอาไว้
ผู้เฒ่าฝานไหนๆ ก็มาแล้วจะรีบหนีไปไหนเล่า นัยน์ตาของหวู่ปิงหนิงดุจดวงดาวที่หนาวเหน็บ นางเอ่ยขึ้นช้าๆ น้ำเสียงหนักแน่นดุจดั่งเหล็กและหิน สูงส่งและเงียบเหงา
ในเวลานี้ บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองตากันและกัน กระทั่งมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่พูดเสียงแผ่วเบา โดยเฉพาะผู้ดำรงอยู่ในฐานะระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิ ยิ่งรู้สึกตกใจกับสิ่งนี้ยิ่งกว่า
จูเซียงหวู่ถิงมีความใกล้ชิดกับนายน้อยมู่มิใช่รึ? ผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกของตระกูลขุนนางโบราณก็รู้สึกตกใจอยู่ลึกๆ
ระดับผู้ยิ่งใหญ่ในแดนลัทธิพรรษต่างรู้ดีว่า จูเซียงหวู่ถิงคือผู้ที่ใกล้ชิดกับนายน้อยมู่มากที่สุดตั้งแต่มาถึงแดนลัทธิพรรษแล้ว กระทั่งกล่าวได้ว่านายน้อยมู่ได้รั้งอยู่ที่จูเซียงหวู่ถิงมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง
แม้ว่าตระกูลมู่ไม่ได้อยู่ในแดนลัทธิพรรษ แต่ทว่าด้วยความสัมพันธ์ของนายน้อยมู่กับจูเซียงหวู่ถิงในขณะนี้ จูเซียงหวู่ถิงเกือบจะกลายเป็นกองทัพที่อยู่เบื้องหลังของนายน้อยมู่ที่สามารถพึ่งพาได้แล้ว
กระทั่งเคยมีข่าวแพร่สะพัดในแดนลัทธิพรรษว่า ตระกูลมู่และจูเซียงหวู่ถิงจะมีการเกี่ยวดองสมรสกัน ซึ่งทางจูเซียงหวู่ถิงก็ไม่ได้ปฏิเสธและหรือยอมรับ แต่ว่า ผู้คนจำนวนมากต่างมองว่าแม้ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง
อย่างไรก็ตาม เวลานี้หวู่ปิงหนิงกลับขวางทางของฝานกุ้ยซินเอาไว้ ดูจากท่าทีของหวู่ปิงหนิงแล้วไม่เหมือนต้องการช่วยเหลือฝานกุ้ยซินให้หลบหนีไปได้ ตรงกันข้ามเหมือนเป็นการสกัดกั้นฝานกุ้ยซินมากกว่า
ข่าวเล่าลือกันว่าจูเซียงหวู่ถิงจะเกี่ยวดองสมรสกับตระกูลมู่มิใช่รึ? มีผู้เอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
ถ้าหากจะกล่าวว่า จูเซียงหวู่ถิงเกี่ยวดองสมรสกับตระกูลมู่ ทุกคนย่อมเข้าใจได้ว่า ต้องเป็นนายน้อยมู่ที่แต่งงานกับหวู่ปิงหนิงอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มจำนวนเท่าไรในแดนลัทธิพรรษที่ใฝ่ฝันถึงหวู่ปิงหนิง ผู้คนจำนวนเท่าไรที่ไม่ต้องการเห็นเรื่องเช่นนี้เกิด่ขึ้น แต่ความจริงนั้นทุกคนย่อมมีความชัดเจนว่า เมื่อไรที่จูเซียงหวู่ถิงเกี่ยวดองสมรสกับตระกูลมู่ล่ะก็ นายน้อยมู่แต่งงานกับหวู่ปิงหนิงย่อมเป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอนที่สุด
แต่ทว่า ท่าทีของหวู่ปิงหนิงในเวลานี้ดูเหมือนจะแปลกๆ อยู่บ้าง ถ้าหากทั้งสองตระกูลเกี่ยวดองสมรสกันจริง ตามหลักแล้วหวู่ปิงหนิงจะต้องยืนอยู่ข้างฝ่ายของฝานกุ้ยซินจึงจะถูก
รอดูเหตุการณ์ไปเงียบๆ แม้แต่ระดับผู้ยิ่งใหญ่รุ่นอาวุโสก็ไม่เข้าใจ กล่าวขึ้นและส่ายหน้าเบาๆ
หลานรัก เจ้าหมายความว่าอะไร? สีหน้าของฝานกุ้ยซินถึงกับเปลี่ยนไปเมื่อถูกหวู่ปิงหนิงขวางทางเอาไว้ และรู้สึกได้ท่าจะไม่ดีเสียแล้ว
ไม่ได้มีความหมายอันใด หวู่ปิงหนิงเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า ข้าแค่ต้องการดูว่าผู้เฒ่าฝานที่สง่าผ่าเผยยิ่งนัก และชูอำนาจบารมีของตระกูลมู่ ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าฝานสามารถสังหารคุณชายหลี่ได้หรือไม่
ผู้คนจำนวนมากต่างมองหน้ากันและกันพลันที่หวู่ปิงหนิงพูดคำๆ นี้ออกมา ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีกถึงท่าทีของหวู่ปิงหนิง
สีหน้าของฝานกุ้ยซินเปลี่ยนไป ถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว เขารู้ว่าหวู่ปิงหนิงจะไม่ยืนอยู่ข้างฝ่ายของตนเองอย่างแน่นอน
ความจริงแล้ว หากข้าต้องการฆ่าใครสักคน ต่อให้เขาต้องการหลบหนีไปจริงๆ ก็หนีไปไหนไม่พ้น ในเวลานี้หลี่ชิเย่เดินเข้ามาด้วยท่าทีที่เหนื่อยหน่าย เหมือนว่าเขาไม่ได้รีบร้อนแม้แต่น้อย และไม่กลัวว่าฝานกุ้ยซินจะหลบหนีไปได้อย่างนั้น
ฝานกุ้ยซินหันกลับเผชิญหน้ากับหลี่ชิเย่ทันที แต่ก็ไม่กล้าหันหลังให้กับหวู่ปิงหนิง ได้แต่เอียงตัวอยู่ในท่าทางสามเหลี่ยม
เวลานี้เจ้าคิดจะวิ่งหนีเสมือนหนึ่งเป็นสุนัขที่ไม่มีเจ้าของ ถูกข้าอาศัยกระบี่เดียวแทงเข้าข้างหลังจนตาย หรือจะยืดอกรับกระบี่ข้าทีหนึ่งล่ะ? หลี่ชิเย่สะบัดกระบี่ไม้ไผ่ในมือเบาๆ ทีหนึ่งด้วยความตามอารมณ์ยิ่งนัก
สีหน้าของฝานกุ้ยซินดูปั้นยากยิ่งนัก ในใจของเขารู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิเย่ เนื่องจากกระบี่ของหลี่ชิเย่รวดเร็วมากเหลือเกิน
ส่วนศักยภาพของหลี่ชิเย่จะแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยกันแน่นั้นไม่มีความสำคัญอีกแล้ว ที่สำคัญก็คือหนึ่งกระบี่ของเขานับว่ารวดเร็วมากเหลือเกิน รวดเร็วจนสุดจะจินตนาการได้ หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันออกไปก็จะเป็นการเก็บเกี่ยวชีวิตคน โดยที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นการออกกระบี่นี้ของเขาได้ชัดเจน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะต้านรับอยู่แล้ว
วิทยายุทธใต้หล้ามีเพียงความเร็วเท่านั้นที่ทำลายไม่ได้ สิ่งนี้ทำให้ฝานกุ้ยซินรู้สึกสะท้านภายในใจ ด้วยความเร็วที่สูงสุดเพียงพอที่จะทำลายทุกๆ เคล็ดวิชาได้ ความลึกซึ้งยอดเยี่ยมใดๆ ล้วนแล้วแต่ยากจะสำแดงออกมา
หลานรัก เจ้าสมควรช่วยเหลือข้าอีกแรง เวลานี้ฝานกุ้ยซินเหมือนดั่งเจอศึกหนักไม่กล้ากระทั่งกะพริบตาขณะจ้องมองหลี่ชิเย่ เนื่องจากเขากลัวหลี่ชิเย่จะลงมือกะทันหัน
อาศัยอะไรให้ข้าต้องช่วยเหลือเจ้าอีกแรง? หวู่ปิงหนิงกล่าวท่าทีเย็นชาว่า อีกอย่าง ตระกูลมู่เรียกว่ามีความสง่าผ่าเผยยิ่งนัก ลำพังศัตรูเพียงคนเดียวเท่านั้น ไหนเลยที่ผู้เฒ่าฝานจำต้องให้ข้าลงมือเข้าช่วยเหลือกันเล่า
สีหน้าของฝานกุ้ยซินปั้นยากอย่างยิ่ง คำร้องขอให้ช่วยเหลือตนถูกหวู่ปิงหนิงปฏิเสธ
หลานรักอย่าลืมความสัมพันธ์ของสองตระกูล พวกเราสมควรมีศัตรูคนเดียวกัน ฝานกุ้ยซินรีบกล่าวขึ้นมาว่า ในอนาคตหากสามารถได้รับความช่วยเหลือจากพวกเรา หลานรักก็จะมีความสูงส่งสุดจะพรรณนา…
ไม่ต้องอวดอ้างตนให้มากนัก หวู่ปิงหนิงกล่าวตัดบทของเขา กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า ข้าไม่ลงมือสังหารเจ้าก็นับว่าเป็นบุญคุณใหญ่หลวงแล้ว เจ้าอธิฐานให้ตนเองโชคดีเถอะ
ท่าทีของหวู่ปิงหนิงสร้างความตระหนกอย่างยิ่งให้กับผู้คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ ผู้คนจำนวนมากต่างมองตากันและกัน ดูไปแล้วเรื่องราวบางเรื่องไม่เหมือนกับที่ทุกคนได้จินตนาการเอาไว้อย่างนั้น
เจ้า… ใบหน้าที่แก่เฒ่าของฝานกุ้ยซินยิ่งดูไม่จืดมากขึ้นไปอีก นึกไม่ถึงว่าตนเองจะถูกหวู่ปิงหนิงกล่าวตำหนิต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้ เขาถึงกับพูดขึ้นมาว่า หลานรัก หากว่าเจ้ายังคงดื้อดึงกระทำการตามอำเภอใจ มันจะสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูล เกรงว่าเจ้าจะแบกรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นไม่ไหว…
ผู้รับใช้เฒ่า เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเฆี่ยนเจ้าให้ตายเดี๋ยวนี้เลย! นัยน์ตาของหวู่ปิงหนิงเพ่งไปข้างหน้าและเผยให้เห็นถึงปณิธานการฆ่าออกมา กล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า เจ้ายังเข้าใจว่าตระกูลมู่คือหนึ่งในหล้าจริงๆ รึ? วันนี้หากข้าลงมือสังหารเจ้าด้วยมือของข้าเอง ต่อให้ตระกูลมู่มีฝีมือมากกว่านี้ สามารถช่วยเจ้าได้หรือ?
สีหน้าของฝานกุ้ยซินเปลี่ยนไปมากทีเดียว และถึงกับต้องก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เมื่อมองเห็นนัยน์ตาของหวู่ปิงหนิงเผยปณิธานฆ่าออกมา เข้าใจได้ว่าคำพูดนี้ของหวู่ปิงหนิงใช่เป็นการพูดเล่นแต่เอาจริง
เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ใยต้องให้เจ้าลงมือ ปล่อยให้ข้าเถอะ หลี่ชิเย่ยิ้มบางๆ ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งและกล่าวต่อฝานกุ้ยซินว่า ลงมือเถอะ ข้าให้โอกาสกับเจ้า หากสามารถรับมือข้าได้หนึ่งกระบี่ก็ละเว้นชีวิตเจ้า หาไม่แล้วใครมาก็ช่วยเจ้าไม่ได้ อย่าว่าแต่ตระกูลมู่อะไรนั่น ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอำนาจสูงสุดมาก็ช่วยเจ้าไม่ได้
สีหน้าของฝานกุ้ยซินปั้นยากถึงขีดสุด คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่เป็นการดูแคลนเขาตรงๆ เหมือนว่าในสายตาของเขาตนเองเสมือนหนึ่งคือเนื้อที่อยู่บนเขียง สุดแต่หลี่ชิเย่จะเชือดเฉือนอย่างนั้น
เจ้าผู้เยาว์ กำแหงเกินไปแล้ว ฝานกุ้ยซินโกรธถึงขีดสุด ร้องเสียงดังออกมาว่า เจ้าคิดว่าปราศจากผู้ต่อกรในหล้าจริงๆ รึ?
เกือบแล้วล่ะ หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเบื่อหน่ายว่า อย่างน้อยสังหารเจ้าในหนึ่งกระบี่ไม่เป็นปัญหา เอาล่ะไม่ต้องพูดไร้สาระให้มากความ เตรียมตัวลงมือเถอะ
เอาจริงแล้ว ผู้คนจำนวนมากต่างสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งเมื่อเห็นเรื่องราวพัฒนามากถึงเช่นนี้ รู้ว่าหลี่ชิเย่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าต้องการสังหารฝานกุ้ยซินให้ได้
เจ้าพูดจริงรึ? แม้ว่าภายในใจของฝานกุ้ยซินจะโกรธเคืองยิ่งนักเมื่อถูกหลี่ชิเย่ดูแคลนถึงเพียงนี้ แต่ว่าคำพูดของหลี่ชิเย่ก็ทำให้เขามองเห็นความหวัง
จริงยิ่งกว่าจริงเสียอีก หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า เตรียมรับกระบี่ของข้า หากเจ้าสามารถรับกระบี่นี้ได้ก็จะปล่อยให้เจ้าไปจากได้อย่างอิสระ
ตกลง เจ้าเป็นคนพูดเองนะ ฝานกุ้ยซินกล่าวตัดสินใจเด็ดขาดทันที
ถูกต้อง หลี่ชิเย่สะบัดกระบี่ไม้ไผ่ในมือ และเอ่ยขึ้นช้าๆ หนึ่งกระบี่เหลือเฟือ
ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถรับได้แม้เพียงกระบี่เดียว ฝานกุ้ยซินร้องกล่าวเสียงเย็นชาออกมา ไม่เชื่อจะเป็นเช่นนั้น พริบตาเดียวนั่นเอง ได้ยินเสียงดังแว้งค์เสียงหนึ่ง บนตัวของเขาปรากฎชุดที่ถักทอด้วยขนนกคลุมกายเอาไว้
ตูม…เสียงดังสนั่นขึ้น พริบตาเดียวนั่นเอง เสื้อคลุมบนตัวของฝานกุ้ยซินได้พวยพุ่งประกายราชันที่ไม่มีสิ้นสุดขึ้นมา เสมือนดั่งราชันแท้จริงทำการปลุกเสกอย่างนั้น ปรากฏพลังที่ยิ่งใหญ่ไพศาลดั่งคลื่นยักษ์ ปกคลุมท่วมฟ้าดินจนจมมิดในทันที
พริบตาเดียวนั่นเอง ประกายที่อยู่บนตัวของฝานกุ้ยซินละลานตาอย่างยิ่ง ขณะเดียวกัน ได้พวยพุ่งอำนาจราชันที่ไม่สิ้นสุดขึ้นมา ได้ยินเสียงคำรามเสียงยาวดังอิ๊ววว มองเห็นชุดคลุมที่ถักทอจากขนนกบนตัวฝานกุ้ยซินปรากฎภาพๆ หนึ่งขึ้นมา เห็นวิหคสีเขียวครามตัวหนึ่งโผบินขึ้นบนท้องฟ้า มีท่าทีที่อยู่เหนือเก้าชั้นฟ้า
เสื้อราชันแท้จริงรึ? ครั้นมองเห็นอำนาจราชันแท้จริงที่แผ่กระจายออกมาจากเสื้อขนนกบนตัวของฝานกุ้ยซินแล้ว ทำให้ผู้คนต้องตกใจอย่างยิ่งกับพลังน่าเกรงขามสายนั้น
สายตาของทุกคนล้วนแล้วแต่ตกอยู่บนเสื้อขนนกที่อยู่บนตัวของฝานกุ้ยซิน คนที่รู้จักมองแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นเสื้อราชันตัวหนึ่ง
เป็นเสื้อที่ถักขึ้นโดยราชันแท้จริง มีพลังของราชันแท้จริงในครอบครอง ระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิผู้หนึ่งที่มีความรู้เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า เสื้อตัวนี้อาศัยขนของนกหงส์สีเขียวครามถักทอขึ้น อีกทั้งยังมาจากฝีมือของราชันแท้จริงอีกด้วย มีความยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง นับเป็นเสื้อราชันที่มีทรงพลังด้านการป้องกันตัวหนึ่ง
เสียงตึงเสียงหนึ่งดังขึ้น จังหวะที่เสื้อราชันคลุมกายนั้นปรากฎโล่ยักษ์ในมือของฝานกุ้ยซินในเวลาเดียวกัน โดยโล่ยักษ์นี้หลอมสร้างโดยโลหะศักดิ์สิทธิ์ ส่งประกายวูบวาบออกมาสยบจิตวิญญาณของผู้คน
กล่าวสำหรับฝานกุ้ยซินแล้ว มีเสื้อราชันคลุมกาย ในมือถือโล่ยักษ์เอาไว้ นับว่าเป็นการป้องกันถึงสองชั้น
เสื้อราชันที่อยู่บนตัวสร้างขึ้นโดยราชันแท้จริง เคยเป็นเสื้อขนนกที่เป็นของราชันแท้จริงองค์หนึ่งของตระกูลมู่มาก่อน ภายหลังตระกูลมู่เห็นว่าฝานกุ้ยซินมีผลงานจึงได้ประทานเสื้อราชันให้หนึ่งตัว
เสื้อราชันตัวนี้มีความแข็งแกร่งด้านป้องกันอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่อาวุธเทพแท้จริงทั่วไปเลย ต่อให้เป็นอาวุธเทพแท้จริงขั้นก้าวขึ้นสู่สวรรค์ก็ยากจะทำลายได้
บวกกับโล่ยักษ์ที่อยู่ในมือของเขาแล้ว นับว่าเสริมความแข็งแกร่งด้านป้องกันยิ่งขึ้น ต่อให้โล่ยักษ์ในมือจะเทียบไม่ได้กับเสื้อราชันบนตัว แต่ก็เป็นโล่ศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากเทพแท้จริงขั้นก้าวขึ้นสู่สวรรค์
เยี่ยมมาก ไม่เสียทีที่เป็นคนของตระกูลมู่ ถึงกับมีผู้ที่รู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นฝานกุ้ยซินในมือมีโล่ยักษ์ กายสวมเสื้อราชัน
ฝานกุ้ยซินมีฐานะเป็นเพียงผู้รับใช้เฒ่าของตระกูลมู่เท่านั้นเองยังได้ครอบครองของวิเศษเช่นนี้ ช่างเป็นที่อิจฉาเหลือเกิน หากเปลี่ยนเป็นระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิอื่นๆ ผู้ที่จะได้ครอบครองของวิเศษเช่นนี้อย่างน้อยที่สุดก็ต้องระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเท่านั้น