ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 194
นับตั้งแต่วันที่เขาได้รับตำแหน่งตามคำสั่ง วัน ๆ หนึ่งในกองทัพของพวกทหารก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และมาคราวนี้ก็ถูกพวกกองทัพเทียนหยวนปิดล้อมเอาไว้อีก ซึ่งแทนที่เสี่ยวกุ่ยจะคิดแก้ปัญหา เขากลับเลือกที่จะทำตรงกันข้าม นำพวกเขาไปในทางที่ผิด ทำให้ความขุ่นเคืองของทหารโดยรอบระเบิดออกมาทันที
รองแม่ทัพและทหารองครักษ์ของเสี่ยวกุ่ยพากันหยุดวิ่ง ด้วยถูกล้อมโดยทหารชั้นผู้น้อยมากมาย จนในที่สุดพวกเขาก็ถูกจับตัว ก่อนที่ประตูเมืองจะเปิดออก และมีทหารมากมายออกไปยอมจำนนต่อกองทัพเทียนหยวน
การสู้รบที่เมืองชางซุยยังไม่ทันได้เกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบแท้ ๆ หากแต่ทหารในพื้นที่กว่า 2 แสนนายภายใต้แม่ทัพเสี่ยวกุ่ยก็ได้หันไปฆ่าผู้บัญชาการของพวกเขาเอง ก่อนจะเข้ามายอมจำนนและให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อถังหยิน
การรับเอาทหารทั้ง 2 แสนนายในคราวเดียวควรเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข แต่ทว่าถังหยินกลับไม่มีเลยแม้แต่น้อย ด้วยทหารทั้งหมดนี้มีพื้นเพต่างกัน ทั้งยังไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้และไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวด ทำให้พวกเขาอ่อนแอมาก
ด้วยเหตุนั้น ถังหยินจึงได้รวบรวมบรรดาแม่ทัพของคนพวกนั้นให้มารวมกันที่เต็นท์ ซึ่งแต่ละคนก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาด้วยความหดหู่ พร้อมทั้งถอนหายใจด้วยความสับสน ด้วยก่อนหน้านี้ที่ลงมือฆ่าเสี่ยวกุ่ยไปเป็นเพราะถูกความโกรธเข้าครอบงำ หากแต่หลังจากสงบลงแล้ว พวกเขาก็พากันนึกขึ้นได้ถึงปัญหาที่อาจตามมา
เนื่องจากเสี่ยวกุ่ยถูกพวกเขาฆ่า มันจึงนับเป็นการกบฏ ทำให้พวกเขาไม่สามารถกลับไปบ้านเกิดได้อีก และแม้พวกเขาสาบานว่าจะภักดีกับถังหยินไปแล้ว หากแต่ในความเป็นจริงพวกเขาก็ยังคงเป็นเชลย จึงไม่มีใครรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้
ขณะที่พวกเขานั่งอยู่ในเต็นท์ จ้องมองกันและกันอย่างเงียบ ๆ ถังหยินก็เข้ามาพร้อมกับชิวเจิ้น เหลียงฉี มูฉิง หลีเว่ย และแม่ทัพคนอื่น ๆ
เมื่อเห็นถังหยินเข้ามา พวกแม่ทัพที่นั่งรออยู่ด้านในก็พากันคุกเข่าและทักทายเขาอย่างสุภาพ “ขอทำความเคารพ ท่านแม่ทัพถังหยิน !”
สายตาของถังหยินค่อย ๆ กวาดไปที่คนพวกนั้น ก่อนจะพยักหน้าและพูดว่า “ท่านแม่ทัพทั้งหลาย ! ลุกขึ้นเถิด !” หลังจากพูดเสร็จเขาก็โบกมือให้ทุกคนไปนั่ง จากนั้นชายหนุ่มก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่กลางเต็นท์ เอ่ยถามว่า “ใครคือแม่ทัพโมหยานจู”
ในตอนแรกเหล่าแม่ทัพต่างตกตะลึง แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งหมดก็หันไปมองชายร่างกำยำคนหนึ่ง ทำให้ชายร่างใหญ่ผู้นั้นรีบเดินออกมาด้านหน้าและยกมือขึ้นคำนับ “ท่านแม่ทัพถัง ข้าเองโมหยานจู”
“โอ้ !” เมื่อได้ยินดังนั้นถังหยินก็หัวเราะ ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านเซ่าเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับท่านให้ฟัง บอกว่าท่านเป็นคนที่กล้าหาญและมุ่งมั่นในการต่อสู้ ทั้งยังมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการทางการทหาร นับเป็นพรสวรรค์ที่หายากนัก”
ท่านเซ่า ? แม่ทัพโมหยานจูตกใจ หากแต่เขาก็รู้ได้ทันทีว่าถังหยินกำลังพูดถึงเซ่าฮุย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสมรู้ร่วมคิดกันเพื่อโค้นล้มซ่งเทียน และนี่เองก็คงเป็นสาเหตุที่มีกองทัพเทียนหยวนนับแสน ๆ นายเข้าล้อมชางซุย !
เขาเป็นแม่ทัพกองทัพกวนหนานและเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของเซ่าฮุย ทว่าเมื่อครั้งได้รับคำสั่งให้ออกไปต่อสู้กับพวกหนิง มันก็ทำให้เขาต้องออกเดินทางไปยังเมืองหยานและไม่ได้กลับมาอีกเลย
ในเวลานี้ หลังจากได้ยินคำพูดของถังหยิน ความกลัวก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาในขณะที่รีบพูดอย่างร้อนรนกลับไปว่า “ท่านแม่ทัพถัง ข้าน้อยผู้นี้มิได้เก่งกาจขนาดนั้นหรอกขอรับ !”
ถังหยินพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะตัวใหญ่ ดูแข็งแกร่ง และมีท่าทางที่หยาบกระด้างดุร้าย หากแต่จริง ๆ แล้วก็นับได้ว่าเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ซึ่งแตกต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกมากทีเดียว “นี่คือมณฑลกวนหนานและยังเป็นบ้านเกิดของเจ้า ตอนนี้เจ้าสามารถพาพี่น้องจากกองทัพกวนหนานกลับไปที่เมืองที่จากมาได้แล้ว หรือถ้าเหนื่อยมากล่ะก็ จะพักที่นี่ซัก 2-3 วันก็ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โมหยานจูก็พลันจมอยู่ในความคิด ด้วยเงื่อนไขนี้น่าสนใจ ทำให้เขาและผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับประโยชน์จากมันไม่น้อย “ท่านแม่ทัพถัง ข้าคิดว่า … ข้าขอรบกวนท่านสักพัก ! ด้วยแม้ว่าเสี่ยวกุ่ยจะตายไปแล้ว หากแต่มันก็ยังมีกองทัพอีก 1 แสนกว่านาย ซึ่งนี่ก็ยังไม่ได้นับรวมถึงกองกำลังกว่า 4 แสนนายจากกองทัพหนิงที่เป็นตัวผลักดันแผนการครั้งนี้อีก ดังนั้นจึงคิดว่าข้าน่าจะยังพอช่วยท่านได้บ้าง จากการใช้ความเข้าใจต่อคนพวกนั้นที่ข้ามี”
เนื่องจากเซ่าฮุยและถังหยินร่วมมือกันเพื่อต่อต้านซ่งเทียน ทำให้ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา โมหยานจูก็รู้สึกว่าเขาต้องรับผิดชอบที่ตัวเองเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ซ่งเทียนและกองทัพพันธมิตรของแคว้นหนิงร่วมมือกัน
เขาต้องการที่จะอยู่ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ถังหยินต้องการเช่นกัน ดังนั้นชายหนุ่มจึงหัวเราะ “งั้นตอนนี้ท่านก็อยู่ที่นี่ไปก่อนดีกว่า”
“ขอรับ ! ท่านแม่ทัพ !”
ถังหยินค่อนข้างสุภาพกับโมหยานจู แต่กลับไม่ค่อยมีมารยาทกับคนอื่น ๆ เท่าไหร่ ดังนั้นหลังจากคุยกับอีกฝ่ายเสร็จ ชายหนุ่มก็หันมองไปที่แม่ทัพคนอื่น ๆ และพูดว่า “พวกท่านที่เหลือ เชื่อว่าพวกท่านคงยากที่จะกลับบ้านกัน ดังนั้นข้าจึงไม่คิดบังคับให้พวกท่านอยู่ ถ้าพวกท่านไม่ต้องการอยู่ งั้นแล้วก็กลับบ้านไปซะ”
แทนที่จะทิ้งทหารที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้ เขาก็เลือกที่จะหาทางส่งคนพวกนี้กลับไปโดยเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเวลา และถึงถังหยินจะอนุญาตให้อยู่ หากแต่ในความเป็นจริงมันก็เท่ากับเชิญพวกเขาออกไป
เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ทุกคนก็มองหน้ากันแล้วก้มหน้าลงไม่มีใครพูดอะไร
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการจากไป แต่พวกเขาทำไม่ได้ เสี่ยวกุ่ยถูกพวกเขาฆ่าตาย และข่าวก็คงจะไปถึงหูซ่งเทียนในอีกไม่กี่วัน ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดก็จะถูกระบุว่าเป็นกบฏไปทั่วทั้งแคว้น ทำให้หลังจากนี้ต้องใช้ชีวิตแบบหนีไปวัน ๆ ด้วยความกลัว แล้วเรื่องเช่นนี้มีหรือที่ใครเต็มใจที่จะยอมรับ ?
สำหรับแม่ทัพหยุนเฉอ เขาเองก็รู้สึกเช่นกัน ว่าการปล่อยให้พวกเขากลับบ้านตอนนี้ก็เหมือนกับการกลับไปเพื่อยอมรับความตายยังไงยังงั้น !
เนื่องจากโมหยานจูกับแม่ทัพคนอื่น ๆ อยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานาน พวกเขาจึงเป็นดั่งสหายสนิทที่ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน ดังนั้นมีหรือที่เขาจะทนเห็นคนอื่น ๆ ตกอยู่ในเงื้อมมือของซ่งเทียน
เขากระแอมในลำคอแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพถัง ทหารพวกนี้ต่างก็เกลียดชังเจ้าซ่งเทียนเข้ากระดูกดำ ดังนั้นช่วยรับพวกเขาทั้งหมดด้วยเถิด เพื่อเพิ่มโอกาสในการโค่นล้มซ่งเทียน !”
เมื่อพูดประโยชน์ออกไป แววตาของแม่ทัพทุกคนก็ดูจะเปล่งประกายแห่งความหวังออกมา พวกเขามองหน้ากัน ก่อนคุกเข่าลงบนพื้นและพูดพร้อมกันว่า “ท่านแม่ทัพถัง ซ่งเทียนฆ่าท่านอ๋องและขายแคว้นของเราให้กับศัตรู คนเช่นนี้สมควรตายยิ่ง !”
“นี่ ?” ประโยคที่พูดออกมานั้นมันดูจะมากเกินไปเสียหน่อย และหากคำพูดนี้หลุดออกไป มันก็จะไม่ดีต่อชื่อเสียงของพวกเขาเช่นกัน ถังหยินรู้สึกว่ามันทำใจยาก จึงได้แต่หันมองไปที่ชิวเจิ้นเพื่อถามความเห็นของเด็กหนุ่ม
ชิวเจิ้นหัวเราะและพูดกับแม่ทัพพวกนั้นว่า “แม่ทัพทุกท่านมีความมุ่งมั่นเช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องดี หากแต่ทหารด้านล่างนั่นเล่า คงไม่ใช่ทุกคนที่คิดเช่นเดียวกันจริงหรือไม่ ? เพราะอย่างไรพวกเขาก็อยู่ไกลบ้านมานานแล้ว คงจะไม่มีแรงจูงใจในการสู้เสียเท่าไหร่ ดังนั้นถ้าข้าไปบังคับให้พวกเขาอยู่ มันก็อาจทำให้พวกเขาเกิดความไม่พอใจ ซึ่งนั่นก็เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของกองทัพ”
เมื่อถังหยินได้ยินดังนั้น เขาก็พยักหน้าด้วยความขอบคุณ ส่วนในใจก็แอบประหลาดใจกับปฏิกิริยาที่รวดเร็วของชิวเจิ้น
พวกแม่ทัพพูดไม่ออก ด้วยหากซ่งเทียนต้องการลงโทษ อีกฝ่ายก็คงเลือกที่จะลงโทษพวกเขามากกว่าทหารธรรมดา ทำให้ทหารพวกนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องดังกล่าว และยิ่งผนวกกับระยะเวลาที่ห่างไกลบ้านนี่อีก ดังนั้นมีหรือที่พวกเขาเหล่านั้นจะไม่คิดถึงบ้านของตน !
ก่อนที่จู่ ๆ เสียงของถังหยินจะดังขึ้นอีกครั้ง “ข้านั้นเป็นห่วงความรู้สึกคิดถึงบ้านเกิดของเหล่านักรบ จึงอยากให้พี่น้องทุกคนที่ต้องการกลับบ้านได้กลับ ส่วนทหารที่เต็มใจจะต่อสู้กับซ่งเทียนและไม่อยากกลับบ้านก็ให้อยู่ต่อ แต่ทว่านี่ไม่ใช่การฝืนใจ ตอบมาได้เลยตามตรง” หลังจากหยุดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดต่อว่า “เหตุที่ทำแบบนี้ ก็เพราะหากข้าต้องการเอาชนะซ่งเทียน เพียงแค่อาศัยเพียงหนึ่งหรือสองมณฑลก็อาจยังคงห่างไกลจากความสำเร็จพอควร ดังนั้นข้าจึงคิดจะเพิ่มขวัญกำลังให้กับผู้คน ด้วยการปฏิบัติต่อทหารและประชาชนตามเขตต่าง ๆ อย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้”
หลังจากที่เขาพูดจบ ถังหยินก็หายใจเข้าลึก ๆ การพยายามเอาชนะใจประชาชนทั้งประเทศนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน หากแต่ถ้านี่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเอาชนะซ่งเทียนได้ งั้นแล้วก็ถือว่าไม่เสียหายที่จะลองทำ
ว่าแล้วชายหนุ่มก็หายใจเข้าลึก ๆ อีกครา ก่อนจะหัวเราะขณะที่เงยหน้าขึ้นมาและพูดว่า “ถ้าแม่ทัพท่านใดต้องการที่จะอยู่ต่อไปแน่นอนว่าข้าย่อมยินดีต้อนรับอยู่แล้ว แต่หากใครต้องการออกไป ข้าก็จะไม่บังคับเช่นกัน ทั้งยังจะช่วยจัดเตรียมสิ่งของจำเป็นให้อีกด้วย และข้าก็หวังว่า แม่ทัพทุกท่านจะไปถ่ายทอดคำพูดของข้าแก่ทหารทุกคน”
หลังจากที่แม่ทัพพวกนั้นได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาทั้งหมดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะโค้งคำนับให้ถังหยินพร้อมกันและกล่าวว่า “ขอบคุณมากขอรับ ท่านแม่ทัพถัง !”
โมหยานจูมองภาพที่เกิดขึ้นจากด้านข้าง ดวงตาของเขาส่องแสงประกายเจิดจ้าออกมา
เมื่อครู่ถังหยินตั้งใจที่จะส่งกองทัพพวกนี้ทั้งหมดออกไป ทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายนั้นไม่มองการณ์ไกลเอาซะเลย หากแต่ตอนนี้เขาก็ดูจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงสามารถใช้กำลังพลของเขาได้ถึงขนาดนี้ ซึ่งความสามารถที่ว่ามันก็นับได้ว่าหาได้ยากยิ่งท่ามกลางหมู่แม่ทัพทั้งหลาย
เมื่อคิดเช่นนั้น เขาก็ไม่รอช้าที่จะก้มหัวลง เข้าโค้งคำนับด้วยความชื่นชมต่อถังหยินและกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพปราดเปรื่องยิ่งนัก !”
มีทหารไม่มากนักที่เต็มใจอยู่ในมณฑลกวนหนานต่อเพื่อต่อสู้กับกองทัพของซ่งเทียน และเมื่อคำพูดของถังหยินถูกส่งต่อไป พวกทหารส่วนใหญ่ที่จากบ้านมานานก็เลือกที่จะเก็บข้าวของและเตรียมตัวกลับบ้านเกิด ซึ่งในท้ายที่สุดมันก็มีไม่ถึง 2 หมื่นนายที่เต็มใจที่จะอยู่
ในอีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มก็ได้สั่งให้หยวนยู่และเปิงเฮาฉูที่ซุ่มอยู่ที่ชายแดนให้อธิบายสถานการณ์ที่พบเห็น พร้อมทั้งสั่งให้กลับมาหาตนในทันที
หลังจากรับคำสั่งของถังหยิน เปิงเฮาฉูก็ไม่กล้าที่จะรอช้าอีกต่อไป เตรียมสั่งให้ถอยทันที ทว่าในเวลานี้หยวนยู่กลับไม่รับฟังอีกต่อไป ด้วยเขาต้องการจะต่อสู้ ! หากแต่จนกระทั่งตอนนี้ ที่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ที่พวกเขาก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของกองทัพซ่งเวิน….