ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2361 ยกตนข่มท่าน
“จะอาศัยเหนือกว่ารังเกผู้ที่อ่อนแอกว่ารึ?” หลินซิม่อย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ระดับบรรพบุรุษของสุสานกระบี่อยู่แล้ว นางถึงกับหลบไปอยู่ด้านหลังของหวู่ปิงหนิง แม้ว่าหวู่ปิงหนิงจะบาดเจ็บสาหัส แต่ว่า ยังคงแข็งกร้าวยิ่ง
ปุ…พริบตาเดียวนั่นเอง มู่เส้าเฉินลงมือแล้ว เขาลอบโจมตีหวู่ปิงหนิงด้วยการลงมือกะทันหัน โดยเสกเอาเชือกเซียนมาเส้นหนึ่งเข้ามัดตัวหวู่ปิงหนิง
แม้ว่าการเคลื่อนไหวของหวู่ปิงหนิงรวดเร็วยิ่งนัก แต่ทว่า เชือกเซียนเส้นนี้มีความยอดเยี่ยมมาก ยังไม่ทันที่หวู่ปิงหนิงจะหลบเลี่ยงก็ถูกมัดเอาไว้โดยพลัน
“เป็นปฏิปักษ์กับข้าคือการกระทำที่ไม่ฉลาด” มู่เส้าเฉินหัวเราะอย่างทระนง และกล่าวว่า “วันนี้ข้าจะจับตัวเจ้ากลับไปที่จูเซียงหวู่ถิง หากรู้จักกาลเทศะล่ะก็ ยอมเป็นสะใภ้ตระกูลมู่เสียดีๆ”
“ศิษย์ทรยศ ยอมให้จับเสีย” เมื่อหวู่ปิงหนิงถูกมัดเอาไว้ ระดับบรรพบุรุษของสุสานกระบี่ส่งเสียงฮึเย็นชา มือขนาดใหญ่ยื่นเข้าไปคว้าตัวหลินซิม่อ
“สุสานกระบี่ทำเกินไปแล้วกระมัง” จังหวะที่ระดับบรรพบุรุษสุสานกระบี่ลงมือเข้าคว้าตัวหลินซิม่อนั้น นักพรตฉางเซินส่งเสียงฮึเย็นชาเส้ปัดฝุ่นในมือพลันตวัดออกไปยังบรรพบุรุษสุสานกระบี่
พลันที่นักพรตฉางเซินลงมือย่อมไม่ธรรมดา มีท่วงท่าของพายุและสายฟ้า ทำให้บรรพบุรุษสุสานกระบี่ถึงกับตกใจ
อิ้ววว…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในพริบตาเดียวนั่นเอง อินทรีเทพที่เกาะอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอดพลันกางปีกสองข้าง โดยขนนกบนปีกเส้นหนึ่งคล้ายกระบี่ยาว กระทั่งได้ยินเสียงคำรามกระบี่ดังตึง ขนนกยาวได้กวาดเข้ามา กระบี่กวัดแกว่งแปดทิศพลันกั้นขวางทุกอย่าง ขวางแส้ปัดฝุ่นในมือของนักพรตฉางเซินเอาไว้
ได้ยินเสียงดังปังดังขึ้น นักพรตฉางเซินถูกกระแทกจนถอยหลังไปหลายก้าว เก้าอี้ที่นั่งอยู่พลันแตกละเอียด
พลันที่อินทรีเทพตัวนี้ลงมือก็โจมตีจนนักพรตฉางเซินพ่ายไป ทำให้ทุกคนรู้สึกใจหายใจคว่ำ ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า อินทรีเทพตัวนี้แกร่งจนบอกไม่ถูก
แม้ว่าเทพอินทรีหวินตู้ยังไม่ได้ปรากฏตัว แต่ว่าอินทรีเทพซึ่งเป็นพาหนะของเขาอยู่ที่นี่ ก็เท่ากับตัวเขาอยู่ที่นี่ด้วย อินทรีเทพตัวนี้เขาได้เลี้ยงดูมาชั่วชีวิต พลังของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ใดๆ
อ๊ากกก…เสียงร้องด้วยความตกใจ เวลานี้หลินซิม่อไม่มีโอกาสได้ขัดขืนแม้แต่น้อย ถูกบรรพบุรุษสุสานกระบี่จับตัวไปได้ทันที
เวลานี้แม้ว่านักพรตฉางเซินจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่กลับถูกอินทรีเทพตัวนี้ขวางเอาไว้ เห็นเพียงปีกของอินทรีเทพที่กางออก เสมือนหนึ่งตัดขาดฟ้าดิน ทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถก้าวข้ามไปได้
“การกระทำเช่นนี้เกินไปแล้วกระมัง” เวลานี้ นักพรตพเนจรหยางหมิงได้ลุกขึ้นมาโดยพลัน กล่าวเสียงเย็นชาว่า “เป็นการกระทำที่ต้องการสังหารให้สิ้นอย่างนั้นรึ?” นักพรตพเนจรหยางหมิงในเวลานี้แม้ว่าไม่ได้แสดงอาการโกรธเป็นไฟ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นางได้โกรธขึ้นมาแล้วขณะพูดคำพูดนี้ออกมา
“พอแล้ว นักพรตพเนจร” เวลานี้บนท้องฟ้าของอินทรีเทพปรากฎเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงที่แก่หง่อมดังก้องระหว่างฟ้าดิน สยบจิตใจของผู้คน
“เทพอินทรี หยางซิ่น” แม้แต่ระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิยังต้องรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกซู่ภายในใจ เมื่อได้ยินเสียงนี้
แม้ว่าเทพอินทรีหวินตู้ไม่ได้ปรากฏตัว แต่ว่าเวลานี้นาทีนี้เขาเหมือนหนึ่งอยู่ตรงนี้แล้วอย่างนั้น ทุกๆ คำพูดของเขาล้วนแล้วแต่เปี่ยมด้วยพลังและบารมีที่สยบจิตใจผู้คน
“ผู้เยาว์คนหนึ่งเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ในแดนลัทธิพรรษ ให้แดนลัทธิพรรษพวกเราไปวางไว้ตรงไหน อำนาจบารมีของเหล่าระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิอยู่ที่ใด” คำพูดของเทพอินทรีหวินตู้หยางซิ่นก้องกังวานอยู่บนท้องฟ้า เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “มาวันนี้คุณชายมู่สังหารเจ้าอัปลักษณ์นี้เสียก็นับว่าเป็นการขจัดภัยให้กับแดนลัทธิพรรษ ส่วนสมุนคนอื่นๆ สมควรจัดการอย่างไรก็จัดการไปตามนั้น แดนลัทธิพรรษไหนเลยปล่อยให้มารน้อยๆ ไม่กี่ตัวมาก่อความเดือดร้อนได้”
คำพูดเช่นนี้ของเทพอินทรีหวินตู้ก้องกังวานระหว่างฟ้าดิน แม้ว่าเทพอินทรีหวินตู้ไม่ได้ตำหนินักพรตพเนจรหยางหมิง แต่คำพูดนี้ได้ตำหนิพรรคหยางหมิงอย่างชัดเจน หรือจะพูดใหม่ว่า การที่หลี่ชิเย่สังหารผู้บริสุทธิ์เป็นความบกพร่องต่อหน้าที่ของพรรคหยางหมิง
ทุกคนที่อยู่เหตุการณ์ขณะนี้ต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ เทพอินทรีหวินตู้คือระดับอมตะนะเนี่ย เทพแท้จริงขั้นอมตะที่จริงแท้แน่นอน
แม้จะกล่าวว่า เทพอินทรีหวินตู้เทียบไม่ได้กับเทพสงครามมังกรคชาธาร ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนลัทธิพรรษ แต่ว่า ในฐานะที่เป็นเทพแท้จริงขั้นอมตะ นับว่าสร้างความหวั่นเกรงให้กับผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว นี่คือผู้ดำรงอยู่ในฐานะบดขยี้ระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ทั้งหมด กระทั่งราชันแท้จริงระดับล่างก็ยากที่จะต้านทานเขาได้
“แดนลัทธิพรรษหาใช่ที่ที่มีผู้มีสิทธิ์เสนอความเห็นได้เพียงคนเดียว ไม่ใช่อยากจะตั้งข้อหาจอมมารให้กับใครสักคนได้ตามใจ” นักพรตพเนจรหยางหมิงกล่าวเย็นชาขึ้นว่า “อย่างน้อยที่สุด ภายใต้การนำของพรรคหยางหมิงก็จะทำเช่นนี้ไม่ได้ ข้อตกลงก็คือข้อตกลง ในเมื่อมีการลงนามกันแล้วก็ต้องยอมรับมัน!”
“ช่วงเวลานี้ได้ล่วงเลยไปแล้ว นักพรตพเนจรอย่าให้ตัวเองต้องเดือดร้อน การตัดสินความเช่นนี้ไม่ได้ผิดต่อความคาดหวังของใต้หล้า ถ้าหากนักพรตพเนจรยังคงดื้อรั้นเช่นนี้เท่ากับเป็นศัตรูทั่วหล้า” เทพอินทรีหวินตู้ก็พูดเสียงเย็นชาขึ้นเช่นกัน
“ผู้อาวุโสเทพอินทรีพูดได้ถูกต้อง” มู่เส้าเฉินหัวเราะและกล่าวว่า “หลี่ชิเย่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ พรรคหยางหมิงยังบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ นี่คือการบกพร่องต่อหน้าที่แล้ว ไหนเลยจะนำพาสถานการณ์โดยรวมของแดนลัทธิพรรษได้ ผู้นำของแดนลัทธิพรรษสมควรเปลี่ยนคนได้แล้ว”
เมื่อมู่เส้าเฉินพูดออกมาเช่นนี้ ทุกอย่างได้ถูกเปิดเผยขึ้นในเวลานี้ นี่แหละคือเป้าหมายที่แท้จริง
แม้ว่าก่อนหน้านี้ผู้มีปัญญาได้มองเห็นจุดนี้แต่แรกแล้ว ทุกคนต่างรู้ว่านี่หาใช่แค่ไตร่สวนตัดสินหลี่ชิเย่เท่านั้น ที่เป็นยิ่งกว่านั้นคือ เป็นงานยิ่งใหญ่แห่งการช่วงชิงอำนาจ
เพียงแต่ความคิดเช่นนี้แค่เริ่มต้นขึ้นภายในจิตใจของทุกคนเท่านั้น ไม่มีใครกล้าพูดออกมา เวลานี้มู่เส้าเฉินออกปากพูดออกมาแล้ว เท่ากับเป็นการเปิดม่านบางๆ ผืนนั้นออกมาเท่านั้น
“เจ้ายังดูไม่ออกอีกรึ? อ้อมไปครึ่งค่อนวัน นี่แหละคือเป้าหมายที่แท้จริง” นักพรตฉางเซินยิ้มกล่าวกับนักพรตพเนจรหยางหมิงว่า “นี่คือการช่วงชิงอำนาจ เหมือนเช่นงานพิธีเซ่นไหว้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะในวันนั้นอย่างนั้น เพียงแต่น่าเสียดายที่ทำให้คนบางคนต้องผิดหวัง ทำไม่สำเร็จ”
สายตาของนักพรตพเนจรหยางหมิงเพ่งมองตรงไปข้างหน้า มองดูพวกเขามู่เส้าเฉินอย่างน่าเกรงขาม กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เป็นผู้นำของแดนลัทธิพรรษ? พรรคหยางหมิงพวกเราไม่สนใจ ในเมื่องานวันนี้จัดขึ้นโดยพรรคหยางหมิงก็สมควรต้องมีคำตอบ ไม่อนุญาตให้ใครมาทำลาย!”
ปูนนนน…ในเวลานี้เองเสียงหนึ่งดังขึ้น ด้านนอกสันเขาหมื่นยอดปรากฏเสียงเป่าเขาควายดังขึ้น
ตูม ตูม ตูมในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง ได้ยินเสียงของกองทัพใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหน้าสันเขาหมื่นยอด มองเห็นกองทัพอาชาที่วิ่งฮ้อเข้ามาจากทุกทิศทุกทางสั่นคลอนต่อฟ้าดิน
มองเห็นกองทัพอาชามากมายที่วิ่งฮ้อจากที่ๆ ห่างไกลเสมือนดั่งน้ำหลาก ทำให้ทุกคนถึงกับหัวใจเต้นกระตุกทีหนึ่ง ย่อมไม่ต้องสงสับ พรรคหยางหมิงก็เตรียมตัวมาอย่างดี
“นักพรตพเนจร เสียดาย ที่พวกเจ้าเจอคือข้า” มู่เส้าเฉินไม่รู้สึกตระหนกแม้แต่น้อยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองทัพใหญ่พรรคหยางหมิงที่กำลังวิ่งฮ้อเข้ามา หัวเราะเสียงดังและคำรามเสียงยาว เสกของวิเศษอย่างหนึ่งออกมา ร้องเสียงดังว่า “ไป…”
เสียงตูม…ดังสนั่น ขณะที่ของวิเศษชิ้นนี้ถูกเสกขึ้นมาพลันพุ่งขึ้นท้องฟ้าอย่างรุนแรง และตกลงสู่ด้านนอกสันเขาหมื่นยอด ตามติดด้วยเสียงตูม ตูม ตูมดังตูมตามขึ้นไม่ขาดสาย มองเห็นทะเลปรากฏขึ้นที่ด้านนอกสันเขาหมื่นยอด เสมือนดั่งท่วมพื้นที่ด้านนอกจนจมมิดอย่างนั้น
พริบตาเดียวนั้นเอง ทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตปรากฎอยู่ด้านนอกของสันเขาหมื่นยอด ขวางทางกองทัพใหญ่ของพรรคหยางหมิงเอาไว้ และทำการตัดขาดระหว่างสันเขาหมื่นยอดกับโลกภายนอกไปทันทีโดยสิ้นเชิง
“ทะเลนี้กลั่นบูชาขึ้นโดยปฐมบรรพบุรุษตระกูลมู่พวกเรา ต่อให้บรรพบุรุษพรรคหยางหมิงมีวิชาข้ามน้ำข้ามทะเลคิดจะข้ามมาเกรงว่าคงต้องอาศัยเวลาที่ยาวนานมาก” หลังจากที่มู่เส้าเฉินได้ปิดกั้นอย่างเด็ดขาดกองทัพใหญ่ของพรรคหยางหมิงแล้ว ถือไพ่ตายในมือและหัวเราะกล่าว
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับสะดุ้งหวั่นไหวเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ระดับบรรพบุรุษและยอดฝีมือทั้งหมดของทุกๆ ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิต่างมองหน้ากันและกันในเวลานี้
ระดับบรรพบุรุษและยอดฝีมือของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิทั้งหมดต่างรวมตัวกันอยู่ที่ตรงนี้ ที่แย่ที่สุดก็คือ ในขณะนี้สันเขาหมื่นยอดพลันถูกตัดขาดกับโลกภายนอกไปทันที ภายในใจของทุกคนต่างรู้สึกมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้น
“เวลานี้แดนลัทธิพรรษอ่อนแอ สภาพความวุ่นวายทยอยกันปรากฏ พรรคหยางหมิงนำพาล้มเหลว ข้าคิดว่าสมควรแก่เวลาที่แดนลัทธิพรรษควรเปลี่ยนตัวผู้นำได้แล้ว” เวลานี้มู่เส้าเฉินยิ้มกล่าวขึ้นมา
ทุกคนต่างเสียวสันหลังวาบเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ต้องการยืนอยู่แนวร่วมเดียวกันกับมู่เส้าเฉิน ยิ่งรู้สึกหวาดผวาจนขนลุกซู่
“ถูกต้อง สมควรมีผู้ที่มานำพาแดนลัทธิพรรษก้าวสู่ความเจริญรุ่งเรือง แดนลัทธิพรรษสมควรมีผู้นำที่แข็งแกร่ง” เวลานี้ระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิพานหลงก็กล่าวสนับสนุนขึ้น
“พวกเราสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนผู้ที่มาเป็นผู้นำ” สุสานกระบี่และฝ่ายต่างๆ ทยอยกันแสดงท่าที
เวลานี้ บรรดาระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่ไม่ได้แสดงท่าทีถึงกับสะท้านภายในใจ เห็นทีนับจากวันนี้เป็นต้นไปแดนลัทธิพรรษจะต้องเปลี่ยนขั้วอำนาจแล้ว
“ให้มู่เส้าเฉินเข้ามาปกครองแดนลัทธิพรรษอย่างนั้นรึ?” นักพรตฉางเซินถึงกับหัวเราะและกล่าวเยาะเย้ยขึ้นมา
“ไม่ ข้าน้อยไหนเลยมีความสามารถเช่นนี้เล่า” มู่เส้าเฉินยิ้มกล่าวว่า “ตามความเห็นของข้า ให้เทพสงครามมังกรคชาธารมาเป็นผู้นำแดนลัทธิพรรษเหมาะสมที่สุดแล้ว ข้าในฐานะผู้เยาว์คนหนึ่งคอยรับใช้ให้กับเทพสงครามมังกรคชาธารก็พอแล้ว”
“สุนัขจิ้งจอกอาศัยบารมีเสือ” นักพรตฉางเซินยิ้มเย้ยหยัน
คำพูดของมู่เส้าเฉินยังคงทำให้ผู้มีปัญญาส่วนหนึ่งใจหายใจคว่ำ และหวาดผวาจนขนลุกซู่
แม้ว่ามู่เส้าเฉินจะผลักดันให้เทพสงครามมังกรคชาธารเป็นผู้นำของแดนลัทธิพรรษ แต่ว่า เทพสงครามมังกรคชาธารปรากฎตัวน้อยครั้งมาก ยิ่งไปกว่านั้นจะไม่สนใจเรื่องของโลกภายนอก อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างมู่เส้าเฉินกับจูเซียงหวู่ถิงแล้ว หากเขาได้แต่งงานกับหวู่ปิงหนิงอีกล่ะก็ ด้วยพรสวรรค์และฐานะของเขาก็จะกลายเป็นกระบอกเสียงของเทพสงครามมังกรคชาธาร ถึงเวลานั้นแล้วมิใช่ยังคงอำนาจอยู่ในมือรึ? และอำนาจทั้งหมดในแดนลัทธิพรรษก็จะอยู่ในความควบคุมของเขา
“เทพสงครามมังกรคชาธารคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแดนลัทธิพรรษ เขาออกหน้าเป็นผู้นำของแดนลัทธิพรรษเหมาะสมที่สุด” เวลานี้เสียงของเทพอินทรีหวินตู้ดังขึ้น
“ถูกต้อง เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็มาจัดการขจัดสิ้นกระแสพิษภัยของพรรคมาเสียก่อน” มู่เส้าเฉิน หัวเราะและกล่าวว่า “นักพรต หุบเขาอมตะพวกเจ้ากับจอมมารหลี่ชิเย่อยู่ด้วยกันไม่อาจดิ้นหลุดจากความสัมพันธ์นี้ไปได้” กล่าวพลางหัวเราะเสียงน่าเกลียดทีหนึ่ง เป็นการข่มขู่ที่เด่นชัดอย่างยิ่ง
“ให้สุสานกระบี่ของข้าชำระศิษย์ทรยศเสียก่อน” เวลานี้ระดับบรรพบุรุษของสุสานกระบี่จับตัวหลินซิม่อเอาไว้ กล่าวน่าเกรงขามว่า “เวลานี้เจ้าสำนึกยังทัน ถ้าหากเจ้าชี้ความผิดของจอมมารหลี่ชิเย่ต่อหน้าทุกคน บางทีอาจไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง”
“คุณชายเป็นคนดี เขาไม่ใช่จอมมาร” แม้ว่าหลินซิม่อจะถูกจับตัวและหวาดกลัว แต่ นางกลับไม่สั่นคลอน
“เจ้าศิษย์ทรยศ วันนี้จะประหารเจ้าเสีย” ระดับบรรพบุรุษสุสานกระบี่โกรธจัด
“ผู้อาวุโส แม่นางเช่นนี้ไหนเลยจะประหารได้ ให้ข้าเป็นผู้อบรมก็แล้วกัน” มู่เส้าเฉินหัวเราะทีหนึ่ง และจับหวู่ปิงหนิงที่ถูกมัดตัวเอาไว้เข้ามา และกล่าวว่า “ข้าจะให้พวกนางสองคนอยู่ข้างกาย อบรมอย่างดี”
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้เองกระจกเงาบานนั้นพลันแตกละเอียดกะทันหัน ปรากฎเป็นหลุมดำและมีคนผู้หนึ่งที่ก้าวออกมาจากหลุมดำนั่น
“เล่นกันไปครึ่งค่อนวัน ยังคงมีฝีมือเล็กน้อยเช่นนี้เอง นับว่าน่าเบื่อเหลือเกิน” ผู้ที่ก้าวเดินออกมาจากหลุมดำส่ายหัวกล่าวด้วยท่าทีเบื่อหน่าย
“หลี่ชิเย่…” มีผู้ร้องเสียงแหลมออกมา เมื่อมองเห็นผู้ที่ก้าวออกมาจากหลุมดำคนนั้น
………………………………………………………