ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2537 ยอดฝีมือคุกหลวง
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2537 ยอดฝีมือคุกหลวง
ตอนที่ 2537 ยอดฝีมือคุกหลวง
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น หลี่ชิเย่พุ่งลงมาจากบนฟ้า ตกลงไปในคุกหลวงดึกดำบรรพ์ เมื่อขาทั้งสองข้าแตะถึงพื้นปรากฏทรายที่แตกกระจายขึ้นมา
หลังจากที่หลี่ชิเย่ยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ได้เหลียวมองเป็นรอบๆ ทุกๆ ที่ที่สายตามองเห็นคือรอยไหม้เป็นบริเวณกว้าง ทุกแห่งหนล้วนแล้วแต่เป็นทรายทั้งสิ้น
เมื่อมองดูทรายที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าอย่างละเอียด ทรายที่ตรงนี้แตกต่างกับทรายของทะเลทรายที่อยู่ด้านนอก ทรายของที่ตรงนี้ล้วนแล้วแต่ ออกเป็นสีน้ำตาลไหม้ เหมือนว่าทรายที่ตรงนี้ล้วนแล้วแต่เคยถูกไฟเผาไหม้มาแล้วอย่างนั้น และหรือจะกล่าวว่าถูกนำไปผัดในกระทะด้วยไฟแรงมาแล้ว เม็ดทรายทุกเม็ดจึงเป็นสีน้ำตาลไหม้ทุกเม็ด
อีกทั้งเม็ดทรายทุกเม็ดนอกจากจะมีสีน้ำตาลไหม้แล้ว ล้วนแล้วแต่มีลักษณะเป็นรูปผลึก และหรือก็คือพื้นผิวด้านนอกของเม็ดทรายได้กลายเป็นผลึก ขณะที่ด้านในยังคงเป็นเม็ดทราย
ถ้าหากคนที่มีความรู้ เมื่อมองเห็นเม็ดทรายทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะเช่นนี้ต้องใจหายใจคว่ำอย่างแน่นอน กระทั่งหวาดผวาจนขนลุกซู่
สามารถมีผลออกมาในลักษณะเช่นนี้มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นก็คือ ผ่านการเผาไหม้ด้วยอุณหภูมิที่สูงมากจนกลายเป็นเช่นนี้
อีกทั้งสิ่งนี้หาใช่เป็นเพียงการเผาผลาญของเปลวไฟทั่วไปแล้วได้รับประสิทธิผลเช่นนี้ เคยมีระดับปราศจากผู้ต่อกรลงมือด้วยการเผาผลาญผืนแผ่นดิน สามารถเผาผืนแผ่นดินจนกลายเป็นดินที่ไหม้เกรียม และหรือเผาจนกลายเป็นกระเบื้องเคลือบ แต่ว่า ผืนแผ่นดินที่พวกเขาทำการเผาไหม้ก็จะหลอมละลาย ไม่ว่าจะเป็นทราย หิน หรือดินก็จะหลอมรวมกันเป็นก้อน กระทั่งกลายสภาพเป็นกระเบื้องเคลือบ
แต่ทว่า การเผาไหม้ของที่นี่กลับเผาได้อย่างพอเหมาะ หลังจากที่ไฟที่ร้อนแรงได้โหมลุกไหม้ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทรายส่วนที่อยู่บนพื้นผิว หรือใต้ดิน ล้วนแล้วแต่ถูกเผาจนมีสภาพเหมือนกันอย่างกับแกะ กระทั่งเรียกได้ว่าเม็ดทรายทุกเม็ดได้ถึงขั้นกลายเป็นผลึกอย่างนั้น
และหรือกล่าวได้ว่า เม็ดทรายทุกๆ เม็ดล้วนแล้วแต่ได้รับการเผาไหม้ที่เท่าเทียมอย่างยิ่ง การที่สามารถทำให้ได้ถึงระดับเช่นนี้ ไม่เพียงต้องมีกำลังความสามารถที่ปราศจากผู้ต่อกรอย่างยิ่งเท่านั้น ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สามารถควบคุมไฟโลกันต์ถึงระดับที่สุดยอดมาก ประสิทธิผลที่ได้เกรงว่าระดับปฐมบรรพบุรุษก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ ต่อให้ทำได้ก็ต้องอาศัยเผาด้วยไฟอ่อน ซึ่งต้องใช้เวลามากเหลือเกิน
อย่างไรก็ตาม ทรายที่เห็นอยู่เต็มพื้นที่ตรงหน้าเหมือนเป็นการทำจนสำเร็จเสร็จสิ้นในขั้นตอนเดียว ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน มันเป็นสิ่งที่ถูกทำให้เกิดขึ้นด้วยไฟโลกันต์ที่ยอดเยี่ยมปราศจากผู้เทียบเทียม
จากนั้นมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ท้องฟ้ามีสภาพมืดครึ้มไปทั่ว แม้ว่าจะมีความแข็งแกร่งเพียงใด ต่อให้เปิดเนตรฟ้าส่องสว่างไปทั่วก็ไม่สามารถมองทะลุท้องฟ้าที่มืดครึ้มไปได้ เหมือนว่าท้องฟ้าได้ถูกปิดกั้นไปทั้งหมดอย่างนั้น นี่แหละคือกรงขังที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามหากถูกจับโยนเข้ามาอยู่ในนี้ ก็อย่าหวังได้ออกไปจากที่นี่ตลอดไป
หลี่ชิเย่มองดูกรงขังที่เต็มไปด้วยทรายทุกพื้นที่แล้วสูดลมหายใจเอาอากาศที่นี่เข้าปอดลึกๆ ทีหนึ่ง อากาศของที่นี่ร้อนแผดเผาเมื่อสูดเข้าไปในปอด รู้สึกเหมือนแสบร้อนอย่างหนึ่ง คล้ายลำคอถูกลวกไปทีหนึ่ง
หลี่ชิเย่แยกแยะอากาศที่ร้อนแผดเผานี้อย่างละเอียด และสามารถจับกลิ่นของดินได้เล็กน้อยจากอากาศที่ร้อนแผดเผานี้ โดยกลิ่นดินดังกล่าวมีความเปียกชื้นอยู่เล็กน้อย ของสิ่งนี้ภายใต้อากาศที่ร้อนแผดเผาเช่นนี้ยากที่จะแยกแยะออกมาได้ โดยพื้นฐานแล้วจะถูกมองข้ามไปไม่นับ
อยู่ที่นี่จริงๆ หลี่ชิเย่อดที่จะพึมพำขึ้นมาว่า ดูท่าตาเฒ่าช่างอุบเอาไว้ได้ดีเหลือเกิน ให้ปัญหาข้อยากกับข้า ต้องการให้ข้าเก็บรวมรวมให้ครบทั้งหมดอย่างนั้นรึ? ็น
หลี่ชิเย่หัวเราะนิดหนึ่ง เล็งหาทิศทางที่ถูกต้องได้แล้ว ก็ออกเดินทางต่อไป
เม็ดทรายที่เดินย่ำไปให้ความรู้สึกที่ร้อนแผดเผร การเดินอยู่ท่ามกลางทรายที่เต็มพื้นที่ หายใจด้วยการสูดเอาอากาศที่ร้อนแผดเผาเข้าไป ทำให้รู้สึกไม่สบายมากเป็นพิเศษ ยิ่งทำให้รู้สึกไม่สบายคือความกดดัน ภายใต้ความกดดันนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าตนเองนั้นจะต้องถูกสยบและพันธนาการเอาไว้ภายใต้กรงขังนี้ไปตลอดกาล เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า ทำให้ผู้คนเสียสติได้
หลี่ชิเย่ก้าวเดินไปข้างหน้าโดยตลอด ระหว่างทางไม่เพียงเต็มไปด้วยทรายที่เต็มพื้นที่เท่านั้น ภายใต้ด้านล่างของทรายยังฝังไว้ซึ่งโครงกระดูกเป็นจำนวนมาก โครงกระดูกที่ถูกฝังอยู่ท่ามกลางเม็ดทรายนั้นมีทุกรูปแบบ
โครงกระดูกบางโครงเรียกได้ว่ามีขนาดใหญ่โตมโหฬาร แค่กระดูกนิ้วก็มีความยาวถึงสิบจ้าง ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าขณะที่มันยังคงมีชีวิตอยู่มันคือสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่โตเช่นใด และก็มีโครงกระดูกขนาดเล็ก ซึ่งโครงกระดูกขนาดเล็กเหล่านี้ยังคงมีประกายของโลหะ ซึ่งบ่งบอกว่าบรรดาโครงกระดูกเหล่านี้ขณะมีชีวิตอยู่คือสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเพียงใด แม้ว่าจะตายมาเป็นเวลานานขนาดนี้ โครงกระดูกยังคงมีจิตวิญญาณอยู่
เมื่อพิจารณาโครงกระดูกเหล่านี้อย่างละเอียดก็จะพบว่า สิ่งมีชีวิตบางส่วนได้ตายไปไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้ว โครงกระดูกก็มีการเน่าเปื่อยผุพังไปแล้ว แต่ก็มีบ้างที่เพิ่งจะตายไปได้แค่หนึ่งถึงสองยุคสมัยเท่านั้นเอง
ย่อมไม่ต้องสงสัย ในยุคสมัยที่นาน เนิ่นนานมากๆ ก็มีสิ่งมีชีวิตถูกส่งเข้ามาอยู่ในนี้ อีกทั้งกระทั่งยาวนานกว่าก่อนที่จะมีการก่อตั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ขึ้นมาเสียอีก
สมควรทราบว่าปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่หาใช่เป็นผู้สร้างคุกหลวงดึกดำบรรพ์ ยิ่งไม่ใช่ตัวเขาที่เป็นผู้หลอมสร้างขึ้นมากับมือของตน มีคำเล่าลือว่า คุกหลวงดึกดำบรรพ์นั้น ปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่ได้มาจากเป้าผู่ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขา ดังนั้น เขาจึงได้ทำการฝังมันเข้าไปอยู่ภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่
และก็มีผู้ที่กล่าวว่า ปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่ไปได้คุกหลวงดึกดำบรรพ์มาจากพื้นที่แห่งความตายที่มีความเก่าแก่โบราณมาก เขาได้ลากเอามันมาและจัดการหลอมรวมเข้าไปอยู่ภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ช่วงที่มีการหลอมสร้างระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิในครั้งนั้น
สรุปก็คือ คุกหลวงดึกดำบรรพ์ดำรงอยู่ตั้งแต่ก่อนจะมีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เสียอีก อย่างน้อยที่สุดใครคือเจ้าของคนแรกของคุกหลวงดึกดำบรรพ์เขามีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ไม่มีใครทราบได้แล้ว
ตลอดทางที่หลี่ชิเย่ก้าวเดินไปข้างหน้า ได้พบเจอโครงกระดูกจำนวนไม่น้อยทีเดียว ซึ่งสามารถประเมินได้ว่า ในยุคของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ทางระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้เคยโยนเอานักโทษลงมาในนี้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งบรรดานักโทษที่ถูกจับโยนเข้ามานั้นล้วนแล้วแต่มีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่ว่า บรรดาคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ตายอยู่ข้างในนี้
ภายหลังทางระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จึงได้ค่อยๆ ไม่มีการโยนนักโทษเข้าไปในคุกหลวงดึกดำบรรพ์อีกต่อไป กระทั่งถึงยุคของฮ่องเต้ไท่ชิงก็ได้เริ่มโยนนักโทษเข้าไปในคุกหลวงดึกดำบรรพ์อีกครั้งหนึ่ง
ความจริงแล้ว นอกเหนือจากยุคของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่แล้ว ยังคงมีโครงกระดูกจำนวนมากที่เกิดขึ้นก่อนระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าก่อนยุคของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ก็ได้มีนักโทษหรือสิ่งมีชีวิตจำนวนมากถูกโยนลงมา ส่วนที่ว่าเพราะอะไรจึงได้มีสิ่งมีชีวิตหรือนักโทษถูกจับโยนลงมาจำนวนมากมายถึงเพียงนี้นั้น เป็นเพราะมันคือคุกหลวงเท่านั้นเองรึ? คงไม่อาจทราบถึงคำตอบได้แล้ว
หลี่ชิเย่ก้าวเดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าได้ก้าวเดินไปนานเท่าไรแล้ว สรุปก็คือ ท่ามกลางฟ้าดินที่เงียบสงัดนี้เสมือนหนึ่งไม่สามารถรับรู้ถึงกาลเวลาที่ล่วงเลยไปอย่างนั้น
แหะ แหะ แหะมีตัวเป็นๆ มาแล้ว จังหวะที่หลี่ชิเย่ไม่รู้ว่าตัวเองได้ก้าวเดินมานานเท่าไรแล้วนั้น เสียงหัวเราะที่น่าเกลียดเสียงหนึ่งดังขึ้น ติดตามด้วยร่างเงาของคนผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากเนินทราย
ผู้ที่โผล่ออกมาจากเนินทรายถึงกับเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง ผู้เฒ่าผู้นี้มีแขนแปดแขน แม้ว่าท่าทีของผู้เฒ่าผู้นี้มองดูแล้วออกจะแก่หง่อมนิดหนึ่ง กระทั่งให้ความรู้สึกว่าพลังลมปราณของเขาได้ถดถอยลงแล้ว แต่ว่าแขนทั้งแปดของเขากลับดูแข็งแกร่งมีพลัง ที่ดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าก็คือแขนทั้งแปดของเขาล้วนแล้วแต่ปรากฎประกายสีทองแวบวับ แขนทั้งแปดประดุจดั่งหล่อขึ้นมาจากทองคำบริสุทธิ์อย่างนั้น
ในขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อบนแขนทั้งแปดที่นูนขึ้นมาของเขาแลดูเหมือนเป็นมังกรทองแต่ละตัวที่พันอยู่บนแขนของเขาอย่างนั้น แลดูอลังการอย่างยิ่ง
เสียงช่าาาเสียงหนึ่งดังขึ้น ผู้เฒ่าผู้นี้เพิ่งจะโผล่ขึ้นมา เนินทรายอีกแห่งที่อยู่ด้านข้างพลันปรากฎทรายที่แตกกระจาย ปรากฏหัววัวขนาดยักษ์ที่มุดขึ้นมา
ได้ยินเสียงดังปังขึ้นมาเสียงหนึ่ง มองเห็นร่างเงาที่สูงใหญ่ร่างหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากเนินทราย ขณะที่เขาลงมาบนพื้นนั้นคล้ายดั่งเป็นภูเขาลูกหนึ่งที่กระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ทำให้ทรายที่อยู่รอบๆ ล้วนแล้วแต่ส่งเสียงดังช่าาา ช่าาาขึ้นมา
คนผู้นี้เป็นมนุษย์หัววัวที่มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำมาก บนตัวของมนุษย์หัววัวมีขนวังที่ทั้งยาวและหยาบขึ้นเต็มตัว เมื่อเขาสะบัดตัว ปรากฏขนวัวทั้งหมดบนตัวถูกสะบัดจนเคลื่อนไหวเสมือนดั่งเป็นน้ำตกอย่างนั้น
บนศีรษะของมนุษย์หัววัวมีเขาสองข้างที่ยาวและมีขนาดใหญ่มาก เขาวัวคู่นี้ทั้งดำและมันวาว เสมือนหนึ่งผ่านการเจียระไนมาอย่างนั้น ในมือของมนุษย์หัววัวถือขวานหินอยู่เล่มหนึ่ง ดูเหมือนเต็มไปด้วยความรุนแรงอย่างนั้น
บนตัวของมนุษย์หัววัวจากช่วงเอวลงไปสวมผ้าผ้าหยาบอยู่ผืนหนึ่ง เหมือนว่าไม่เคยได้เปลี่ยนใหม่มานานมากแล้ว และดูเก่าและขาดอยู่บ้าง
แหะ แหะ แหะในสถานที่ที่ไม่มีผู้ใดอยากจะมาแห่งนี้ ไม่เคยได้กินเนื้อมาหลายหมื่นปีแล้วล่ะ มนุษย์หัววัวผู้นี้ที่มือกำขวานหิน เบิ่งตาวัวของเขา ดูจะมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ลิ้นที่หนาเตอะแลบออกมาเลียริมฝีปากทีหนึ่ง น้ำลายไหลยืดตลอดเวลา และกล่าวว่า เจ้าหนูดูไปแล้วน่าจะมีเนื้อหนังนุ่ม กินอร่อยแน่นอน
ยายเฒ่าก็รู้สึกว่าน่าอร่อย ในพริบตาเดียวนั้นเอง ปรากฏร่างเงาอีกร่างหนึ่ง เป็นยายเฒ่าผู้หนึ่งซึ่งมีผมขาวขึ้นบนหัว และใบหน้าก็มีรอยเหี่ยวย่นแล้ว แต่ว่าสามารถมองออกได้ว่าขณะที่นางยังอ่อนเยาว์นั้นเป็นสาวงามคนหนึ่ง แม้ว่าจะถูกกักขังอยู่ในพื้นที่ที่เป็นทะเลทรายมาเป็นเวลานับไม่ถ้วนแล้ว เสื้อผ้าที่นางสวมใส่บนตัวยังคงปราศจากฝุ่น ยังคงสะอาดสะอ้านเหมือนเดิม
ดวงตาคู่นั้นของยายเฒ่าดูจะสุกใสแวววาวเป็นพิเศษ จ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า เนื้อหนังที่อ่อนนุ่มเช่นนี้ ข้าคิดว่านำมาย่างกินน่าจะไม่เลวนัก ย่างจนน้ำมันหยดติ๋งๆ ย่างจนกลายเป็นสีเหลืองทอง ทั้งนุ่มทั้งกรอบ รสชาติเนื้อหอมมันเต็มปากเต็มคำ
แหะ ข้าคิดว่าต้มกินจะอร่อยมากกว่า ผู้เฒ่าที่มีแขนแปดแขนดั่งมังกรทองดวงตาทั้งสองเปล่งประกายออกมา กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า น้ำซุปเข้มข้นเต็มหม้อ หอมหวานแก้หิว สมบูรณ์แบบ
เอาล่ะ วัวคลั่ง มังกรทองแปดแขน เทพไฉไลหงส์อำมหิต พวกเจ้าทั้งสามอย่าทำให้เจ้าหนุ่มตกใจสิ คนเขาเพิ่งจะมาถึง ในเวลานี้เอง เสียงที่สุภาพและดูมีมารยาทเสียงหนึ่งดังขึ้น มองเห็นนักพรตผู้หนึ่งก้าวเดินมาถึง
นักพรตผู้นี้เป็นผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งหมด นักพรตผู้นี้ดูไปแล้วเป็นคนวัยกลางคน บนตัวสวมเสื้อคลุมยาวสีแดง ในมือถือพัดขนนกสีแดงชาด มองดูเหมือนเป็นเมฆไฟอย่างนั้น
เมื่อนักพรตผู้นี้เดินเข้ามาใกล้พลันทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นทันที ทำให้ผู้คนรู้สึกร้อนแผดเผามากยิ่งขึ้น เหมือนว่ามีเตาไฟกำลังอบทุกๆ คนอยู่ข้างๆ อย่างนั้น
แหะ อวี่เหยียนเซิน คนโฉดที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาอย่างเจ้ากลายเป็นคนพูดดีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือเป็นเพราะว่าถูกขังอยู่ในสถานที่บ้าๆ แห่งนี้นานเกินไป จิตแห่งการฆ่าก็ถูกฝนจนเรียบไปแล้ว มนุษย์หัววัว หรือก็คือวัวคลั่งส่งเสียงหัวเราะแหะแหะ คำพูดของเขาดั่งระฆัง มีความก้องกังวานยิ่งนัก กระทั่งสามารถกล่าวได้ว่าคำพูดของเขาดุดเสียงร้อง
มิได้ นักพรตผู้นี้ หรือก็คืออวี่เหยียนเซินส่ายหน้า และกล่าวว่า ไม่ง่ายนัก กว่าสถานที่ที่เงียบสงัดแห่งนี้จะมีคนใหม่มาสักคน มันช่างเป็นเรี่องที่น่าสนุกเหลือเกิน พวกเรากำลังต้องการรู้ว่าสภาพของโลกภายนอกในเวลานี้
เมื่อทั้งสามคนได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วพลันจ้องมองกันและกัน พวกเขาต่างตาลุกวาวขึ้นมา และพยักหน้าพร้อมๆ กัน
พูดไปก็ถูก พวกเขาถูกกักขังอยู่ในนี้นานเกินไปแล้ว พวกเขาไม่รู้อะไรอีกเลยเกี่ยวกับโลกภายนอก เวลานี้ด้านนอกพลันมีผู้มาใหม่คนหนึ่งกะทันหัน กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว เป็นการนำมาซึ่งข่าวคราวของโลกภายนอกอย่างไม่ต้องสงสัย
อวี่เหยียนเซินพูดถูก ยายเฒ่าผู้นั้น หรือก็คือเทพไฉไลหงส์อำมหิต ได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า ข้ากลับต้องการรู้ว่าเจ้าแก่ฮ่องเต้ไท่ชิงตายอยู่ตรงหน้าพวกเราหรือยัง
……………………………………………….