ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 183
ในขณะที่ถังหยินพาตระกูลทั้งสามกลับไปยังมณฑลเทียนหยวนได้อย่างราบรื่น ทางด้านให้เมืองหยานในตอนนี้นั้นก็กำลังตกอยู่ในความโกลาหลยิ่ง
เพราะแม้ว่าซ่งเทียนจะไม่ได้เป็นอะไร และสามารถขับไล่มือสังหารกลับไปได้ แต่มันก็ทำให้พวกเขาขวัญเสียไม่น้อย โดยเฉพาะพวกผู้อาวุโสที่พากันสติแตก ถึงขนาดที่ว่าสั่งให้ปิดเมือง พร้อมทั้งออกคำสั่งว่าต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหา ก็ต้องตามหาตัวมือสังหารและพาอู่เหมยกลับมาให้จงได้ !
ทว่าถึงแม้พวกทหารจะใช้เวลาในการตามหาทั้งคืน พวกเขาก็ไม่พบอะไรเลยแม้แต่เงา และเมื่อแม่ทัพทั้งหลายกลับไปรายงานเช่นนั้น มันก็ทำให้ซ่งเทียนโกรธจัดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พร้อมทั้งออกคำสั่งให้ส่งคนไปที่จวนตระกูลซ่งทันที เพื่อสอบปากคำคนของตระกูลอู่ และเค้นหาเอาตัวตนของมือสังหารกับที่ซ่อนของมัน
แต่เมื่อพวกทหารมาถึงที่พำนักของตระกูลซ่ง กลับไม่พบผู้ใดอยู่ที่นั่นเลย ก่อนที่พวกทหารยามของตระกูลซ่งจะบอกว่าคนจากตระกูลอู่พร้อมกับคนจากตระกูลเหลียงและตระกูลจี้หยางถูกซ่งซานพาตัวเข้าวังแล้ว ทำให้พวกทหารที่ได้ยินเช่นนั้นก็พลันหน้าเปลี่ยนสี รีบกลับไปที่วังหลวงเพื่อรายงานเรื่องนี้กับซ่งเทียน
เมื่อได้ยินแบบนั้น จมูกของซ่งเทียนก็ต้องย่นด้วยความโกรอย่างมาก ซ่งซานเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? แล้วพวกเขาพาคนตระกูลเหลียง อู่และจี้หยางไปตอนไหน ?
ว่าแล้วซ่งเทียนก็พลันออกคำสั่ง ให้คนของเขาไปตามหาซ่งซานมา ซึ่งเมื่อคนของซ่งเทียนมาที่เรือนของซ่งซานเพื่อสอบถาม พวกเขาก็พลันได้รู้ว่าซ่งซานนั้นได้ไปหาเติงหมิงหยางตั้งแต่เมื่อคืนและยังไม่ได้กลับมาเลย
ทำให้คนของซ่งเทียนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากไปที่บ้านของเติงหมิงหยาง หากแต่ที่แห่งนั้น มันกลับไม่มีคนเป็นอยู่แต่อย่างใด จะมีก็แต่ซากศพนับ 10 ที่นอนตายกันอยู่ตามพื้นบริเวณลานบ้านและภายในบ้านหลังใหญ่ ซึ่งมันก็รวมไปถึงตัวซ่งซานเองด้วยที่น่าจะตายมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน
หลานชายของท่านอ๋องได้เสียชีวิตในจวนของแม่ทัพกองพันนายหนึ่ง รวมถึงสมาชิกในครอบครัวของเขาก็หายสาบสูญไปทั้งหมด สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความสับสนอย่างยิ่ง ด้วยว่าถ้าซ่งซานตายไปแล้ว งั้นใครกันที่พาคนของ 3 ตระกูลใหญ่หนีไปเมื่อคืน อย่าบอกนะว่าเป็นผี ?
เมื่อเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ ซ่งเทียนก็พลันออกคำสั่งปิดเมืองหยานเป็นเวลา 3 วัน โดยในช่วง 3 วันนี้ การจะเข้าออกเมืองจะต้องได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น พร้อมทั้งเริ่มการสอบสวนหาที่มาของมือสังหารที่น่าจะเป็นคนของตระกูลเหลียง อู่ หรือไม่ก็จี้หยางอย่างละเอียด ด้วยพวกเขาเชื่อว่า เมืองนี้ถูกปิดทางเข้าออกไปแล้วเช่นนี้ เป้าหมายของพวกเขาก็ย่อมต้องยังคงอยู่ในเมืองอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไป 3 วันพวกเขาก็ยังไม่พบเบาะแสแม้แต่ชิ้นเดียว จนกระทั่งพวกทหารค้นหาภายในพื้นที่ตระกูลเยว่และพบเข้ากับเส้นทางลับออกจากเมืองในท้ายที่สุด ทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่าบุคคลที่พวกเขาพยายามตามหาไม่ได้อยู่ในเมืองอีกต่อไปแล้ว
หลังทราบข่าว มันก็ทำให้ซ่งเทียนรู้สึกกระวนกระวายและโกรธเคืองอย่างที่สุด ก่อนจะทำการส่งคำสั่งไปทั่วทั้งแคว้นเพื่อให้ตรวจสอบผู้ลี้ภัยที่ผ่านด่านของแต่ละเมืองออกไป
อย่างไรก็ตาม มันสายเกินไปแล้วที่จะกระจายคำสั่งจับกุมใครก็ตามในเวลานี้ เพราะทางด้านกลุ่มของถังหยินเองก็ได้เร่งรีบออกเดินทางตลอด 3 วัน 3 คืนเช่นกัน จนพวกเขาไปไกลจากเมืองหยานมากแล้ว
เมื่อถังหยินและขบวนของเขามาถึงมณฑลกวนหนาน ข้อความจากเมืองหยานก็ไปถึงเช่นกัน และหลังจากอ่านข้อความพวกนั้น ผู้ว่ามณฑลกวนหนานก็หาได้เปิดเผยต่อสาธารณะ ทั้งยังไม่ส่งต่อให้คนใต้บัญชาของเขาจัดการอะไรต่อทั้งสิ้น
นับได้ว่าผู้ว่ามณฑลผู้นี้ชาญฉลาดยิ่ง เพราะแม้ว่าตระกูลเหลียง อู่และจี้หยางจะกลายเป็นอาชญากรไปแล้ว หากแต่เขาก็ยังคงมีขุมกำลังและมีมิตรอีกจำนวนนับไม่ถ้วน ที่ทำให้พวกเขาสามารถจัดการกับใครก็ได้ถ้าเกิดว่าต้องการ ซึ่งถ้าเกิดว่ามีใครอยากที่จะได้รางวัลนำจับจนมาถึงมณฑลกวนหนานจริง ๆ คนพวกนั้นก็จะถูกขัดขวางและจับโดยผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แน่นอนว่านี่จะต้องกลายเป็นเรื่องยุ่งยากในภายหลังอย่างแน่นอน แต่เขาก็เลือกที่จะเพิกเฉยและแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้รับข้อความใด ๆ
เขาแสร้งทำเป็นสับสนในขณะที่มณฑลกวนหนานก็ยังคงเป็นเหมือนกับปกติ เงียบสงบ และไม่มีการบังคับใช้กฎอัยการศึกหรือจุดตรวจใด ๆ บนถนน
ทำให้กลุ่มของถังหยินกลับมาได้อย่างราบรื่นยิ่ง
ภารกิจช่วยเหลือของถังหยินอาจกล่าวได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เขาบรรลุวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือช่วยตัวประกันที่สำคัญที่สุดในมือของซ่งเทียน ทำให้ความแข็งแกร่งโดยรวมของอีกฝ่ายอ่อนแอลง
และนอกจากนี้เขาก็ยังได้เห็นความจริง ว่าพวกชาวบ้านนั้นหาได้ชมชอบในตัวซ่งเทียนไม่ แม้แต่ผู้คนในเมืองหลวงก็ยังเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ ดังนั้นการจะส่งกองกำลังไปจัดการกับซ่งเทียนก็คงไม่ยากอย่างที่คาดการณ์ไว้
3 วันต่อมา ถังหยินและคนอื่น ๆ ก็ได้ผ่านมณฑลกวนหนานมาถึง ทางผ่านสวรรค์อย่างปลอดภัย
เมื่อทราบว่าถังหยินทำภารกิจสำเร็จและกลับไปยังมณฑลเทียนหยวนอย่างปลอดภัย ชิวเจิ้นและเหล่าขุนนางที่เหลือก็ออกมาต้อนรับพวกเขา
ตลอดเส้นทางมานี้ ทหารทุกคนที่พวกเขาเห็นต่างก็ได้เปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบสีแดงแล้ว หากแต่ตอนนี้พวกเขากลับได้เห็นชุดสีดำแบบดั้งเดิมของแคว้นเฟิงและธงสีขาวที่มีฐานสีดำอีกครั้ง ทำให้เหลียงซิง อู่หยูและคนอื่น ๆ รู้สึกโหว่ง ๆ ในอก
ในอดีต มณฑลเทียนหยวนเป็นเพียงชายแดนที่ห่างไกลในสายตาของพวกเขา แต่ตอนนี้พวกเขากลับรู้สึกเหมือนได้มาถึงบ้าน
หลังจากเผชิญเหตุการณ์ตึงเครียดมาหลายวัน ในที่สุดพวกเขาก็สามารถผ่อนคลายได้เสียที หลายคนไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและทรุดตัวลงในรถม้าอย่างเงียบ ๆ
ในเวลานี้ ชิวเจิ้น ฉางกวง หยวนจี้ และคนอื่น ๆ ต่างก็ออกมาต้อนรับพวกเขาโดยไม่สนใจคนอื่น ๆ โดยพวกเขาทั้งหมดพากันเดินเข้ามาหาถังหยิน จัดเสื้อคลุมของตน ก่อนจะคุกเข่าลงเพื่อแสดงความเคารพ
ฝูงชนก็ต่างก็คุกเข่าลงไปที่พื้นอย่างพร้อมเพรียงกัน กลายเป็นภาพที่น่าประทับใจยิ่งนัก
ถังหยินมองไปที่ผู้คนรอบ ๆ ตัวเขา ก่อนจะค่อย ๆ ลงจากหลังม้า เผยรอยยิ้ม และโบกมือให้ “ไม่ต้องพิธีรีตองมากนักหรอก !” ขณะที่พูด เขาก็หันไปมองเหลียงซิง อู่หยู จี้หยาง และจากนั้นชายหนุ่มก็หันกลับมากล่าวว่า “พวกเจ้าควรไปแสดงความเคารพต่อท่านอัครมหาเสนาบดีอู่ ท่านอัครมหาเสนาบดีเหลียง และแม่ทัพใหญ่จี้หยางด้วย !”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ทุกคนก็ลุกขึ้นและเดินไปที่ด้านหน้าของเหลียงซิง อู่หยูและจี้หยาง หากแต่พวกเขาไม่ได้แสดงความเคารพใด ๆ เพียงแค่ยกมือขึ้นและโค้งคำนับก่อนกล่าวว่า “พวกเราขอทำความเคารพ ท่านอัครมหาเสนาบดีอู่ ท่านอัครมหาเสนาบดีเหลียง และแม่ทัพใหญ่จี้หยาง !”
แม้ว่าเหลียงซิง อู่หยูและจี้หยางจะมีตำแหน่งสูงกว่าถังหยินมาก หากแต่พวกเขาก็ไม่ลืมสิ่งหนึ่ง คือถังหยินนั้นเป็นเจ้านายของพวกเขาในตอนนี้ ส่วนเหลียงซิง อู่หยูและจี้หยาง เองก็ไม่ได้เป็นทั้งอัครมหาเสนาบดีและแม่ทัพใหญ่ของราชสำนักอีกต่อไปแล้ว
ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกอึดอัดแค่ไหน แต่พวกเขาก็ทำได้แค่อดทนกับมัน โชคดีที่ถังหยินยังคงสุภาพกับพวกเขามาก ทั้งยังไม่ได้แสดงความสมเพชต่อพวกเขา และไม่ได้ทำราวกับว่าตนเป็นเจ้าเหนือหัว ยังคงปล่อยให้พวกเขาทำตัวกันตามสบาย
จากกำลังทหารเฟิงไม่กี่สิบนายที่เห็นนอกประตู ภายในประตูนั้นก็ยังมีกำลังพลอีกมากมาย ซึ่งเมื่อมองไปที่กลุ่มผู้คนที่หนาแน่น พวกเขาก็เห็นเข้ากับอาคารและเต็นท์มากมายที่เชื่อมต่อกัน ทั้งยังมีพวกทหารที่เดินอยู่โดยรอบที่ดูจะแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะในแง่ของความรู้สึกที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงความมั่นใจที่เปี่ยมล้นออกมา
ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของความแข็งแกร่งทางทหาร หรือความรวดเร็ว ทหาร 2 แสนนายของกองทัพเฟิงที่เข้าควบคุมทางผ่านสวรรค์แห่งนี้ก็ถือได้ว่าโดดเด่น แน่นอนว่านี่ไม่ได้เป็นฝีมือของถังหยินทั้งหมด ความจริงก็คือเขาไม่เก่งในการจัดการกองทหารเช่นกัน แต่โชคดีที่ถังหยินมองคนเก่งและสามารถเลือกพรสวรรค์ที่เหมาะสมที่สุดมาจัดการให้แทนได้
ขณะที่พวกเขาเดินไปที่เต็นท์หลัก เหลียงซิง อู่หยูและอีกสองคนก็ต้องพยายามเก็บอาการตกใจของตน ด้วยใครจะไปคิดว่าถังหยินที่ดำรงตำแหน่งเพียงผู้บัญชาการทหารในเมืองหยานในตอนนั้นจะสามารถสร้างกองทัพขนาดใหญ่และมีผู้คนจำนวนมากขนาดนี้ได้ !
ถังหยินสั่งให้สมาชิกในตระกูลเหลียงซิง อู่หยูและจี้หยางให้ได้รับการจัดการให้เหมาะสม จากนั้นก็ให้ทั้ง 3 คนเข้าไปในเต็นท์ของตัวเอง ก่อนจะเริ่มพูดคุยเรื่องสำคัญกัน
และสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ต้องพูดในตอนนี้ก็คือเนื้อความในจดหมายจากผู้ว่ามณฑลกวนหนาน
โดยภายในนั้น มันได้มีเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการยกย่องถังหยินจนเรียกว่ายกยอเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งตอนท้ายที่ได้กล่าวถึงความตั้งใจที่แท้จริง โดยบอกว่าเรื่องที่ตนให้การยอมรับซ่งเทียนเป็นอ๋องนั้นเพราะถูกบังคับ ด้วยแต่เดิมกองทหารของกวนหนานก็ได้ถูกเรียกให้ไปเสริมกำลังเมืองหยาน และตอนนี้ตัวเขาเองก็ถูกขังอยู่นอกเมือง จึงไม่สามารถต่อกรกับอำนาจของซ่งเทียนได้
ก่อนจะสัมทับว่า แท้ที่จริงแล้ว ในใจของเขานั้นเอนเอียงไปตามกระแสลมแรงและหวังว่าจะได้กลับมาเป็นดั่งเดิม ซึ่งหากถังหยินต้องการส่งกองกำลังไปปราบปรามซ่งเทียน เขาก็จะไม่ขัดขวาง และไม่เพียงแต่จะยอมให้ผ่านไป หากแต่เขานั้นก็จะจัดหาทรัพยากร อาหาร และทหารส่วนหนึ่งให้ด้วย !
หลังจากอ่านจดหมายตั้งแต่ต้นจนจบ ถังหยินก็ยิ้มและส่งจดหมายให้อู่หยู “ท่านอัครมหาเสนาบดีโปรดดู”
อู่หยูหยิบมันขึ้นมาและหลังจากอ่านจบแล้วเขาก็ตะคอก “ที่แท้ก็จ้าวฮุ่ย ข้าไม่แปลกใจเลย !” ในขณะที่เขาพูด ชายชราก็ได้หันมองไปที่ถังหยินและกล่าวว่า “นับตั้งแต่ซ่งเทียนผู้ทรยศยึดบัลลังก์เปลี่ยนชื่อแคว้น มันก็ได้ทำให้ทั้งแคว้นแปดเปื้อนจนไม่อาจเหมือนเดิมได้อีกต่อไปแล้ว หลานชายถัง เจ้าควรส่งกองทหารของเจ้าออกไปจัดการให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องโค้นล้มเจ้าคนทรยศนั่นลงให้ได้ ! ”
ชายหนุ่มที่ได้ยินเช่นนั้น เขาก็พลันยิ้มออกมา ก่อนจะกล่าวว่า “แม้ว่ามณฑลเทียนหยวนของเราจะมีกำลังทหารกว่า 2 แสนนาย หากแต่ซ่งเทียนนั้นมีกำลังที่มากกว่านี้เสียอีก ดังนั้นจึงควรรอเวลาเพื่อรวบรวมกำลังพลและเตรียมความพร้อมให้มากเข้าไว้ เพราะหากข้ารีบส่งกองกำลังออกไป ก็เกรงว่ามันคงจะเป็นเรื่องยากสำหรับข้าที่จะต่อกรกับเขา !”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอู่หยูก็ขมวดคิ้วแน่น ไม่พูดอะไรสักคำ หากแต่เป็นจี้หยางที่ถามขึ้นมาอย่างกังวลขึ้นแทน “แล้วเจ้าวางแผนที่จะรอนานแค่ไหน ?”
ถังหยินถอนหายใจอย่างจนใจ ก่อนกล่าวว่า “คงไม่สามารถรอให้ให้มีโอกาสชนะมากกว่า 9 ใน 10 ส่วนได้ก็จริง หากแต่เราก็ยังต้องรอจนกว่ากองกำลังของเราจะแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับซ่งเทียน”
จี้หยางเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ดังนั้นเมื่อได้ยินคำของชายหนุ่ม เขาก็พลันถามเข้าประเด็นสำคัญที่เขาอยากรู้ในทันที “แล้วจะต้องใช้ทหารซักกี่คนถึงจะสามารถต่อกรกับซ่งเทียนได้ ?”
“อย่างน้อย ๆ ก็ต้อง 4 แสน !”
“รู้ไหมว่านั่นใช้เวลานานเท่าไหร่กัน ?”
“จากสภาพปัจจุบันของมณฑลเทียนหยวน คงใช้เวลา 3 ถึง 5 ปีจึงจะทำได้”
“3 ถึง 5 ปี !?” คำตอบดังกล่าวทำให้จี้หยางขมวดคิ้วแน่น ด้วยเขาจะรอนาน 3 ถึง 5 ปีได้อย่างไร ? เพราะตอนนี้มณฑลเทียนหยวนเป็นสถานที่แห่งเดียวที่สามารถพึ่งพาได้ หากแต่ในที่แห่งนี้ตนนั้นหาได้มีอำนาจใด ๆ ไม่ มีแต่ต้องฟื้นฟูเมืองหยานให้ได้ จึงจะสามารถกลับไปเป็นแม่ทัพใหญ่ตามเดิมได้ !
แน่นอนเหลียงซิงและอู่หยูเองก็มีความคิดเช่นเดียวกับเขา เพียงแค่ว่าคำพูดเหล่านี้ยากที่จะพูดออกมาได้
เมื่อเห็นเช่นนั้น ชิวเจิ้นก็ตัดสินใจทันทีและกล่าวว่า “นายท่าน ถ้าเรารอ 3 ถึง 5 ปีเพื่อเพิ่มกำลังทหาร เช่นนั้นแล้วทางฝั่งซ่งเทียนเองก็คงทำเช่นกัน ซึ่งพวกมันก็คงจะรวบรวมกองกำลังได้มากกว่าเราเป็นแน่ !
“ใช่ ใช่ ! พวกข้าเห็นด้วย” เหลียงซิงและจี้หยางเปล่งเสียงแสดงความเห็นด้วย พร้อมกับที่พวกเขาชี้ไปที่ชิวเจิ้นและพูดว่า “ใช่แล้ว ท่านพูดถูก !” ด้วยเพราะว่าพวกเขาไม่รู้จักชิวเจิ้นมาก่อน เลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชื่ออะไรกันแน่