ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 399
บทที่ 399
บทที่ 399
ถังหยินเดินตามไปจนถึงห้องโถงใหญ่ในจวนของชิวเยว่ และในขณะที่เขานั่งลงข้าง ๆ หลีเทียนก็พลันเดินก้าวออกมาข้างหน้า
หลีเทียนผู้นั้นเดินตรงไปที่ด้านข้างของถังหยินโดยไม่ได้มองไปที่ชิวเยว่แม้แต่น้อย เขาก้มลงและกระซิบข้างหูชายหนุ่ม “นายท่าน กองทัพของซ่งเทียนหายไปแล้วขอรับ”
“อะไรนะ ?” ถังหยินขมวดคิ้วแน่น หันมองไปยังหลีเทียน ด้วยเขาไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร กองทัพ 2 หมื่นคนจะหายไปเหมือนธาตุอากาศเฉย ๆ ได้อย่างไรกัน ?
หลีเทียนอธิบายอย่างเงียบ ๆ ว่า “เราเพิ่งตรวจพบว่าขณะนี้กองทัพหนิงไม่ได้อยู่ระหว่างเดินทางไปยังเมืองฝาง ส่วนพวกเขาไปที่ไหนนั้น …ยังคงอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ”
นี่ถือเป็นเรื่องแปลกจริง ๆ ถ้าซ่งเทียนไม่หนีผ่านเมืองฝาง แล้วเขาจะหนีไปไหนได้อีก ? เป็นไปได้ไหมว่าเขากำลังรวบรวมกองกำลังขึ้นมาใหม่ ? ถังหยินแค่นเสียงเย็นชา หันไปพูดกับหลีเทียน “ส่งคนของเจ้าออกไป ให้อัยเจียรวบรวมข่าวสารให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้…”
“รับทราบขอรับ !” หลีเทียนรับคำสั่งแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าใบหน้าคู่สนทนาตึงเครียด ชิวเยว่ที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็อดที่จะถามไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ ?”
ถังหยินโบกมือ ยิ้มให้เขาและพูดว่า “ไม่มีอะไร ไม่จำเป็นต้องกังวล” หลังจากพูดแบบนั้นเขาก็หยุดชั่วขณะก่อนร้องถามว่า “ท่านชิว ตอนที่พวกของซ่งเทียนมาที่เมืองของท่าน จำได้ไหมว่าพวกเขาหลบหนีไปทางทิศใด ?”
“ทางใต้ !” ชิวเยว่ไม่ได้คิดแม้แต่น้อย เขาเร่งพูดออกไปในทันทีทันใด “เขากำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองฝางอย่างแน่นอน”
“โอ้… น่าแปลกซะจริง ๆ” ถังหยินเหล่ตาของเขาและพึมพำ
ชิวเยว่จึงถามขึ้นมา “ท่านถัง… ?”
ถังหยินดูเหมือนจะนึกถึงอะไรบางอย่างและพูดแผ่วเบา “เพราะว่าข้าเพิ่งได้รับข่าวจากหน่วยสอดแนม ว่าระหว่างทางไปเมืองฝางไม่พบร่องรอยอะไรแบบนั้นเลย ”
ชิวเยว่ตกใจ หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งเขาก็พลันส่ายหัวและพูดว่า “เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ข้าน้อยเห็นซ่งเทียนไปทางของเมืองฝางจริง ๆ นะขอรับ …ทุก ๆ คนที่อยู่กับข้าต่างก็เห็นกับตา”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เหล่าแม่ทัพนายกองนายโดยรอบก็พากันขานรับเป็นลูกคู่ “ถูกต้องแล้ว ๆ ซ่งเทียนกำลังหลบหนีไปทางเมืองฝางจริง ๆ”
ถังหยินเข้าใจนิสัยหลีเทียนเป็นอย่างดี เขาระมัดระวังและรอบคอบ แน่นอนหากเขาไม่มั่นใจ เขาคงไม่ได้รายงานข้อมูลให้ตนทราบแน่ ๆ และด้วยความสามารถของเนตรเวหากับเครือข่ายใยพิภพ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะผิดพลาดกับอะไรง่าย ๆ แบบนี้”
จากนั้นจีหยิงก็พลันเอ่ยคาดเดามั่ว ๆ ออกมาว่า “นายท่าน ข้าว่าพวกมันอาจจะซ่อนตัวที่ไหนสักแห่ง”
“อ๋อ ?” ถังหยินหันไปมองจีหยิง และรอให้เขาพูดต่อ
จีหยิงกล่าวว่า “พวกหนิงมันต่อสู้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสองวันหนึ่งคืน อีกทั้งเสบียงก็ไม่มี จึงเป็นไปได้ว่าพวกมันเหนื่อยล้าเกินกว่าจะไปถึงเมืองฝาง และด้วยสภาพนั้น ก็เกรงว่าถ้าฝืนไปคงมีแต่จะทำให้เสียกำลังไปเปล่า ๆ …ดังนั้นข้าจึงคิดว่ากองทัพหนิงต้องหาที่พักผ่อนในคืนนี้เป็นแน่ ก่อนที่พวกมันจะเริ่มเดินขบวนอีกครั้ง ”
“อย่างนี้นี่เอง… !” ถังหยินฟังและพยักหน้ารับ ด้วยรู้สึกว่าการวิเคราะห์ของจีหยิงเชื่อถือได้ ก่อนที่เขาจะถามอย่างสงสัย “แล้วถ้าเป็นตามที่แม่ทัพจีหยิงคิด พวกมันน่าจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ?”
จีหยิงก้มหัวลงเพื่อคิดจากนั้นก็พูดว่า “ตามที่ข้ารู้มา มีภูเขานามสามเซียนตั้งอยู่ทางเหนือของเมืองเจี้ยน ภูมิประเทศที่นั่นสูงชัน และมีสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนเหมาะแก่การซ่อนตัวเป็นอย่างยิ่ง”
แม้ว่าจีหยิงจะไม่ได้เห็นการเคลื่อนไหวของศัตรู แต่เขาก็รู้ทุกอย่างเหมือนเห็นมากับตา ผิดกับซ่งเทียนและชาวหนิงที่ไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศในท้องถิ่น และไม่ทราบที่ตั้งของภูเขาสามเซียนเลย ดังนั้นสถานที่ที่พวกเขาเลือกซ่อนจึงเป็นเพียงป่าเล็ก ๆ ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของจีหยิง
หลังจากได้ยินการวิเคราะห์ของจีหยิง ถังหยินก็พลันปรบมือและหัวเราะเป็นเชิงยกย่อง “เป็นการวิเคราะห์ที่สมเหตุสมผลอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เราจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้ !! ”
จีหยิงส่ายหัวและกล่าวว่า “นายท่าน นี่เป็นเวลากลางคืน การต่อสู้ในเวลานี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากมากเกินไป และกองทัพของเราก็เคลื่อนพลกันมาทั้งวันแล้ว เราควรที่จะพักผ่อน”
ถังหยินถามข้อสงสัยของเขา “แล้วถ้าเกิดว่าพวกมันชิงหลบหนีไปก่อนเล่า ?”
จีหยิงกล่าวอย่างมั่นใจ “ ภูเขาสามเซียนมีคูน้ำระหว่างภูเขาสามลูก มีทางเข้าและทางออกทางเดียวไม่มีทางอื่นใด กองทัพอินทรีสวรรค์จะแยกกองกำลังออกเป็นสอง เพื่อปิดกั้นทางเข้าออกเอาไว้ และเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น นายท่านก็สามารถนำกองทหารม้าบุกเข้าไปในภูเขาเพื่อจัดการศัตรูให้สิ้นซากในคราเดียว !”
ถังหยินยิ้มพยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะ เราจะทำตามที่เจ้าว่า !”
จีหยิงยืนขึ้นโค้งคำนับถังหยินและกล่าวว่า “ข้าจะเป็นคนนำกองทหารไปเอง”
“ระวังตัวให้ดี !”
“ไม่ต้องกังวลขอรับ นายท่าน” ในขณะที่พูด จีหยิงก็นำเหล่าทหารของกองทัพอินทรีสวรรค์เดินทางออกไป
หลังจากที่จีหยิงจากไป ถังหยินก็หันไปพูดกับชิวเยว่ “ท่านชิว ข้ามีทหารม้ามากับข้ามากกว่าหมื่นนายที่ต้องการอาศัยอยู่ในเมืองรบกวนท่านจัดการหาที่พักให้ได้หรือไม่ ?”
“ได้เลย ได้เลยขอรับ !” ในที่สุดชิวเยว่ก็ได้โอกาสให้พูดแล้ว เขาพยักหน้าถี่รัว ตอบกลับไปว่า “ข้าจะส่งคนไปทำความสะอาดที่พักอาศัยทันที” ขณะที่พูด เขาก็ได้โบกมือสั่งให้เจ้าหน้าที่ด้านล่างดำเนินการทันที
จากนั้นถังหยินก็พลันกล่าวว่า “คืนนี้ข้าจะอยู่ในโรงเตี๊ยม ช่วยเตรียมห้องให้ซักสองสามห้องด้วย”
“ได้ขอรับ ! โอ… สภาพโรงเตี๊ยมน่าจะเลวร้ายสำหรับท่านมากเกินไป ข้าคิดว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่ท่านและแม่ทัพของท่านจะอยู่พักที่จวนของข้า” ชิวเยว่กล่าวด้วยท่าทางที่ประจบ
ถังหยินหัวเราะและกล่าวว่า “ข้าซึ้งในน้ำใจของท่านมาก แต่ว่าไม่จำเป็นหรอก”
ชิวเยว่ยังไม่ยอมแพ้และยังคงยืนยันขอให้เขาอยู่ต่อ แต่ถังหยินก็ยังคงปฏิเสธเขาอย่างสุภาพ และเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยืนยันที่จะอยู่ในโรงเตี๊ยม ชิวเยว่จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องส่งคนไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อทำความสะอาดภายในจากนั้นก็ไล่คนออกมาให้หมด
…นี่เป็นเวลาดึกแล้ว แต่เมืองเจี้ยนไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินใด ๆ ยังคงเห็นภาพเงาของคนเดินถนนเป็นระยะ ๆ
ชาวเมืองได้ทราบข่าวกันแล้วว่าถังหยินที่เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพเทียนหยวนเข้ามาในเมือง ดังนั้นจึงหยุดอยู่ที่สองข้างทาง และเมื่อเห็นถังหยินกับคนอื่น ๆ ที่กำลังเดินทางไปโรงเตี๊ยม พวกเขาก็พากันชี้นิ้วคาดเดาอย่างตื่นเต้นว่าผู้ใดคือถังหยิน
ปัจจุบันชื่อเสียงของถังหยินได้แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมของแคว้นเฟิงแล้ว อาจกล่าวได้ว่ายากนักที่จะไม่มีใครรู้จักชายหนุ่ม…
เนื่องจากถังหยินและชิวเยว่กำลังเดินเคียงบ่าเคียงไหล่โดยมีแม่ทัพคนอื่น ๆ ตามหลังพวกเขามา ชาวบ้านโดยรอบจึงพอจะคาดเดาได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของชายหนุ่ม
ถังหยินและชิวเยว่กำลังเดินไปข้างหน้า ในเวลาเดียวกันกับที่ฝูงชนข้างหน้าพวกเขาเริ่มกระสับกระส่ายและบีบผู้อาวุโสสองคนออกจากฝูงชน ก่อนที่ชายชราทั้งสองจะเงยหน้าขึ้นมองถังหยินที่กำลังขี่ม้าและพูดว่า “ท่านถัง ชายชราคนนี้ขอแสดงความเคารพต่อท่าน”
ชิวเยว่ตกใจมาก เขาไม่รู้ว่าชายชราสองคนที่โผล่ออกมาต้องการจะทำอะไรกันแน่ ดังนั้นเขาจึงหันหน้าไปอย่างกังวลพลางร้องตะโกนบอกทหารยามข้าง ๆ“ เร็ว ๆๆ! เอาเขาออกไปก่อน อย่ามาขวางทางพวกเรา”
ถังหยินไม่ได้คิดมากอย่างที่อีกฝ่ายคาดการณ์เอาไว้ ชายหนุ่มเพียงโบกมือและยิ้มส่งสัญญาณให้ชิวเยว่เป็นเชิงปราม ๆ จากนั้นเขาก็ลดตัวลงทันทีและถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรว่า “ผู้อาวุโสทั้งสอง ท่านคือใคร ?”
แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าและมีผมสีขาว แต่พวกเขาก็มีดาบห้อยอยู่ที่เอวและดวงตาของพวกเขาก็สดใส อันที่จริง …พวกเขายังดูมีพลังมากกว่าผู้อาวุโสในปีเดียวกันเสียอีก
ชายชราคนหนึ่งโค้งคำนับและกล่าวว่า “พวกเราทุกคนเป็นทหารเกษียณจากกองทัพหลวง เมื่อได้ยินว่าท่านถังนำกองทัพเฟิงเข้ามาในเมือง เราจึงมาแสดงความเคารพต่อท่านเป็นพิเศษ !” ขณะที่พวกเขาพูด ผู้อาวุโสทั้งสองก็พลันประสานมือกันอีกครั้งและคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อแสดงความเคารพ
เมื่อเห็นท่าทีแบบนั้น ชายหนุ่มก็จึงก้มหัวตอบกลับพวกเขาอย่างสุภาพและกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ทหารเฟิงทุกนายถือเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อแคว้นเฟิง และถ้าเป็นสิ่งที่พวกเราทำได้ ไม่ว่าจะอะไรพวกเราก็จะหาทางตอบแทนพวกท่าน”
การกระทำของถังหยินทำให้ผู้คนโดยรอบประหลาดใจ ถังหยินคือใครกัน ? แม้แต่ท่านเจ้าเมืองยังไม่อาจเปรียบเทียบกับชายผู้นี้ได้ แล้วดูสิ่งที่เขาพูดนั่นซิ !!
“ท่านถัง เรายินดีอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน!”
ถังหยินเพียงกล่าวกับนายทหารชราเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่พวกชาวเมืองทั้งสองข้างทางกับพร้อมใจกันคุกเข่าลง