ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2552 ลงมือเถอะ
ตอนที่ 2552 ลงมือเถอะ
พวกของโต้วจ้านหวงต่างรู้สึกโล่งอกไปทีเมื่อเห็นพวกของปิ้งจวินล้วนแล้วแต่ถอยออกไป จะอย่างไรเสียศัตรูของพวกเขาคือหลี่ชิเย่ พวกเขาไม่ต้องการเอากำลังมาสิ้นเปลืองกับคนอื่น ยิ่งไม่ต้องการให้มีปัญหาอื่นเข้ามาแทรก
พวกของโต้วจ้านหวงต่างรู้สึกโล่งอกไปทีเมื่อเห็นพวกของปิ้งจวินล้วนแล้วแต่ถอยออกไป จะอย่างไรเสียศัตรูของพวกเขาคือหลี่ชิเย่ พวกเขาไม่ต้องการเอากำลังมาสิ้นเปลืองกับคนอื่น ยิ่งไม่ต้องการให้มีปัญหาอื่นเข้ามาแทรก
แม้ว่าการถอยกลับออกไปของพวกปิ้งจวินทำให้โต้วจ้านหวงหายใจด้วยความโล่งอก แต่ ก็ได้ทำให้ในใจของพวกโต้วจ้านหวงเครียดขึ้นมา แม้แต่ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะเช่นปิ้งจวินยังแสดงออกถึงการให้ความเคารพอย่างยิ่งต่อหลี่ชิเย่ เกรงว่าสิ่งนี้หาใช่เพียงแค่หลี่ชิเย่ได้ช่วยพวกเขาออกมาจากคุกหลวงดึกดำบรรพ์เท่านั้น หรือบางทีอาจเป็นตามที่พวกเขาได้คาดเดาเอาไว้ก่อนหน้าว่า หลี่ชิเย่นั้นลึกล้ำยากจะหยั่งถึงจริงๆ ?
ก่อนหน้านั้น พวกของโต้วจ้านหวงไม่ได้มีความมั่นใจมากนักในกำลังความสามารถของตนสักเท่าไร และไม่ได้ตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะสามารถสยบหลี่ชิเย่เอาไว้ได้ สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีความหวังก็คือท่าไม้ตายของพวกเขา จะอย่างไรเสียท่าไม้ตายของพวกเขาทรงพลังปราศจากผู้เทียบเทียมอย่างแท้จริง มิฉะนั้นล่ะก็ การที่ฮ่องเต้ไท่ชิงเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวใต้หล้า มีกำลังทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ พวกเขาคงไม่สามารถอยู่มาได้อย่างปลอดภัยแล้ว
ด้วยเหตุที่ท่าไม้ตายของพวกเขามีความแข็งแกร่งเพียงพอนี้เอง แม้แต่ฮ่องเต้ไท่ชิงก็หวั่นเกรงอยู่สามส่วน ไม่กล้าทำอะไรพวกเขา
ด้วยเหตุนี้ สิ่งนี้ก็คือสิ่งที่สร้างความมั่นใจได้มากที่สุดสำหรับการมาของพวกเขาในครั้งนี้ ขณะเดียวกันก็เป็นสาเหตุที่พวกเขาต้องการเชือกเก้าเซียนไว้ในมือให้ได้ เนื่องจากหากปล่อยให้หลี่ชิเย่บรรลุเชือกเก้าเซียนได้ในวันใด ก็จะส่งผลกระทบสั่นคลอนต่อฐานะของพวกเขาได้โดยตรง และทำให้ท่าไม้ตายที่อยู่ในมือของพวกเขาสูญเสียอานุภาพไป
เมื่อปราศจากการสยบของท่าไม้ตาย และหลี่ชิเย่ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้แล้ว ใช่เพียงแค่สยบพวกเขาเท่านั้น เกรงว่าสามารถทำลายสำนักของพวกเขาได้ทุกเมื่อ หากไม่มีพลังและธาตุแท้ภายในอย่างเพียงพอไปสยบหลี่ชิเย่เอาไว้ พวกเขาก็จะสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
ดังนั้น พวกเขาสามารถสนับสนุนให้หลี่ชิเย่เป็นฮ่องเต้ได้ แต่ต้องมอบเชือกเก้าเซียนออกมา พวกเขาไม่สามารถปล่อยให้ของอย่างเชือกเก้าเซียนมาสั่นคลอนท่าไม้ตาของพวกเขา!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ให้ข้าได้เห็นท่าไม้ตายของพวกเจ้าก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่ยืนอยู่ที่ตรงนั้น มองดูพวกของโต้วจ้านหวงแวบหนึ่ง ยิ้มกล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
ในเวลานี้ พวกของโต้วจ้านหวงสี่คนต่างมองตากันและกัน สุดท้าย โต้วจ้านหวงได้เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ฝ่าบาท พวกเราไม่จำเป็นต้องอาศัยกำลังมาแก้ไขเสมอ จะอย่างไรเสียพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นข้ากับฝ่าบาทต่างก็กำเนิดจากราชวงศ์โต่ว่เซิ่นเช่นกัน”
“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่อดที่จะเผยรอยยิ้มที่ลึกซึ้งออกมา สำหรับคำพูดที่เจรจาสงบศึกและอ่อนข้อให้ของโต้วจ้านหวง
“พวกเราไม่ได้มีอคติ และไม่ได้คิดร้ายใดๆ ต่อฝ่าบาท” โต้วจ้านหวงเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “เพียงแต่เชือกเก้าเซียนคือชีพจรชีวิตระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ของพวกเรา พวกเรามีจิตผูกพันอยู่กับใต้หล้า เมื่อครู่นี้เพียงแต่ใจร้อนไปนิดหนึ่งกระทำการบุ่มบ่าม หากมีสิ่งใดล่วงเกิน ขอฝ่าบาทโปรดให้อภัย”
“จากนั้นล่ะ?” หลี่ชิเย่ไม่ได้เลิกกระทั่งหนังตาด้วยซ้ำ เขาทำตัวเสมือนหนึ่งเป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น โดยที่เรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ท่าทางเหมือนกำลังดูความคึกครื้นอย่างนั้น
“พวกเราต่างยินดีสนับสนุนฝ่าบาท ยินดีศิโรราบให้กับฝ่าบาท ทหารทั่วหล้าล้วนแล้วแต่สวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาท ขอเพียงฝ่าบาทมีบัญชา เหล่าสำนักทั่วหล้าไม่กล้าขัดรับสั่ง” โต้วจ้านหวงเอ่ยขึ้นช้าๆ
พลันที่โต้วจ้านหวงพูดคำๆ นี้ออกมา ได้ทำให้ทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่กระซิบในใจว่า “หรือพวกของโต้วจ้านหวงต้องการเจรจาสงบศึกกับฮ่องเต้องค์ใหม่แล้วรึ?”
“เพียงแต่มีเงื่อนไข ให้ข้ามอบเชือกเก้าเซียนออกมา” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มที่ลึกซึ้งขึ้นมา
“จะพูดว่าฝ่าบาทมอบเชือกเก้าเซียนออกมาก็ไม่ถูก” โต้วจ้านหวงเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เชือกเก้าเซียนคืออาวุธสำคัญปราศจากผู้ต่อกรใต้หล้า สิ่งของลักษณะเช่นนี้คือชีพจรชีวิตของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ สมควรมีผู้คอยดูแลควบคุม พวกเราแค่เชิญปรมาจารย์ทั่วหล้าร่วมกับรับภาระหนักอึ้งนี้เอาไว้เท่านั้น เชือกเก้าเซียนยังคงเป็นของฝ่าบาท ยามที่ฝ่าบาทต้องการ ยังคงอัญเชิญเชือกเก้าเซียนออกมาได้ ยังคงสามารถกุมเชือกเก้าเซียนอยู่ในมือได้”
“หากฝ่าบาทยินดีให้เชือกเก้าเซียนได้รับการควบคุมดูแล ก็เป็นการประกาศให้ทราบทั่วกันว่าฝ่าบาทไม่ได้มีจิตที่เห็นแก่ตน แต่มีจิตที่ผูกอยู่กับใต้หล้า ทำเพื่อความสุขของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ผู้คนใต้หล้าล้วนแล้วแต่ยินดีรับการบัญชา ไม่เว้นแม้แต่พวกเรา เมื่อถึงตอนนั้น ขอเพียงฝ่าบาทมีบัญชา วัดจิ้งเหลียนกวานทุกระดับชั้นของพวกเรายินดีไปตายแทนฝ่าบาท” ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดวัดจิ้งเหลียนกวานก็เอ่ยขึ้นช้าๆ
“ถูกต้อง ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือก็ยินดีรับใช้” ปิงฉือเจี๋ยจุนก็แสดงท่าทีขึ้นมาทันที และกล่าวว่า “เพียงมีบัญชาการ ศิษย์จำนวนสิบล้านคนยินดีไปตาย”
“แคว้นว่านเจิ้นทุกระดับชั้นก็ยินดีรับการบัญชา” ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดแคว้นว่านเจิ้นก็กล่าวแสดงท่าทีขึ้นมา
บรรดาผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน เมื่อได้ยินพวกของโต้วจ้านหวงต่างทยอยกันแสดงท่าทีออกมา มีผู้ที่กระซิบแผ่วเบาว่า “การค้าเช่นนี้ฟังดูเหมือนไม่ได้เสียเปรียบอะไร เพียงแค่ควบคุมดูแลเท่านั้นเอง แลกมาซึ่งการสวามิภักดิ์ทั่วหล้า มันช่างเป็นเรื่องที่ดีเหลือเกิน”
ระดับบรรพบุรุษส่วนหนึ่งที่มองไปไกลมากกว่านั้นได้แต่หัวเราะเยาะคำหนึ่ง เมื่อขาดสิ่งที่สามารถสั่นคลอนต่อท่าไม้ตายของพวกเขาได้ ต่อให้ใต้หล้าให้การสวามิภักดิ์ต่อฮ่องเต้องค์ใหม่ก็ตาม จะมากหรือน้อยก็ต้องสูญเสียสิทธิในการเป็นฝ่ายรุกไปบ้าง สิ่งนี้เองที่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฮ่องเต้ไท่ชิงไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ตลอดเวลาที่ผ่านมา
“จะว่าไปแล้ว ฝ่าบาทก็ไม่ได้เสียหายอะไร เชือกเก้าเซียนแค่มีผู้ควบคุมดูแลเท่านั้น ขณะที่ฝ่าบาทกลับได้รับการยอมรับจากอาณาประชาราษฎร์ทั่วหล้า เปิดศักราชที่เจริญรุ่งเรืองสุดขีด ล้ำหน้าคนก่อนหน้าและไม่มีใครเทียบในอนาคต มีชื่อเสียงเลื่องลือตลอดกาล ฝ่าบาทเห็นเป็นเช่นใดเล่า?” ในเวลานี้ โต้วจ้านหวงได้ชี้นำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อหลอกล่อหลี่ชิเย่อยู่
กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว เวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ฉวยโอกาสที่หลี่ชิเย่ยังไม่ทันได้บรรลุเชือกเก้าเซียนด้วยการให้เขามอบเชือกเก้าเซียนออกมาก่อน มิฉะนั้นล่ะก็ วันใดที่เขาบรรลุได้เป็นผลสำเร็จ สถานการณ์ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป เมื่อถึงขั้นนั้นแล้ว ไม่แน่นักใต้หล้าก็จะไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเขา คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ดี ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือก็ช่าง เกรงว่าจะต้องหายวับไปกับตาในชั่วพริบตา
เหมือนดั่งเช่นฮ่องเต้ไท่ชิงในครั้งนั้นอย่างนั้น หรือฮ่องเต้ไท่ชิงในครั้งนั้นไม่เคยคิดที่จะสังหารพวกเขาทิ้งไป กวาดห้าแกร่งให้ราบคาบ? ฮ่องเต้ไท่ชิงย่อมเคยคิด เพียงแต่เขามีความหวั่นเกรงอยู่เท่านั้นเอง มิฉะนั้นล่ะก็ ฮ่องเต้ไท่ชิงคงสร้างราชวงศ์ที่มีตัวเขาเป็นผู้อยู่สูงสุดที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองแล้ว
“อาณาประชาราษฎร์ทั่วหล้าให้การยอมรับ?” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่งและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าต้องการอาณาประชาราษฎร์ทั่วหล้าให้การยอมรับมาทำอะไร? สำหรับพวกเจ้านั้น พวกเจ้าจะยอมศิโรราบหรือไม่ พวกเจ้ายินดีฟังคำสั่งข้าหรือไม่นั้น ข้าต้องแคร์รึ? ข้าไม่แคร์แม้แต่น้อย ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อข้า ไม่ยอมรับการบังคับบัญชาของข้าก็ไม่มีปัญหา เหยียบให้ราบคาบก็สิ้นเรื่อง ใช่ว่าจะเป็นเรื่องยากเย็นอะไร”
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ทำท่าบิดขี้เกียจทีหนึ่ง และกล่าวว่า “เอาล่ะ คำพูดที่ไร้สาระทุกคนต่างพูดกันมามากแล้ว อย่าได้พูดไร้สาระอีกต่อไปแลย เวลานี้ไม่ก็พวกเจ้าคุกเข่ายอมศิโรราบ ไม่ก็เด็ดเอาหัวของพวกเจ้าออกมา”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำนี้ออกมา สีหน้าของพวกโต้วจ้านหวงพลันเปลี่ยนไปทันที พวกเขาต่างมองตากันและกัน และต่างเข้าใจแล้วว่า ระหว่างพวกเขาเป็นไปได้ที่จะเจรจาสันติกันอีกแล้ว
“เหยียบใต้หล้าให้ราบคาบ เจ้าคิดว่าจะไม่มีแรงต้านจริงๆ หรือนี่? เจ้าคิดว่าในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่สามารถปล่อยให้เจ้าทำตามอำเภอใจได้อย่างนั้นรึ?” ปิงฉือเจี๋ยจุนร้องกล่าวเสียงดังขึ้นมา
“จะมีแรงต้านอะไร?” หลี่ชิเย่มองหน้าพวกเขาแวบหนึ่ง และกล่าวว่า “อาศัยพวกเจ้ารึ? แค่มดปลวกฝูงหนึ่งเท่านั้น อาศัยแค่สองสามหมัดก็สังหารพวกเจ้าได้แล้ว”
พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา สีหน้าของพวกโต้วจ้านหวงดูไม่จืดถึงขีดสุด ชั่วดีอย่างไรพวกเขาก็อยู่ในฐานะจุดสูงสุด ถึงกับถูกหลี่ชิเย่ดูเหมือนมดปลวก พูดจนไร้ค่าเหลือที่จะทนได้
“เจ้าเด็กน้อยโง่เขลา เจ้าโอหังมากไปแล้ว ข้านี่แหละอยากจะดูว่าเจ้าจะอาศัยสองสามหมัดเอาชนะพวกเราได้อย่างไรกัน!” ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดแคว้นว่านเจิ้นที่มีเพลิงแค้นสุมเต็มอกมาโดยตลอด สุดที่จะทนมานานแล้วอดที่จะคำรามพูดเสียงดังขึ้นมา
กล่าวสำหรับปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดแคว้นว่านเจิ้นแล้ว พวกเขากับหลี่ชิเย่มีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกได้อยู่แล้ว ราชันแท้จริงปาเจิ้นตายด้วยน้ำมือของหลี่ชิเย่ พวกเขาโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในตัวหลี่ชิเย่มานานแล้ว เพื่อส่วนรวมเขาจึงได้อดกลั้นเพลิงโกรธมาจนถึงเวลานี้
เวลานี้การเจรจาด้วยวิธีสันติหมดหวังแล้ว ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดแคว้นว่านเจิ้นไหนเลยจะอดกลั้นต่อไปได้อีก คำรามเสียงดังขึ้นมาพร้อมกับมือขนาดใหญ่ที่ยื่นออกไป ได้ยินเสียงดังแว้งค์ดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง มองเห็นเพียงฝ่ามือที่ปรากฏเป็นภาพค่ายกลลอยขึ้นมา ตามติดด้วยเสียงดังตึง ตึง ตึงที่เป็นเสียงโลหะดังขึ้นมาเป็นระลอกไม่ขาดสาย
จังหวะที่ได้ยินเสียงตึง ตึง ตึงดังขึ้นมานั้น มองเห็นโลหะศักดิ์สิทธิ์แต่ละชิ้นที่ประกบเข้าด้วยกัน และประกบเข้ากับแขนของปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดแคว้นว่านเจิ้นโดยพลัน
เสียงตูม…ดังสนั่น เพียงพริบตาเดียวนั่นเอง โลหะศักดิ์สิทธิ์และค่ายกลหลอมรวมเข้าด้วยกัน ปะทุเป็นเปลวไฟเซียนที่ไม่มีสิ้นสุดขึ้นมา ได้ยินเสียงแว้งค์ดังขึ้นเสียงหนึ่ง เสมือนหนึ่งประตูขนาดยักษ์ปราศจากผู้เทียบเทียมถูกเปิดออกอย่างนั้น บนท้องฟ้าปรากฏลวดลายค่ายกลลอยขึ้น มองเห็นฝ่ามือขนาดยักษ์ยื่นออกมาจากลวดลายค่ายกลนั่น
มือขนาดยักษ์ข้างนี้ได้พวยพุ่งประกายเซียนไม่มีสิ้นสุดออกมา มีความน่าเกรงขามและกว้างใหญ่ไพศาล ยามที่มันยื่นออกมาจากภาพค่ายกลมานั้น ได้สยบลงมาโดยตรง
มือขนาดใหญ่ที่สยบลงมาเสมือนดั่งเมือเซียนที่ปราบโลกธาตุอย่างนั้น มือข้างเดียวที่ปราบโลกธาตุปราศจากผู้ต่อกร ภายใต้พลังที่น่ากลัวปราศจากผู้ต่อกรนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเสมือนดั่งถูกทำลายจนพังพินาศย่อยยับอย่างง่ายดาย ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่แตกละเอียดในทันที
มือยักษ์ที่สยบและปราบปรามเช่นนี้น่าเกรงขามและปราศจากผู้ต่อกร ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกหวาดผวากลัว ผวาจนขนลุกซู่
“ความสามารถอันน้อยนิด” หลี่ชิเย่ไม่ได้เลิกกระทั่งหนังตาด้วยซ้ำ เพียงมือข้างเดียวที่ยื่นออกไป จับฟ้าคว้าดิน ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในกำมือ
ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น มองเห็นมือขนาดใหญ่ของหลี่ชิเย่พลันจับมือเซียนข้างนั้นที่ยื่นลงมาจากบนฟ้า ตามติดด้วยเสียงปัง ปัง ปังที่ดังขึ้นไม่ขาดสาย หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้คว้าจับมือเซียนข้างนั้นได้แล้วก็จัดการฟาดกับฟื้นอย่างแรง พลันจัดการทำให้ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดแคว้นว่านเจิ้นล้มลง และฟาดลงกับพื้นอย่างแรง ฟาดจนตัวเขาเลือดแตกกระจายรุนแรงออกมา
อ๊ากกก…เสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้น ได้ยินเสียงแคว่กกกเสียงหนึ่งดังขึ้น เลือดสดๆ ที่พุ่งแตกกระจายแขนข้างหนึ่งของปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดแคว้นว่านเจิ้นถูกหลี่ชิเย่จับฉีกออกมาเป็นๆ
ทุกคนต่างถูกทำให้หวั่นไหว เมื่อมองเห็นวิธีการที่หลี่ชิเย่จับปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดแคว้นว่านเจิ้นเอาไว้นั้น ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าช่างมีพลังปะทะมากเหลือเกิน นับว่าน่ากลัวสุดเปรียบเปรยจริงๆ
ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดยังคงไม่สามารรถรับมือได้แม้กระบวนท่าเดียว พริบตาเดียวก็ถูกฉีกแขนไปข้างหนึ่ง ช่างเป็นวิธีการที่พาลอย่างยิ่ง เป็นกำลังความสามารถที่น่ากลัวปราศจากผู้ต่อกร
“ผู้เยาว์ อย่าได้กำแหง…” ปิงฉือเจี๋ยจุนคำรามเสียงดัง เมื่อเห็นปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดแคว้นว่านเจิ้นได้รับบาดเจ็บ ได้ยินเสียงดังตึงเสียงหนึ่งดังขึ้น ไป่พั่วที่อยู่เหนือศีรษะพลันบินออกไป
ตูม…เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ในพริบตาเดียวนั่นเอง มองเห็นร้อยอาวุธได้กลับกลายเป็นกำแพงเมืองที่มีขนาดใหญ่โตอย่างยิ่ง กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มือทั้งสองข้างของปิงฉือเจี๋ยจุนผลักดันให้กำแพงเมืองขนาดใหญ่โตดังกล่าวลงมาจากบนท้องฟ้า ท่ามกลางเสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว ได้เข้าสังหารหลี่ชิเย่ในทันที
กำแพงเมืองขนาดยักษ์เสมือนดั่งหนักเท่าท้องฟ้า ภายใต้การขับเคลื่อนด้วยพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของปิงฉือเจี๋ยจุนพุ่งเข้าปราบปราม ช่างเป็นอานุภาพที่น่ากลัวเช่นใด
……………………………………………….