ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 363
บทที่ 363
บทที่ 363
ถังหยินที่ได้รับคำเตือนจากชิวเจิ้นเกิดความกระวนกระวายเป็นอย่างมาก ก่อนที่เขาจะสามารถสงบจิตใจและคิดกับตัวเองว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่จะขึ้นเป็นอ๋อง
ชายหนุ่มโบกมือให้เหล่าทหาร ปากกล่าวว่า “สั่งให้ทหารของเราถอนตัวออกจากพระราชวัง และเฝ้ารอบนอกไว้ให้ดี ห้ามให้ใครเข้าหรือออกโดยไม่ได้รับอนุญาต !”
“ขอรับ… ?” พวกแม่ทัพนายกองยังไม่ตอบสนองดี ด้วยพวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมถังหยินจึงออกคำสั่งเช่นนี้ และจากมุมมองของพวกเขาแล้ว ถังหยินนั้นมีความชอบธรรมที่จะขึ้นเป็นอ๋อง !
ซึ่งทุกคนต่างก็ต้องการให้ถังหยินขึ้นครองอำนาจต่อในทันที เพราะพวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์ไปด้วย และมันก็จะกลายเป็นเกียรติที่หาใดเปรียบได้ …ดังนั้นแล้วใครกันเล่า ที่ไม่อยากจะได้รับเกียรติเช่นนี้ ?
โดยไม่รอให้พวกแม่ทัพนายกองพูดคำใด ใบหน้าของถังหยินก็พลันมืดลงและพูดอย่างเย็นชา “พวกเจ้าห้ามพูดเรื่องไร้สาระอีกต่อไป ใครที่กล้าเรียกข้าว่าอ๋องอีก จะถือว่ามันผู้นั้นมีเจตนาร้ายต่อข้า !”
คำพูดเหล่านี้ดูจริงจังยิ่ง ทำให้แม่ทัพทุกคนตัวสั่นด้วยความกลัว แม้แต่คำพูดที่กำลังจะถึงปากของพวกเขาก็ถูกกลืนกลับลงคอ
ขณะที่ถังหยินกำลังจะนำแม่ทัพออกจากวัง ทหารคนหนึ่งก็ได้เข้ามารายงานว่ามีอดีตสนมหลายคนจากท่านอ๋องคนก่อนต้องการที่จะเข้าพบถังหยิน ซึ่งเมื่อชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้น เขาก็ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นมา ด้วยไม่เข้าใจจุดประสงค์ของนางสนมเหล่านี้เลย ก่อนเป็นชิวเจิ้นที่ยิ้ม “ไม่มีอันตรายใด ๆ ที่นายท่านจะไปพบพวกนาง”
เมื่อได้ยินชิวเจิ้นพูดแบบนั้น ถังหยินก็พยักหน้าและพูดว่า “พาพวกนางเข้ามา !”
“รับทราบขอรับ !” ทหารปฏิบัติตามและรีบวิ่งออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มหญิงสาวที่แต่งงานแล้วในชุดที่สวยงามก็ได้เข้ามาในห้องโถง
นางสนมเหล่านี้บางคนอายุยังไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ แท้จริงแล้วพวกนางเป็นสนมของท่านอ๋องเฟิงคนก่อน แต่เนื่องจากพวกนางไม่มีทายาท ซ่งเทียนจึงเก็บพวกนางไว้ที่นี่ และหลังจากที่เขาชิงตำแหน่งมาแล้ว หญิงสาวเหล่านี้ก็ยังคงให้อยู่ในวังต่อไป
ตอนนี้ซ่งเทียนหนีไปยังเมืองหวังแล้ว และเพราะเขารีบร้อน จึงไม่ได้พานางสนมทั้งหมดไปด้วย
นางสนมเหล่านี้ไม่เคยเห็นถังหยินมาก่อน ดังนั้นพวกนางจึงจำชายหนุ่มไม่ได้เช่นกัน นอกจากนี้พวกนางก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเรียกเขาว่าอะไร หรือควรปฏิบัติต่อเขาเช่นไรถึงจะเหมาะสม
ในแง่ของสถานะพวกนางเป็นถึงพระสนม ในขณะที่ถังหยินเป็นเพียงผู้ว่ามณฑล และแม้ว่าตำแหน่งของเขาจะไม่ถือว่าเล็ก แต่ชายหนุ่มก็ยังถือว่าเป็นรองมากนัก เมื่อเทียบกับตำแหน่งพระสนมของท่านอ๋อง
…ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ถังหยินถือเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดและเป็นคนที่มีกำลังพลมากที่สุดในตอนนี้ !
โดยไม่ต้องรอให้เหล่านางสนมพูด ถังหยินก็ได้จัดชุดคลุมของเขาให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินเข้าไปหา “ข้า… ผู้ว่ามณฑลเทียนหยวน ถังหยิน !” และแม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงความเคารพ แต่ท่าทีของเขาก็ยังสุภาพมาก ซึ่งสิ่งนี้มันก็ทำให้บรรดานางสนมของอดีตท่านอ๋องแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อเห็นทัศนคติของถังหยิน นางสนมที่มีอายุราว ๆ 20 ปีก็พลันยิ้มอย่างอ่อนหวานและเดินออกมาจากกลุ่มสาว ๆ อย่างสบาย ๆ ก่อนจะโบกมือให้ถังหยินด้วยท่าทางสงบและไม่มีอาการตื่นตระหนก พร้อมทั้งพูดเบา ๆ ว่า“ ท่านถังไม่จำเป็นต้องสุภาพ ท่านได้ไล่เจ้าทรราชไป นี่ถือว่าเป็นสัญญาณของการเริ่มยุคใหม่ของแคว้นเฟิง”
คำพูดนี้ทำเอาถังหยินทำตัวไม่ถูก เขาเงยหน้าขึ้นมองนางสนมตรงหน้า และอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านคือ…?”
“นี่คือท่านฮัวหลง”
“ท่านคือแม่นางฮัวหลงนี่เอง ต้องขออภัยให้กับความผิดพลาดของข้าด้วย !” ถังหยินคำนับอย่างสุภาพให้กับพระสนมตรงหน้า ก่อนจะลุกยืนและกล่าวอย่างเคร่งเครียด “ตั้งแต่ซ่งเทียนยึดอำนาจไป พวกท่านทุกคนก็ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก แต่โปรดอย่ากังวลผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้จะทำให้ดีที่สุด เพื่อปกป้องเมืองหลวงและกำจัดผู้ทรยศ !”
จิตใจของพระสนมที่ได้ยินแบบนั้นก็ดูผ่อนคลายขึ้นในทันที พวกนางบางคนถึงกับเช็ดน้ำตาและกล่าวคำเยินยอชายหนุ่ม
ถังหยินรู้สึกหงุดหงิดใจกับท่าทีของพวกนาง เพราะเขาขี้เกียจเกินไปที่จะสนใจคนพวกนั้น ดังนั้นชายหนุ่มจึงยกมือขึ้นและพูดว่า “วางใจได้เลย ข้าน้อยจะไม่ให้ใครมาแตะต้องพวกท่านได้อย่างแน่นอน ! แต่เอาเป็นว่าผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ขอตัวลาไปจัดการธุระก่อน โปรดดูแลตัวเองด้วย ลาก่อน !” เมื่อพูดอย่างนั้น ถังหยินก็พลันยืดตัวและเดินจากไป
เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะจากไป นางสนมคนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจกลัว ก่อนเป็นฮัวหลงที่ถามขึ้นมา “ท่านจะไปไหนกัน ?”
“พวกท่านปลอดภัยแล้ว ข้าไม่มีเหตุที่จะต้องอยู่ที่นี่อีก”
“ทำไมกัน ทำท่านถึงไม่อยู่ในวัง ? ด้วยวิธีนี้ท่านจะได้ปกป้องเราได้ง่ายขึ้น” เมื่อนางพูดเช่นนี้ ดวงตาของหญิงสาวก็พลันส่องประกายออกมา
ถังหยินหยุดเดิน เขาขมวดคิ้วแน่น แล้วพูดอย่างแผ่วเบา “ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้เป็นเพียงขุนนางต่ำต้อย ดังนั้นข้าจึงไม่อาจที่จะอยู่ในวังได้ ดังนั้นข้าน้อยจึงจะปกป้องอยู่ด้านนอก และทำให้แน่ใจว่าพวกท่านทุกคนปลอดภัย”
เมื่อได้ยินคำถามของถังหยิน ไม่เพียงแต่ฮั๋วหลงจะไม่โกรธหรืออาย แต่ดวงตาของนาวก็ยังสว่างขึ้นและจ้องไปที่ถังหยินโดยไม่กะพริบตา
ถังหยินไม่ต้องการเสียเวลาพูดกับนางอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าและพาแม่ทัพนายกองหันหลังเดินออกจากห้องโถงไป
เมื่อพวกเขาอยู่ข้างนอก ก็เป็นหยวนเปียวที่พูดขึ้นด้วยความโกรธ “พวกนางน่ารังเกียจนัก เป็นหญิงสำส่อนโดยแท้ วาจาแบบนั้น.. พวกนางคิดจะยั่วยวนนายท่านชัด ๆ!”
ถังหยินแค่หัวเราะและไม่พูดอะไรมาก
ชิวเจิ้นขมวดคิ้ว ขณะที่เขานึกถึงบางสิ่งบางอย่าง “นายท่าน ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อฮัวหลงมาก่อนเลย ?”
ถังหยินไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก เขาจึงพูดอย่างไม่เป็นทางการ “นั่นซินะ ถ้างั้นแล้วเจ้าพอจะตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่ ว่าท่านอ๋องคนก่อนมีนางสนมกี่คนกันแน่ ?”
ชิวเจิ้นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าจะไปตรวจสอบในภายหลัง”
ถังหยินรู้สึกว่าชิวเจิ้นกังวลเกิดความจำเป็น เขาเลยหัวเราะออกมา “แม้ว่านางจะไม่ใช่นางบำเรอของท่านอ๋องคนก่อน แต่ก็อาจเป็นนางบำเรอของซ่งเทียนก็ได้ ดังนั้นไม่ต้องกังวลอะไรมากนักหรอก เอาเป็นว่าเรากลับมาสนใจเรื่องประกาศดีกว่า ถ้าเป็นพรุ่งนี้เจ้าคิดว่าไง ?”
จริงด้วย ! คำเตือนของถังหยินทำให้ชิวเจิ้นนึกขึ้นได้ในทันทีว่าชายหนุ่มยังไม่ได้ทำการประกาศอ้างความชอบธรรมเลย ! ดังนั้นเขาจึงได้โยนเรื่องตัวตนของนางฮัวหลงทิ้งไป และพูดกับถังหยิน “ข้าได้พูดคุยเรื่องนี้กับซงหยวนและคนอื่น ๆ แล้ว นี่เป็นคำแนะนำของทุกคน นายท่านโปรดดู ”
เมื่อพูดเช่นนั้น ชิวเจิ้นก็ได้หยิบผ้าไหมออกมาจากแขนเสื้อของเขาและส่งมอบให้ถังหยินด้วยความเคารพ
ถังหยินรับมันและเดินไปที่คบเพลิงข้างทาง ก่อนจะก้มมองลงไปอ่านเนื้อหาที่เขียนบนผ้าไหมนั่น
ด้วยชิวเจิ้นและกุนซือคนอื่น ๆ รู้เกี่ยวกับอาชญากรรมหลายสิบอย่างของซ่งเทียนเป็นอย่างดี เลยทำให้ถ้อยคำในนั้นดูสมเหตุสมผล และเชื่อมโยงไปสู่ความชอบธรรมของถังหยิน ในฐานะที่ชายหนุ่มเป็นผู้กอบกู้ได้อย่างแนบเนียน ซึ่งภายในนั้น มันก็ได้มีการกล่าวเสริมด้วยว่าถังหยินได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์ และมังกรศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้เขาประสบชัย จนก้าวมาถึงจุดนี้ !
หลังจากถังหยินเห็นสิ่งนี้เด็กหนุ่มเขียน เขาก็ไม่สามารถเก็บอาการได้ จึงหันไปถามคนข้างตัว “ชิวเจิ้น นี่ไม่มากไปหน่อยเหรอ !”
ชิวเจิ้นโบกมือของเขา ก่อนจะลดศีรษะลง มองไปที่เนื้อหาบนผ้าไหมและกล่าวว่า “ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้คิดว่าการเขียนอาชญากรรมของซ่งเทียนนั้นควรจะมีมากกว่านี้”
ถังหยินไม่ได้สนใจว่าในส่วนของซ่งเทียนจะเขียนอย่างไร เขายิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ข้ากำลังบอกว่าเนื้อหาที่เขียนเกี่ยวกับข้าในนั้นมันดูเกินจริงมากไป”
ชิวเจิ้นยอมรับและพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาพูดเบา ๆ ว่า “นายท่าน ด้วยความวุ่นวายในแคว้นเฟิง ณ ตอนนี้ ท่านรู้ไหมว่าผู้ปกครองประเภทใดที่ประชาชนปรารถนามากที่สุดและยอมรับมากที่สุด ?”
ถังหยินมองไปที่เขาอย่างสงสัย
ชิวเจิ้นที่เห็นแบบนั้นจึงพูดต่อไป “โดยธรรมชาติแล้วประชาชนต่างก็หวังว่าอ๋องของพวกเขาจะรักประชาชนเหมือนลูก และท่านอ๋องก็ควรจะเป็นผู้ที่มาล้างความอัปยศที่เคยเกิดขึ้น ดังนั้นแล้วสิ่งที่ท่านกระทำและถ้อยคำในนี้ ก็คือหัวใจสำคัญที่ท่านจะใช้พิชิตใจผู้คน !”
“มะ…?” ถังหยินพึมพำกับตัวเอง จากนั้นจึงอ่านเนื้อหาอย่างละเอียดอีกครั้งตั้งแต่ต้นจนจบ ก่อนจะส่งมอบให้ชิวเจิ้นและกล่าวว่า “เจ้าจัดการเรื่องนี้ต่อเลย ข้าไม่มีข้อขัดข้องใด”
“รับทราบขอรับ นายท่าน !” หลังจากได้รับคำยืนยันของถังหยิน ชิวเจิ้นก็ตอบตกลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาหยิบผ้าไหมและพับกลับเข้าไปในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเดินตามถังหยินออกจากวังไปเรื่อย
“ท่านขอรับ แม้ว่ากองทหารของเราจะเข้ายึดวังได้แล้วในตอนนี้ แต่เราก็ไม่สามารถผ่อนคลายได้อย่างที่เราควรจะเป็น เราควรใช้ประโยชน์จากชัยชนะนี้เพื่อเดินทางต่อไปทางใต้ และทำลายกองกำลังของซ่งเทียนลงอย่างสมบูรณ์ ” จู่ ๆ ชิวเจิ้นก็กล่าวขึ้น
ความคิดเห็นของเด็กหนุ่มใกล้เคียงกับถังหยิน เพราะถ้าเขาตัดหญ้าโดยไม่ถอนรากถอนโคน มันก็จะงอกขึ้นมาใหม่อีกครั้งแน่นอนกับซ่งเทียนเขาย่อมไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ!
ชายหนุ่มพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าก็มีความตั้งใจเช่นเดียวกัน ตราบใดที่สถานการณ์ที่นี่มีเสถียรภาพ ข้าก็จะมุ่งหน้าลงใต้ทันที”
ชิวเจิ้นหัวเราะและถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาคิดไม่ผิดจริง ๆ ถังหยินไม่ใช่คนสายตาสั้นและไม่ใช่คนที่โลภมากแต่อย่างใด …และก็คงมีเพียงคนอย่างถังหยินเท่านั้นที่สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ เมื่อคิดแบบนี้ ในใจของเด็กหนุ่มก็พลันมีความสุขเอ้อล้นออกมา เช่นเดียวกับรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเขาขณะที่กล่าวว่า “แล้วเจอกันขอรับ นายท่าน”