ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 281
บทที่ 281
กองทหารที่หน้าประตูเมืองต่างตื่นตระหนกกับเสียงนั้นจนพวกเขาหลบไปทางซ้ายและขวาอย่างต่อเนื่อง พากันถอยห่างออกไปไกล ส่วนจ้านหูนั้น เขาไม่สนใจใครอื่นเลย ยังคงเหวี่ยงค้อนขนาดใหญ่เข้าทุบประตูเมืองอีก 3 ครั้ง
ที่ด้านบนกำแพงเมือง ร่างกายของเหมาอันสั่นเทา เขาแทบจะทรุดลงบนพื้นและถามอย่างกระวนกระวาย “เกิดอะไรขึ้นข้างล่างนั่น ! ใครเป็นคนทุบประตูเมืองกัน !” เขาไม่เห็นว่ากองทัพเทียนหยวนมีอาวุธสำหรับทำลายสิ่งปลูกสร้าง แล้วจะเกิดเสียงเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร ?
ทหารคนหนึ่งวิ่งขึ้นมาด้วยท่าทีตื่นตระหนก ตรงเข้ามารายงานกับเหมาอันว่า “ท่านแม่ทัพ มีทหารร่างยักษ์คนหนึ่งกำลังพยายามที่จะพังประตูเมืองด้วยค้อนยักษ์ขอรับ !!”
“อะไรนะ !?” เหมาอันแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ด้วยจะมีคนที่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นเชียวหรือ ?! อีกฝ่ายยังคงเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่ ?
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “เอาเสาไม้และดินเข้าไปเสริมความแข็งแกร่งให้กับประตู ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องสกัดมันเอาไว้นอกประตูให้ได้ !”
“รับทราบขอรับ !” พวกทหารตอบและรีบวิ่งออกไปในทันที
เหมาอันค่อนข้างแน่ใจว่าฝ่ายของตนเองนั้นสามารถต้านทานศัตรูได้แน่ ! แต่ถ้าอีกฝ่ายทุ่มกำลังนับแสนเข้ามา พวกเขาจะยังต้านไหวอยู่หรือไม่ ?
ตามคำสั่งของเหมาอัน เสาไม้มากกว่า 20 ต้นก็ได้ถูกตอกลงปิดกั้นประตูเมืองทั้งสองอย่างสมบูรณ์ จากนั้นพวกทหารก็พากันขนย้ายหินและดินเข้าไปเสริม เพื่อให้แน่ใจว่าพวกข้าศึกจะไม่สามารถบุกเข้ามาได้
ภายใต้คำแนะนำของเหมาอัน คนของกองทัพเปิงก็พลันมีปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วและตอบโต้ทันทีโดยการเสริมการป้องกันให้กับประตูเมือง ทำให้ถึงแม้จ้านหูจะเหวี่ยงค้อนออกไปยังประตูเมืองเป็นร้อย ๆ ครั้ง ประตูทองสัมฤทธิ์ตรงหน้าก็ยังคงไม่พังลง จะมีก็แต่รอยบุบขนาดใหญ่เล็กที่เกิดขึ้น จนกระทั่งจ้านหูเกิดอาการเหนื่อยล้า หอบหายใจอย่างหนัก
การโจมตีอย่างรุนแรงของกองทัพเทียนหยวนกว่า 9 หมื่นนายดำเนินไปตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงบ่าย ซึ่งมันก็ไม่อาจสร้างความได้เปรียบใด ๆ แก่พวกเขาเลย ทำให้ชิวเจิ้นได้แต่ส่ายหัว ก่อนจะหันไปพูดกับถังหยิน “นายท่าน ตอนนี้เราคงไม่สามารถที่จะโจมตีต่อไปได้แล้วละขอรับ ข้าว่าเราควรที่จะถอยกลับไปก่อน พวกทหารจะได้พักผ่อน และลดความสูญเสียที่ไม่จำเป็น !”
“หื๊ม ?” ถังหยินยังคงนิ่งอยู่
เดิมทีเขาคิดว่าเมืองจี๋เล็ก ๆ นี้ไม่มีอะไรน่ากังวล ทว่าชายหนุ่มก็คิดไม่ถึงเลยว่าการป้องกันจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำให้พวกเขาไม่อาจทะลวงไปได้เลย ! ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าและพูดเบา ๆ ว่า “ช่วยไม่ได้ สั่งถอนกำลัง !”
“ตามบัญชาทันทีขอรับ !” ชิวเจิ้นเห็นด้วย และเขาก็กลัวว่าถังหยินจะกลับคำพูด ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงรีบออกคำสั่งให้ส่งสัญญาณออกไปในทันที เพื่อบอกให้ทหารทุกคนที่โจมตีเมืองถอยกลับมา
การต่อสู้ครั้งนี้ดำเนินไปตั้งแต่เช้าถึงบ่ายโดยไม่มีความคืบหน้าใด ๆ จะมีก็แต่ผู้เสียชีวิตกว่าหลายพันคนแทน ซึ่งก็แน่นอนว่าความสูญเสียของเมืองจี๋นั้นไม่ได้น้อยเลย และในทำนองเดียวกัน ฝั่งของถังหยินเองก็เสียไปไม่น้อยกว่ากัน ทำให้ขวัญกำลังใจของพวกเขาลดลงอย่างรวดเร็ว
กองทัพเทียนหยวนยอมแพ้ในการโจมตีเมือง แต่พวกเขาไม่ยอมถอยกลับ ดังนั้นจนตอนนี้จึงยังคงมีกองทหารกว่าแสนนายที่เข้าล้อมเมืองจี๋และตั้งค่ายล้อมเอาไว้ ทำให้เมืองจี๋กลายเป็นเงียบเหงา ซึ่งทั้งหมดนี้ก็อยู่ในความคาดการณ์ของเหมาอัน และตอนนี้เขาก็รอเพียงกำลังเสริมจากเกิงฉวนเท่านั้น !
ในตอนเย็น ถังหยินกำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่ในกระโจมขนาดใหญ่ เนื่องด้วยเขาเพิ่งได้รับข่าวว่าหน่วยส่งเสบียงพร้อมอาวุธใหญ่ทั้งหลายจะจะต้องรออีก 2 วันก่อนที่จะมาถึง ซึ่งนั่นมันก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องรออยู่นอกเมืองเป็นเวลา 2 วันเต็ม !
เวลา 2 วันที่หายไปนี้ จะทำให้แผนการรุกรานล่าช้า เช่นเดียวกับที่ทำให้ศัตรูมีเวลาเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้มากขึ้น ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก
ชิวเจิ้น จางจี้ กู่เยว่ อู่กวน จ้านฮู และคนอื่น ๆ กำลังนั่งอยู่ในกระโจมใหญ่ และด้วยใบหน้าของถังหยินที่เคร่งเครียด พวกเขาจึงพากันเงียบไม่มีใครกล้าพูดสักคน ก่อนจะเป็นเฉิงจินที่ลุกขึ้นและก้าวไปข้างหน้าสองก้าวพร้อมพูดขึ้นเบา ๆ “นายท่าน ข้าว่ามันอาจจะดีกว่าที่จะให้หน่วยศรทมิฬแอบเข้าไปในเมืองตอนกลางคืนและลอบสังหารบุคคลสำคัญของอีกฝ่ายก่อนการต่อสู้ในศึกหน้า !”
“หื๊ม ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของถังหยินก็พลันสว่างขึ้น ด้วยนี่เป็นความคิดที่ดีที่เดียว !
ว่าแล้วชายหนุ่มก็ได้หันมองไปที่ชิวเจิ้นและถามว่า “ชิวเจิ้น เจ้าคิดว่าไง ?”
ชิวเจิ้นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และพยักหน้าก่อนกล่าว “ข้าคิดว่าเราสามารถลองแผนนี้ได้ แต่เหมาอันฉลาดนัก ดังนั้นข้าก็เกรงว่าพวกเขาจะคาดเดาถึงเรื่องนี้ไว้ก่อนหน้าแล้ว !”
“ฮ่าฮ่า !” เฉิงจินหัวเราะอย่างภาคภูมิใจและกล่าวว่า “เหมาอันคงจะไม่ได้คาดคิดหรอกว่ากองทัพของเราลอบโจมตีในเวลากลางคืน และถึงงานนี้จะล้มเหลว หน่วยศรทมิฬก็สามารถถอยกลับมาได้อย่างปลอดภัยอยู่ดี !”
นั่นก็จริง ! ชิวเจิ้นเองก็รู้สึกว่าสิ่งที่เฉิงจินพูดนั้นสมเหตุสมผลนัก
เมื่อเห็นว่าชิวเจิ้นไม่ได้ขัดอะไร ชายหนุ่มก็ไม่ลังเลอีก เขาพยักหน้าให้เฉิงจินและพูดว่า “ทำตามที่ว่านั่นได้เลย !”
“ขอรับนายท่าน !” เฉิงจินยกมือขึ้นและรับคำสั่ง
น่าแปลกที่การป้องกันในยามค่ำคืนของศัตรูหละหลวมอย่างมาก ด้วยมีทหารยามอยู่ไม่กี่คนบนหอสังเกตการณ์ และแม้แต่แม่ทัพที่มากประสบการณ์ที่อยู่ด้านบนสุดของเมืองก็ยังตื่นตระหนกหากพวกเขาเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามเฉิงจินก็ไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มากนัก
ซึ่งในระหว่างนั้นเอง พวกเขาก็พลันได้ยินเสียงกลองสงครามกับเสียงโห่ร้องของการเข่นฆ่าดังขึ้น ทำให้เฉิงจินและคนอื่นตื่นตระหนก และก่อนที่จะได้ตอบสนอง ถังน้ำมันไฟก็ได้ถูกโยนออกมากลางอากาศ !
พวกเขาได้ปล่อยน้ำมันให้ไหลออกมาปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า ทำให้ไม่มีแม้แต่ที่จะให้หลบซ่อน เฉิงจินและคนที่เหลือไม่ได้เตรียมตัวให้ดี และก่อนที่พวกเขาจะมีเวลาใช้วิชาสลับเงา ทั่วร่างของพวกเขาก็พลันถูกชโลมไปด้วยของเหลวนั้นแล้ว !
…มันสายเกินไปแล้วที่จะล่าถอยในตอนนี้ !!!
ถนนและหลังคาโดยรอบเต็มไปด้วยทหารกองทัพเปิงพร้อมธนูในมือที่พากันเล็งไปที่เฉิงจินและพรรคพวก และเมื่อถูกยิงออกมา พวกเขาก็พากันวิ่งหลบกันอย่างอลหม่าน ทว่าลูกธนูเหล่านั้นก็ได้ผูกติดไว้ด้วยชนวนจุดไฟ ทำให้ทันทีที่มันแตะเข้ากับน้ำมัน ก็พลันเกิดเปลวไฟที่ลุกลามไปทั่วราวกับฝูงงูลามติดตามเท้าของกองทัพเทียนหยวน และลามขึ้นไปตามตัวอย่างรวดเร็ว
เฉิงจินกู่ร้องทันที “ถอย ! ถอยเร็ว !” ในขณะที่พูด เขาก็พยายามที่จะดับไฟบนร่างไปด้วย ก่อนที่เฉิงจินจะใช้วิชาสลับเงา พาตัวเองออกจากเมืองในทันที !
ขณะที่พวกเขาหนีออกไป หน่วยศรทมิฬบางส่วนก็ไม่สามารถทนความร้อนของเปลวไฟได้ ทำให้เกราะปราณของพวกเขาแตกกระจายและสลายหายไป ทว่าก็ยังโชคยังดี ที่เปลวไฟสลายหายไปพร้อมกับเกราะปราณด้วย !
…แต่ใครจะไปคิดว่าเหนือกำแพงเมือง จู่ ๆ ก็มีลูกศรโปรยปรายลงมาราวกับสายฝน ทำให้ร่างของพวกเขาที่ไร้ซึ่งการป้องกันทุกลูกศรปักร่างจนเสียชีวิต
เมื่อเห็นพี่น้องของเขาล้มตายอย่างน่าสังเวชภายใต้ลูกศรของศัตรู ความกล้าหาญของเฉิงจินก็พลันระเบิดออกมา ก่อนที่เขาจะเข้าคว้าศพทั้งสองและตะโกนออกมา “อย่าสลายเกราะปราณ ! รีบถอยเร็ว !”
หน่วยศรทมิฬพากันแบกศพของพวกพ้องมาใช้ป้องกันลูกธนู ในขณะที่ทั่วร่างก็กำลังลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟ
การโจมตีในคืนนี้ พวกศรทมิฬถูกเผาทั้งเป็นโดยไม่ได้เห็นแม้แต่การปรากฏตัวของศัตรู ทั้งยังมีคนในหน่วยมากถึง 5 คนที่ถูกฆ่าด้วยลูกศรที่ถูกยิงออกมา ทำให้กล่าวได้ว่านี่คือความพ่ายแพ้ที่ร้ายแรงอย่างที่สุดที่เคยเกิดขึ้น !
ต้องเข้าใจว่าหน่วยศรทมิฬเป็นกลุ่มหัวกะทิของผู้ใช้ศาสตร์มืดที่มีเพียง 30 คนเท่านั้น และมาตอนนี้พวกเขาก็ได้สูญเสียสหายร่วมทัพไปแล้ว 5 คน ! ดังนั้นการสูญเสียในครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เล่น !
ในเวลานี้เฉิงจินที่กลับมาจากความพ่ายแพ้ก็กำลังเหี่ยวเฉาอย่างเห็นได้ชัด เขาเอาแต่ก้มศีรษะลงและนิ่งเงียบ และถึงแม้จะมีเกราะปราณปกป้อง ทว่าดวงตาของเขาก็ยังไม่อาจรอดพ้น จนทำให้ตาบวมแดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเมื่อเห็นเขาเช่นนั้น ถังหยินก็ไม่อาจอดทนได้อีก ด้วยเขาต้องการจะไปล้างแค้นให้กับพี่น้องที่เสียชีวิตในสนามรบเสียเดี๋ยวนี้เลย !!!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชิวเจิ้น จางจี้ และกุนซือคนอื่น ๆ ก็พากันออกมาหยุด ด้วยพวกเขาคิดว่าคืนนี้ไม่เหมาะนักสำหรับการโจมตีเมืองศัตรูซ้ำสอง ! ซึ่งก็เป็นเฉิงจินที่มาช่วยกล่าวเสริม ด้วยการบอกว่าตนนั้นได้เห็นเครื่องยิงหินถูกซ่อนเอาไว้ภายในเมือง
ภายใต้การพูดคุยกัน ถังหยินก็ค่อย ๆ สงบลง ก่อนที่จะย้อนนึกและพบว่าการลอบโจมตีของกลุ่มศรทมิฬนั้นไม่สามารถพูดได้ว่าไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง เพราะอย่างน้อยที่สุด เขาก็ได้รู้ว่ามีอาวุธขนาดใหญ่อย่างเครื่องยิงหินอยู่ภายในเมือง !
“เหมาอัน ถ้าข้าจับตัวมันได้เมื่อไหร่ ข้าจะจับมันมาถลกหนังทั้งเป็น !” ถังหยินโกรธมากก่อนเดินกลับไปที่กระโจมอย่างหัวเสีย ด้วยมาตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว !
ปากของชายหนุ่มพึมพำอะไรบางอย่าง และหลังจากพึมพำสักพักเขาก็สงบลงก่อนหันไปพูดกับเฉิงจินว่า “เฉิงจิน กลับไปพักผ่อนเสีย แล้วก็ก่อนอย่าลืมไปหาหมอทหารก่อนด้วยล่ะ !”
เฉิงจินรู้สึกอับอายจนใบหน้าและหูของเขาแดงระเรื่อ “นายท่าน ความผิดพลาดนี้เป็นสิ่งที่ข้าน้อยจะต้องรับผิดชอบขอรับ !”
ถังหยินโบกมือและถอนหายใจ จากนั้นจึงพูดออกมา “ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เรื่องนี้ต้องถือว่าข้าผิดเองที่อนุญาติให้พวกเจ้าออกไป !”