ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 40
บทที่ 40
ทาสทหารหนิงเหล่านี้ไม่ได้น่ากลัวตามที่ถังหยินพูดเอาไว้ พวกเขามีแค่รูปลักษณ์เท่านั้นที่ดูน่าเกรงขาม แต่พลังในการต่อสู้นับได้ว่าอ่อนแอ
พวกเขาไม่มีความคิดหรืออารมณ์ใด ๆ ทั้งนั้น พากันพุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่ายได้อย่างไม่สนใจสิ่งใด พวกเขาไม่รู้จักเจ็บปวดหรือแม้แต่จะหวงแหนชีวิตของตน ต่อให้แขนหรือขาจะถูกตัดออกไป พวกเขาก็จะใช้ปากไล่กัดทุกคนที่อยู่ใกล้แทน
ในการต่อสู้แสนวุ่นวายนี้ พลังทำลายล้างของทหารผีดิบจึงถูกจำกัดไปมาก อย่างไรก็ตามความกลัวที่มันได้สร้างเอาไว้ก็ถือได้ว่าเยอะยิ่ง พวกทหารหนิงแทบไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลย พวกเขาหนีไปราวกับว่าเห็นผี ท้ายที่สุด แรงกดดันที่พวกถังหยินและกู่เยว่มีก็หายไปจนหมดสิ้น
ทั้ง 2 เข้าร่วมการสังหารพวกหนิงบนกำแพงเมืองต่อ ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ 2 ใน 5 ทหารผีดิบถูกจัดการไปแล้ว ส่วนอีก 3 ตัวเองก็แขนขาขาดพร้อมกับมีบาดแผลมากมาย
ชิวเจิ้นนั้นได้ใช้โอกาสนี้เดินเข้าไปหาพวกทหารผีดิบ
หลังจากมองหาอยู่นาน สุดท้ายเขาก็หันยิ้มให้กับถังหยิน “สหายถังสร้างทหารผีดิบพวกนี้ขึ้นมาเพิ่มเถอะ พวกมันช่วยเราได้ดีทีเดียว ! ”
ถังหยินหัวเราะ “ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ การเรียกพวกมันออกมา 5 ตัวก็เกินกำลังแล้วล่ะ!” ระหว่างที่พูด เขาก็เดินเข้าไปใกล้ชิวเจิ้นและใช้เคียวสับทหารของตัวเองที่เหลืออยู่จนตาย
“หา?” ชิวเจิ้น กู่เยว่ และหลีเทียนตะลึงจนต้องร้องออกมา พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องจัดการทหารที่เหลือ แม้ว่าทหารผีดิบจะไม่ใช่มนุษย์แล้ว แต่พวกเขาก็ยังพอสู้ได้ การฆ่าพวกมันไปนั้นก็ไม่ได้ช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแม้แต่น้อย !
ถังหยินคุกเข่าแล้วเรียกทหารผีดิบขึ้นมาอีกครั้ง 5 ตัว
เมื่อเห็นแบบนี้ชิวเจิ้นกับอีก 2 คนก็เข้าใจในความหมายของเขา ชายหนุ่มเดินไปยังกำแพงเมืองและก้มมองลงไป ไม่ว่าจะมองไปที่ไหนก็เห็นแต่พวกทหารศัตรูจำนวนมากจนไม่ต้องนับกันเลย
เขาถอนหายใจและมองไปยังอีกฟากของกำแพงเมืองที่ยังมีการต่อสู้กันอยู่ เสียงก่นด่าและเสียงอาวุธปะทะกันยังมีให้ได้ยินตลอดเวลา มีศพมากมายปะปนกับอาวุธที่แตกหัก ภาพตรงหน้าไม่ต่างอะไรจากนรกบนดินเลย
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ไม่ว่าจะแกร่งแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงเป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ ในสงครามอันยิ่งใหญ่อยู่ดี เขานั่งลงพิงกองธนูและลูบท้องตัวเอง “ถ้าข้าหาอะไรกินได้ก็ดีสิ”
ชิวเจิ้นหัวเราะแล้วนั่งข้างเขาพร้อมกับส่ายหัว “ตอนนี้เนี่ยนะ แม้แต่ข้าก็อยากจะกินรังนกหรือไม่ก็ครีบปลาสักหน่อยทว่าก็คงจะกินไม่ได้แล้วล่ะ” ที่รอบล้อมพวกเขาในตอนนี้นั้นมันมีก็แต่แขนขาซากศพและกลิ่นเลือดใครมันจะไปอยากอาหารกัน
“คนเราคือเหล็ก และอาหารคือแร่ธาตุ!” ถังหยินพึมพำเงยหน้าขึ้นและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า “ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าการต่อสู้นี้จะยื้อไปกันอีกนานเท่าไหร่”
แม้ว่าถังหยินจะดูดกลืนเลือดเนื้อเพื่อพลังของเขา ทว่าการต่อสู้ตั้งแต่เช้ามันก็ทำให้เขาเริ่มเหนื่อยล้า ร่างกายและจิตใจของชายหนุ่มอ่อนแรงเต็มที
“ใครจะไปรู้ล่ะ” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมา
เขาไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าฝั่งตัวเองจะป้องกันประตูตงได้นานแค่ไหน ถ้าพวกเขาไม่มีกำลังเสริมมาละก็ ยังไงก็ไม่มีใครหนีออกไปได้อยู่ดี “ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าแม่ทัพอู่จะเป็นยังไงบ้างแล้ว…”
ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงแตรดังมาจากด้านล่างเมือง มันเอาไว้ใช้ส่งสัญญาณในการเข้าโจมตีหรือถอยทัพกลับที่ใช้กันสากลในโลกใบนี้
ถังหยินลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “พวกศัตรูมากันอีกแล้ว!”
กู่เยว่เองก็เป็นทหาร เมื่อเขาได้ยินเสียงนี้ ต่อให้ร่างกายจะเต็มไปด้วยผ้าพันแผลและเหนื่อยอ่อน แต่แตรของศัตรูมันก็ทำให้เขาสะดุ้งขึ้นมาทันทีและจับดาบก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณเข้าไปในนั้น
ใช่แล้ว พวกหนิงกำลังจะโจมตีอีกครั้ง
ในครั้งนี้ การโจมตีของพวกหนิงเต็มไปด้วยทหารมากมายที่หลั่งไหลขึ้นมาบนกำแพงเมือง ไม่มีช่องว่างบนบันไดเลยแม้แต่น้อย พวกทหารกำลังค่อย ๆ ปีนกำแพงขึ้นมาพร้อมกับเสียงโห่ร้อง
จากนั้นการต่อสู้อันดุเดือดก็ดำเนินการต่อไป
การโจมตีของพวกหนิงลากยาวไปจนถึงช่วงเย็น และเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลงก็เริ่มเป็นการยากลำบากสำหรับฝ่ายที่กำลังจะบุกมา ทหาร 1 แสนนายจากทั้ง 2 ทางเข้าโจมตีกำแพงเมือง แต่มีเพียง 5 หมื่นเท่านั้นที่หนีออกมาได้ และมากกว่าครึ่งนั้นก็ล้มหายตายจากไป อย่างไรก็ตามทหารเฟิงก็ไม่ได้ได้เปรียบเท่าที่ควร
ร่างของทหารเฟิง ร่างของทหารหนิง และสุดท้ายก็กองซากศพอีกมากมายที่ปะปนกันมั่วไปหมด
เลือดเริ่มแห้งแล้วและทำให้กำแพงกลายเป็นสีแดง หมวกกับอาวุธชุดเกราะกองเต็มพื้นไปหมด ทหารเฟิงที่เหนื่อยล้าได้แต่นั่งพักกับพื้น ตอนนี้มิอาจบอกได้เลยว่าพวกเขากำลังมีสีหน้าหรืออารมณ์แบบใด
ไม่มีใครพูดทั้งนั้น และบนนั้นก็มีแต่เสียงร้องโอดครวญที่ดังขึ้นเป็นระยะ ถังหยิน ชิวเจิ้น กู่เยว่ และหลีเทียนค่อย ๆ เดินไปยังหอคอย
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกโกรธเคืองในใจ เขาไม่ได้โกรธพวกหนิงที่อยู่นอกเมือง แต่กลับโกรธพวกตระกูลเหลียงมากกว่า
เพื่อการป้องกันประตูตง พวกเขาต้องสละชีวิตเพื่อแคว้น แต่ด้วยกำลังพลที่มีเพียง 2 หมื่นนาย และศัตรูที่มากถึง 4 แสน การที่พวกเหลียงมาช้าถือได้ว่าเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวสิ้นดี !
แม้ว่าเขาจะได้รับการยกตำแหน่งให้สูงขึ้น แต่มันก็เป็นแค่เพิ่มโอกาสที่ให้เขาได้เจอนางเท่านั้น อย่างไรก็ตามในตอนนี้นั้นเขากลับรู้สึกโกรธพวกเหลียงเป็นอย่างมาก
“ถังหยิน!”
เมื่อทั้ง 4 ไปถึงหอคอย พวกเขาก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อ ชายหนุ่มมองขึ้นไป และเห็นอู่เหมยเอนตัวมาหาเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง และรอยยิ้มที่แสดงให้เห็นถึงความดีใจ ในตอนนี้เกราะปราณของถังหยินก็ได้หายไป เขายิ้มให้กับอู่เหมย ด้วยเพราะดีใจที่เห็นว่านางยังปลอดภัยดีอยู่
เขาขึ้นไปบนหอคอยเพื่อพบกับหญิงสาว
หอคอยไม่ใหญ่มาก มันสูงราว 1 จั้งและกว้างเพียงครึ่งจั้ง ดังนั้นจึงพื้นที่เพียงหยิบมือเท่านั้น
ข้างในนั่นไม่ได้มีแค่พี่น้องอู่ แต่มีแม่ทัพซงเจิ้นด้วย การต่อสู้ในวันนี้มันทำให้ตัวเขาแก่ชราลงไปมากทีเดียว
อู่เหมยและอู่อิงเองก็เข้ารวมในสงครามอย่างดุเดือด ทั้ง 2 เต็มไปด้วยเลือด แต่ก็ยังมีพละกำลังเต็มที่ แถมยังไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย โดยไม่รอให้ถังหยินพูด อู่เหมยก็พูดก่อน “เจ้าหายไปไหนน่ะ? ทำไมเราถึงหาเจ้าไม่เจอเสียที!”
ชายหนุ่มหัวเราะ “ข้าไปอยู่ที่ทางเหนือมา”
“โอ้” หญิงสาวตอบกลับ “แล้วที่นั่นเป็นยังไงบ้าง? เมื่อตอนที่พวกหนิงเข้าโจมตี เราได้ข่าวมาว่าพวกมันทุ่มกำลังทหารไปทางเหนือมากทีเดียว”
ถังหยินยักไหล่ “ข้าจะทำอะไรได้ล่ะ?!” จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังชิวเจิ้นกับอีก 2 คน “สุดท้ายแล้วก็เหลือแค่พวกเรา 4 คน ที่เหลือล้วนแล้วแต่ตายกันหมด”
อู่เหมยชายตามองชิวเจิ้น กู่เยว่ และหลีเทียน แต่ไม่ได้พูดอะไร นางถอนหายใจเบา ๆ และพูดกับซงเจิ้น “แม่ทัพซงเจิ้น ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ เราว่าคงป้องกันไปได้อีกไม่นาน ท่านน่าจะมากับเรา ฝ่าบาทเองก็มีเหตุผลของเขาเหมือนกัน ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ท่านอ๋องคงไม่ลงโทษท่านหรอก”
“ฮ่าๆ…” ซิงเจิ้นหัวเราะออกมาจนปากกว้างแทบฉีก เขาส่ายหัว “ตอนนี้สิ่งที่ข้าให้ความสนใจก็มีแค่เขาจะลงโทษข้างั้นหรือ?! ในเมื่อฝ่าบาทให้ข้าเป็นคนดูแลกำแพงหน้าด่านตงแห่งนี้ นั่นก็แสดงว่าพระองค์นั้นเชื่อมั่นในมือข้า”
“แม่ทัพซงเจิ้น…”
เขาโบกมือขัดคำแนะนำของนาง “แม่ทัพอู่และข้ามีหน้าที่ที่แตกต่างกันไป ไม่จำเป็นที่ท่านต้องอยู่หรอก”
เมื่อเห็นอู่เหมยไม่ได้พูดอะไรมาก เขาก็พูดต่ออย่างจริงจัง “ในภายภาคหน้าอีกนับแสนปีของแคว้นนี้ แม่ทัพจะต้องตายในสนามรบเท่านั้น ห้ามพวกเขาหนีออกจากสมรภูมิโดยเด็ดขาด ต่อให้ข้าจะโดนปิดล้อมด้วยจำนวนคนที่มากกว่า แต่ข้าก็จะขอสู้เพื่อปกป้องประตูตงและเกียรติศักดิ์ศรีของแคว้นเฟิง!”
ได้ยินแบบนี้ทุกคนก็เริ่มมีกำลังใจ
พวกทหารที่อยู่รอบ ๆ พากันโค้งหัวให้แล้วปาดน้ำตาตัวเอง พี่น้องอู่เหมยก็ซาบซึ้งใจมาก พวกนางไม่อาจพูดอะไรได้เลย แม้แต่หัวใจของถังหยินเองก็ตื้นตันที่ได้ยินอะไรแบบนี้เช่นกัน
“ข้าจะถามท่านอย่างหนึ่ง ท่านแม่ทัพอู่” ซงเจิ้นหยิบจดหมายยื่นให้กับหญิงสาว “ข้าหวังว่าจดหมายนี้จะถูกนำกลับไปยังบ้านของข้าหลังจากที่ท่านกลับไปยังเมืองหยานได้นะ”
อู่เหมยมือสั่นหลังจากที่รับมันมา นางพูดอีกครั้ง “ท่านแม่ทัพซงเจิ้น…” ในจังหวะนี้นางเห็นท่าทีจริงจังของซงเจิ้น จึงได้กลืนคำพูดลงไป หญิงสาวรู้ดีว่าหากยังดื้อดึงต่อไปมันจะเป็นการหมิ่นเกียรติของเขาได้
อู่เหมยเก็บจดหมายก้มหัวลงและพูดอย่างจริงจัง “แม่ทัพซงเจิ้น ได้โปรดวางใจเถิด เราจะนำจดหมายของท่านไปส่งมอบให้เอง”
“ขอบคุณมากท่านแม่ทัพอู่” ซงเจิ้นยิ้มออกมา “แบบนี้ข้าก็ไม่ต้องกังวลแล้วสินะ”
ชายวัยกลางคนมองไปยังค่ายทหารหนิงนอกกำแพง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าคิดว่าพวกหนิงน่าจะโจมตีอีกทีคืนนี้ ท่านแม่ทัพอู่รีบไปเถอะ”
หญิงสาวขบริมฝีปาก และข่มใจพูดออกมา “เราจะรอที่เมืองหลวงเพื่อรอให้ท่านแม่ทัพซงเจิ้นนำข่าวดีกลับมานะ”
คำพูดเหล่านี้ แม้แต่นางเองก็ไม่เชื่อ นี่หมายความว่านางกำลังพยายามให้กำลังใจเขา แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็หวังว่าจะให้ซงเจิ้นนำข่าวดีกลับมาให้ได้จริง ๆ
“หึหึ ถ้าหากโชคชะตาเข้าข้างข้าละก็ หวังว่าเราจะได้พบกันในเมืองหยาน!”