ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2478 พวกไร้สมองทำไมถึงมีมากมาย
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2478 พวกไร้สมองทำไมถึงมีมากมาย
ชื่อเสียงของฮ่องเต้องค์ใหม่โด่งดังขจรไกลมานานแล้ว ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เวลานี้ใครบ้างไม่รู้จักฮ่องเต้องค์ใหม่ ดังนั้น เมื่อมองเห็นฮ่องเต้องค์ใหม่จึงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่แสดงท่าทีเหยียดหยามออกมา และมีคนจำนวนมากที่เมินใส่ฮ่องเต้องค์ใหม่ ต่อให้ไม่แสดงท่าทางที่เหยียดหยามออกมา สีหน้าก็แฝงด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา
ผู้คนส่วนใหม่ที่มองเห็นหลิ่วชูฉิงแล้ว ต่างรู้สึกเจ็บใจแทนและรู้สึกเสียดายแทน องค์หญิงหลินไห่ที่เป็นสาวงาม เป็นสตรีผู้สูงศักดิ์เช่นนี้ กลับจะต้องมาถูกฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เป็นสวะทำให้ลำบากไปชั่วชีวิต
หวนนึกไปถึงวันนั้น วันที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังครองราชย์อยู่ หากมีโอกาสได้พบกับฮ่องเต้องค์ใหม่ล่ะก็ เกรงว่าผู้คนจำนวนมากแทบอยากจะวิ่งเข้าไปคุกเข่าแทบเท้าและเลียเท้าฮ่องเต้องค์ใหม่ให้รู้แล้วรู้รอดไป
แต่ทว่า เวลานี้ ณ ท่าเรือขนาดเล็กเช่นนี้ แม้ว่าจะมีศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ยืนอยู่จำนวนไม่น้อย แต่ว่าไม่มีสักคนที่ยินดีเข้าไปทักทายฮ่องเต้องค์ใหม่ ไม่มีใครยินดีเข้าไปทักทายปราศรัยกับฮ่องเต้องค์ใหม่สักคน ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ใยดีต่อฮ่องเต้องค์ใหม่
แม้ว่าผู้คนจำนวนมากต่างดูถูกเหยียดหยามในตัวฮ่องเต้องค์ใหม่ และเมินใส่ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็ตาม แต่หลิ่วชูฉิงยังคงสนิทกับหลี่ชิเย่เช่นนั้น จังหวะที่หลี่ชิเย่คล้องแขนของนางนั้น นางได้ซบกับไหล่ของหลี่ชิเย่อย่างสนิทสนม
นาทีนี้กล่าวสำหรับหลิ่วชูฉิงแล้ว รู้สึกหวานชื่นอยู่ในใจ สามารถสนิทชิดใกล้จูงมือด้วยกันกับหลี่ชิเย่ มันเป็นสุขยิ่งสำหรับนางแล้ว และเต็มเปี่ยมสำหรับนางแล้ว หัวใจดวงนั้นของนางแช่อยู่ความหวานชื่น ส่วนคนอื่นจะมองหลี่ชิเย่อย่างไรนั้น นางไม่ได้ใส่ใจ
ตูมในเวลานี้เอง เสียงดังตูมตามดังขึ้นเป็นระลอก มองเห็นทัพอาชาขบวนหนึ่งวิ่งฮ้อเข้ามา ด้วยพลังที่เสมือนดั่งดันภูเขาพลิกน้ำทะเลอย่างนั้น ความรวดเร็วของทัพอาชาที่วิ่งฮ้อเข้ามานั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง ดุจดั่งน้ำหลากทีเป็นเหล็กไหลพุ่งชนเข้ามา ไม่มีสิ่งใดสามารถต้านการโจมตีของมันได้
ทัพอาชาขบวนนี้มีไพร่พลเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้นเอง แต่ทว่า สามารถมีท่าทีที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ ย่อมสามารถประเมินได้ว่า กองทัพอาชาลักษณะเช่นนี้มันน่าสยองขวัญและช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้
ฮี้เสียงม้าที่ร้องคำรามขึ้นมา ทัพอาชาขบวนนี้วิ่งฮ้อเข้ามาด้วยความเร็วที่สูงมาก ขณะที่วิ่งฮ้อมาถึงนั้นได้สร้างความหวาดผวาแก่ผู้คนอย่างยิ่ง ผู้คนจำนวนไม่น้อยตระหนกตกใจจนก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
แต่ทว่า ท่ามกลางเสียงม้าร้องนั้น ทัพอาชาขบวนนี้ก็ได้หยุดกึกลง ม้าศึกได้ยกเท้าหน้าขึ้นเสมือนดั่งเป็นรูปแกะสลักที่ยืนค้างอยู่อย่างนั้น เปี่ยมด้วยพลังไปทั่วบริเวณ
“ดี” ผู้คนจำนวนไม่น้อยทยอยกันปรบมือร้องเสียงเชียร์เสียงดัง เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว
“ไม่เสียทีที่เป็นกองทัพตระกูลหม่า ไม่เสียทีที่เป็นกองทัพที่คลุกคลีอยู่กับสมรภูมิรบมานาน ไม่เสียทีที่เป็นส่วนของกำลังรบที่แข็งแกร่งของกองทัพส่วนกลาง” ผู้คนจำนวนไม่น้อยส่งเสียงเชียร์และกล่าวชื่นชม เมื่อได้มองเห็นกองทัพอาชาที่มีอยู่สิบกว่าคนขบวนนี้ที่อยู่ตรงหน้า
ทัพอาชาขบวนนี้เป็นกองกำลังรบที่แข็งแกร่งนำโดยหม่าจินหมิงนั่นเอง เวลานี้เขานั่งอยู่บนหลังม้ามองดูอย่างทระนง และเสพสุขกับการส่งเสียงเชียร์จากผู้คนจนพอใจแล้ว จึงได้ก้าวกระโดดลงมาจากม้าศึก
“คุณชายหม่า ไม่พบกันเสียนาน” ผู้คนจำนวนไม่น้อยทยอยกันเดินไปกล่าวทักทายต่อหม่าจินหมิงเมื่อเขาได้กระโดดลงมาจากหลังม้าแล้ว ยอดฝีมือกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมากดูจะแสดงออกถึงความสนิทสนมกับหม่าจินหมิงยิ่งนัก
ในเวลานี้ ข้างกายของหม่าจินหมิงห้อมล้อมไปด้วยผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย จำนวนนั้นมีผู้ที่คอยประจบเขาอยู่ไม่น้อยทีเดียว ข้างกายของหม่าจินหมิงเรียกได้ว่าเป็นดาวล้อมเดือน เทียบกับสภาพที่เงียบเหงาวังเวงทางด้านของหลี่ชิเย่แล้ว เห็นภาพแตกต่างกันได้อย่างชัดเจน
ลองนึกภาพดู ครั้งนั้นขณะที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังครองบัลลังก์อยู่ เฉกเช่นหม่าจินหมิงที่บทบาทเล็กๆ ต่อให้คิดจะคุกเข่าเลียก็ต้องเข้าคิวยาวไปถึงด้านนอกตำหนักท้องพระโรงโน่น วันนี้แตกต่างจากวันวาน เวลานี้ไม่มีใครยินดีที่จะไปประจบฮ่องเต้องค์ใหม่อีกแล้ว กระทั่งละทิ้งและออกห่างไปให้ไกลด้วยซ้ำ
หม่าจินหมิงที่อยู่ภายใต้ดาวล้อมเดือนนั้นเรียกได้ว่ามีจิตใจที่ฮึกเหิม ถือเป็นผู้ที่มีความโดดเด่น เป็นมังกรแลหงส์ในหมู่ผู้คน แม้ว่าจะไม่เท่าราชันแท้จริงปาเจิ้น ไม่เท่าทังเฮ่อเสียง แต่ทว่าเขาก็นับว่าได้ยืนอยู่บนจุดสุงสุดของผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่แล้ว ยากจะหาผู้ต่อกรได้ในกลุ่มคนรุ่นใหม่
ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้อำนาจล้นฟ้าของผู้เป็นบิดา มีกองทัพส่วนกลางที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากกองทัพทั้งห้า ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าฐานะของหม่าจินหมิงนั้นสูงส่งเพียงใดแล้ว
ภายใต้การห้อมล้อมดุจดาวล้อมเดือน หลังจากที่หม่าจินหมิงได้ทักทายปราศรัยกับบรรดาผู้คนเหล่านั้นแล้ว สายตาได้ตกไปอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ แววตาของเขาพลันเย็นชา จากนั้นเดินเข้าไปหาหลี่ชิเย่
บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์พลันหลีกเป็นทางเมื่อเห็นหม่าจินหมิงเดินเข้าหาหลี่ชิเย่ ผู้คนจำนวนไม่น้อยพลันเผยให้เห็นท่าทางยิ้มเยาะขึ้นที่มุมปาก จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีเย็นชา
แม้ว่าผู้คนจำนวนมากจะเชิดใส่ฮ่องเต้องค์ใหม่อยู่ในใจ กระทั่งดูถูกเหยียดหยามฮ่องเต้องค์ใหม่ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วยังไม่ต้องการไปหาเรื่องฮ่องเต้องค์ใหม่ จะอย่างไรเสียผู้ยิ่งใหญ่แม้ตายไปก็ยังคงมีอิทธิพลอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามฮ่องเต้องค์ใหม่คือผู้ที่เคยกุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มาก่อน จะมากหรือน้อยก็ยังคงมีบารมีเหลืออยู่บ้าง โดยเฉพาะปัจจุบันราชวงศ์โต่วเซิ่นยังคงอยู่
หม่าจินหมิงเดินเข้าหาหลี่ชิเย่ แต่ทว่า หลี่ชิเย่เพียงจ้องมองทิวทัศน์ของทะเลสาบเท่านั้น ไม่ได้มองหน้าเข้าแม้แต่แวบเดียว
“หลี่ชิเย่” หม่าจินหมิงกล่าวน้ำเสียงเย็นชาเมื่อเดินเข้าไปใกล้
หลี่ชิเย่ไม่ได้มองหน้าเขาแม้แต่แวบเดียว และขี้คร้านจะไปตอบ เพียงจ้องมองทิวทัศน์ของทะเลสาบ เหมือนว่าไม่ได้ยินคำพูดของเขาอย่างนั้น
ในเวลานี้ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่สังหารเจิงยี่ปิง ขณะที่เจิงยี่ปิงก็คือน้องของหม่าจินหมิงซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เกรงว่าหม่าจินหมิงจะไม่ยอมเลิกราเพียงเท่านี้
ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้องค์ใหม่ในปัจจุบันได้สูญเสียอำนาจไปแล้ว ขณะที่หม่าจินหมิงดั่งพระอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่กลางหาว ถ้าหาหม่าจินหมิงต้องการสังหารฮ่องเต้องค์ใหม่ มันเป็นเรื่องที่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แต่ว่าหลี่ชิเย่ไม่ได้ให้ความสนใจต่อหม่าจินหมิงแม้แต่น้อย พลันทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องมองหน้ากันและกัน แม้ฮ่องเต้องค์ใหม่จะสูญเสียแผ่นดินไปแล้ว แต่มาดนั้นนับว่ายังมากพอดูอยู่
“เจ้าคนแซ่หลี่ เจ้าคงไม่ใช่กลัวจนกระทั่งความกล้าที่จะพูดกับแม่ทัพอย่างข้ายังไม่มีกระมัง? ” เมื่อหม่าจินหมิงเห็นว่าหลี่ชิเย่ไม่สนใจตน ดวงตาทั้งสองพลันไม่เป็นมิตร และกล่าวเสียงเย็นชาว่า “แต่ว่ามันก็ใช่เป็นเรื่องแปลก เฉกเช่นเจ้าที่เป็นเพียงสวะที่โง่เขลาเบาปัญญา สูญเสียบัลลังก์จนไม่เหลืออะไรอีกเลย ดังนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าแม่ทัพอย่างข้าเกรงว่าแม้แต่จะหายใจแรงอย่างไม่กล้าเลย”
เวลานี้ ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้และมองหน้ากันและกัน แม้ว่าทุกคนจะเมินใส่ฮ่องเต้องค์ใหม่ กระทั่งดูถูกเหยียดหยามด้วยซ้ำ แต่ทว่า ยังไม่มีใครที่กล้าชี้หน้าด่าหลี่ชิเย่ฉอดๆ เช่นนี้โดยตรง
แต่ทว่า หม่าจินหมิงในเวลานี้กลับให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ต้องอับอาย ความมั่นใจเช่นนี้ใช่ว่าจะมีกันได้ทุกคน
“ลูกของแม่ทัพที่ทรยศเท่านั้น ไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึง” ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่จึงได้หันหน้ากลับมาช้าๆ มองดูหน้าเขาแวบหนึ่ง กล่าวเรียบเฉยว่า “ต่อให้เป็นพ่อของเจ้าที่เป็นเพียงแม่ทัพทรยศอยู่ที่นี่ ก็ทำได้แค่คุกเข่าลงเลียเท้าให้กับข้า สำหรับเจ้า แม้แต่คุณสมบัติที่จะคุกเข่าเลียเท้าให้ข้ายังไม่มี”
“เจ้า” เมื่อถูกหลี่ชิเย่พูดขึ้นมาเช่นนี้ พลันทำให้หม่าจินหมิงไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ดวงตาทั้งสองดูไม่เป็นมิตรและกล่าวน่าครั่นคร้ามขึ้นมาว่า “วาจาสามหาวนัก เจ้ายังเข้าใจว่าเวลานี้เจ้าเป็นฮ่องเต้อยู่รึ? เวลานี้เจ้าเป็นเพียงคนหมดที่พึ่งไร้ญาติขาดมิตรเท่านั้น สวะที่ไม่มีค่าแม้แต่อีแปะเดียว! ข้ากลับต้องการรู้นักว่าเจ้าสามารถหยิ่งทะนงตนไปได้นานแค่ไหน วันนี้แหละข้าจะสั่งสอนเจ้า ให้เจ้าได้แยกแยะถึงความโหดร้ายของความเป็นจริงได้อย่างชัดเจน! ”
ครั้นหม่าจินหมิงเอ่ยมาถึงตรงนี้ได้ก้าวเท้าออกไปก้าวหนึ่ง หวังลงมือสั่งสอนหลี่ชิเย่
แต่ว่า หม่าจินหมิงยังไม่ทันได้วิ่งเข้าไปก็ถูกขุนพลเฒ่าผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายรั้งเอาไว้ โดยขุนพลเฒ่าผู้นี้ส่ายหน้าเงียบๆ กับเขา
สิ่งนี้ใช่ว่าเป็นเพราะขุนพลเฒ่าผู้นี้เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยนายน้อยของเขา แต่เป็นเพราะจะอย่างไรเสียหลี่ชิเย่ก็ยังคงเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ ยังคงเป็นฮ่องเต้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ เขายังไม่ได้ถูกปลดออกจากตำแหน่ง
ถ้าหากเวลานี้เข้าไปสั่งสอนเขาไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถอธิบายได้ จะอย่างไรเสียกองทัพส่วนกลางก็ยังคงเป็นกองทัพของราชวงศ์โต่วเซิ่น แม้ว่าก่อนหน้าจะเคยหันกลับมาโจมตีกันเอง นั่นก็เป็นเพราะทำตามความต้องการของอาณาประชาราษฎร์เท่านั้น
เวลานี้หากหม่าจินหมิงบุกไปสั่งสอนฮ่องเต้องค์ใหม่ นั่นเท่ากับเป็นการรังแกผู้อ่อนแอกว่าซึ่งไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของนายน้อยพวกเขา และไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของกองทัพส่วนกลางด้วย
แม้ว่ากองทัพส่วนกลางของพวกเขาจะมีอำนาจอยู่ในมือ ก็ไม่ต้องการให้มีจุดอ่อนตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น และเป็นขี้ปากของคนอื่น
หลังจากที่หม่าจินหมิงถูกขุนพลเฒ่ารั้งตัวเอาไว้แล้ว ไม่ง่ายนักกว่าเขาจะทำให้ความโกรธของเขาสงบลง จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีเย็นชา และกล่าวน่าครั่นคร้ามว่า “เจ้าคนแซ่หลี่ น้องข้าต้องไม่ตายเปล่าอย่างแน่นอน! ” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ส่งเสียงฮึเสียงดังขึ้นมา
หลี่ชิเย่ในเวลานี้ขี้คร้านจะไปสนใจเขาอยู่แล้ว เพียงมองดูทิวทัศน์ของทะเลสาบเท่านั้นเอง
ช่าาาเสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้เอง เสียงที่แล่นฝ่าเกลียวคลื่นดังขึ้น มองเห็นเรือลำหนึ่งที่แล่นเข้าอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงท่าเรือ
ครั้นเรือหยุดลง ปรากฏทุกคู่สายตาต่างตกไปอยู่บนตัวของผู้หญิงที่ยืนอยู่บริเวณหัวเรือ ผู้หญิงคนนี้ยืนรับกับสายลมที่พัดโชยเข้ามาหา เสมือนดั่งเป็นเทพธิดาที่ล่องลอยดั่งเซียนอย่างนั้น
เทพธิดาฉิน…ไม่รู้ว่าผู้คนจำนวนเท่าไรที่ผูกใจรักกับนางขึ้นมาโดยพลัน เผยให้เห็นท่าทีที่หลงใหล
ผู้ที่ยืนอยู่บริเวณหัวเรือก็คือฉินเจี้ยนเหยาแห่งวัดจิ้งเหลียนกวานนั่นเอง เวลานี้นางยืนอยู่ตรงนั้นดั่งเทพธิดาที่หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง มีความงดงามยิ่งนัก ทำให้ผู้คนจำนวนมากจ้องมองจนรู้สึกเมารัก
หลังจากเรือได้หยุดลงแล้ว สายตาของฉินเจี้ยนเหยาตกอยู่บนตัวของหม่าจินหมิง และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “การขึ้นไปบนเกาะไม่ค่อยสะดวกนัก ทำให้คุณชายหม่าต้องรอนานแล้ว ขอเชิญคุณชายหม่าและทุกท่านขึ้นเรือไปด้วยกัน”
หม่าจินหมิงและอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่อีกหลายคนเป็นผู้ที่ขึ้นเกาะเป็นชุดแรก ดังนั้น ฉินเจี้ยนเหยามาต้อนรับด้วยตนเอง ซึ่งก็เป็นการแสดงถึงฐานะที่สูงส่งของพวกเขา
“ต้องให้เทพธิดาฉินเหนื่อยใจแล้ว” หม่าจินหมิงดีใจเป็นอย่างยิ่งและก้าวขึ้นไปบนเรือ เดินเข้าไปใกล้ฉินเจี้ยนเหยา รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง คารวะแบบจีนและกล่าวว่า “สามารถร่วมชมทิวทัศน์ของทะเลสาบร่วมกับเทพธิดาฉิน ถือเป็นเกียรติของข้า”
สามารถได้รับการต้อนรับจากฉินเจี้ยนเหยาด้วยตนเอง เป็นการเติมเต็มจิตใจที่อยู่กับเกียรติ ยศจอมปลอมของเขาอย่างยิ่ง เขาถึงกับยืนอย่างทระนงยืดอกจนตัวตั้งตรงยิ่ง
ในเวลานี้ สายตาของฉินเจี้ยนเหยาได้ตกไปอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ จากนั้นพยักหน้าเบาๆ ถือเป็นการส่งความปรารถนาดี และกล่าวทักทายว่า “คุณชายหลี่ แม่นางหลิ่ว พบกันอีกแล้วนะ”
มาคราวนี้ ฉินเจี้ยนเหยาเรียกขานหลี่ชิเย่ว่า ’คุณชายหลี่’ โดยตรง และไม่ได้เรียกว่า ‘ฝ่าบาท’ อีก
หลิ่วชูฉิงเป็นมิตรกับทุกๆ คนอยู่แล้ว ดังนั้น นางจึงพยักหน้าเป็นการทักทาย ส่วนหลี่ชิเย่นั้น ขี้คร้านจะไปสนใจในฉินเจี้ยนเหยาอยู่แล้ว
ในสายตาของผู้อื่นมองว่าฉินเจี้ยนเหยาคือเทพธิดาที่ไม่อาจเอื้อมไปถึง ในสายตาของหลี่ชิเย่มองว่าไม่ได้ต่างอะไรกับมดปลวกสักเท่าไร เวลานี้นาทีนี้จึงขี้คร้านจะไปสนใจนาง
จังหวะที่หลี่ชิเย่ขี้คร้านไปให้ความสนใจในฉินเจี้ยนเหยานั้น ฉินเจี้ยนเหยายังไม่ทันแสดงอาการโกรธ หม่าจินหมิงพลันส่งเสียงฮึเย็นชาออกมา หัวเราะเยาะทีหนึ่ง กล่าวเสียงเย็นชาว่า “เจ้าคนแซ่หลี่ เจ้าคิดว่าตนเองยังคงเป็นฮ่องเต้อยู่จริงหรือนี่ การที่เทพธิดาฉินกล่าวทักทายกับเจ้านั้นเป็นโชควาสนาของเจ้า อย่าได้ทำเป็นคนอื่นให้เกียรติแล้วไม่สนใจ”
ในเวลานี้ หม่าจินหมิงย่อมหวังจะแสดงตัวสักหน่อย เพื่อได้รับความชื่นชมจากสาวงาม
…………………………………….