ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 451
บทที่ 451
บทที่ 451
ดาบของฮ่าวจ้าวฟาดใส่จ้านอู่ตี้อย่างรุนแรง ในความคิดของเขา อีกฝ่ายนั้นหมดแรงแน่แล้ว ทว่าในความเป็นจริงมันหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเมื่อใบมีดของฮ่าวจ้าวกำลังจะเฉือนเข้ากับลำคอของจ้านอู่ตี้ ดวงตาสีเทาของอีกฝ่ายก็พลันเปลี่ยนสี และโดยไม่มีการเตือนใด ๆ ดาบแสงม่วงในมือของจ้านอู่จี้ก็ได้กวาดออกไป
ถึงจ้านอู่ตี้จะออกตัวช้ากว่า แต่การโจมตีของเขาก็เข้าถึงตัวฮ่าวจ้าวก่อน….
ร่างของฮ่าวจ้าวล้มลงกับพื้นในฉับพลันนั้น ก่อนที่ความเจ็บปวดจะแล่นขึ้นมาจากเบื้องล่าง ด้วยกลายเป็นว่าขาทั้งสองข้างของเขาขาดออกในแนวเดียวกัน จนมีเลือดไหลทะลักออกมาราวกับน้ำตก
“อ๊ากกกกกก ?!” ฮ่าวจ้าวกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียงด้วยความกลัว
แคร็ก !
จ้านอู่ตี้แทงดาบปราณลงกับพื้น ใช้กำลังทั้งหมดเพื่อพยุงร่างกายขึ้น และเมื่อลุกขึ้นยืนได้ ร่างกายของเขาก็พลันสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ก่อนที่เลือดสด ๆ จะไหลซึมออกมาจากเกราะปราณ
จ้านอู่ตี้ก้มหัวลงมองไปที่ฮ่าวจ้าวที่กำลังร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ก่อนที่เขาจะดึงดาบปราณขึ้นมาจับตั้งมั่นเมื่อยื่นได้แล้ว
….โดยทั่วไปการสูญเสียขาทั้งสองข้างมันก็เท่ากับการสูญเสียทุกสิ่งอย่าง ไม่มีอะไรจะโหดร้ายไปกว่านี้ได้อีกแล้ว และตอนนี้… การจะฆ่าฮ่าวจ้าวมันก็ถือเป็นเรื่องง่ายดั่งปอกกล้วย ทว่าจ้านอู่ตี้ไม่ได้ให้ความสนใจกับอีกฝ่ายอีกต่อไป เขาหันกลับมาและมองไปที่ถังหยินตรงหน้า !!
เนื่องจากเขาเสียเลือดมากเกินไป การมองเห็นของจ้านอู่ตี้จึงพร่ามัวยิ่ง ชนิดที่ว่าไม่สามารถบอกได้ว่าถังหยินอยู่ที่ไหน จึงได้แต่ใช้ใบดาบพยุงตัวเองขณะที่พยายามลากขาไปข้างหน้า
“เจ้ากล้าออกมาสู้กับข้าหรือไม่ ถังหยิน ?” เสียงแหบพร่าและเหนื่อยหอบของจ้านอู่ตี้ดังขึ้น
บาดแผลในระดับนี้คนธรรมดาคงจะเสียชีวิตจากการบาดเจ็บไปนานแล้ว แต่จ้านอู่ตี้กลับยังมีใจที่จะต่อสู้กับถังหยินอีก !
แม้ว่าแม่ทัพและทหารของกองทัพเฟิงจะอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพวกหนิง แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะแอบยกย่องจ้านอู่ตี้ในใจ !
จ้านอู่ตี้เดินเป๋ไปมา ทำให้ถังหยินหัวเราะเยาะออกมา ก่อนจะชี้ไปยังจ้านอู่ตี้ที่มองไม่เห็นอะไรตรงหน้า และตามมาด้วยเสียงหัวเราะเยาะที่ดังลั่นยิ่งกว่าเดิม !
…ในสนามประลองที่อัดแน่นไปด้วยความเงียบงัน มีเพียงถังหยินเท่านั้นที่หัวเราะ ซึ่งเสียงหัวเราะของชายหนุ่มนั้น มันก็ช่างฟังดูเสียดหูเสียเหลือเกิน
น่าเสียดายที่จ้านอู่ตี้ในตอนนี้ไม่ได้ยินเสียงใดอีกต่อไปแล้ว เขายังคงเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ในขณะที่พึมพำกับตัวเอง “ถังหยิน.. ! มา… สู้กับ.. ข.. ข้า”
ถังหยินหันศีรษะและโบกมือให้ทหารยามคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังเขาก่อนพูดว่า “เอาธนูมา !” ทหารยามผู้นั้นได้สติและหันมองไปที่ถังหยิน ด้วยเขาไม่ได้ยินสิ่งที่ถังหยินพูดในตอนแรก
เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาใด ๆ จากอีกฝ่าย ถังหยินจึงหรี่ตาของเขาและพูดอีกครั้ง “ธนู !”
“อ๊ะ ! ขอรับ ๆ!” คราวนี้ทหารยามเข้าใจ เขารีบดึงคันธนูและลูกศรมาส่งมอบให้ถังหยินอย่างรีบร้อน
ถังหยินหยิบมันขึ้นมาและเคาะลูกศรลงบนสายธนู เขาเหลือบมองไปที่จ้านอู่ตี้แล้วยิ้มให้อีกฝ่าย “ท่านแม่ทัพ เขาอยู่ห่างออกไปแค่ไหน ?”
มูฉิงกระพริบตาวัดสักพักแล้วตอบว่า “ราว ๆ ร้อยก้าวขอรับ !”
“อืม… !” ถังหยินพยักหน้าและถามอีกครั้ง “แล้ว… คิดว่าข้าจะยิงเขาโดนไหม ?”
จ้านอู่ตี้เป็นแม่ทัพผู้สง่างามแห่งแคว้นหนิง มากไปด้วยความกล้าหาญและแข็งแกร่งเกินใคร แต่ในสายตาของถังหยิน อีกฝ่ายนั้นไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำไป หากแต่เป็นเพียงเหยื่อที่ชายหนุ่มสามารถเพลิดเพลินและย่ำยีได้ตามที่ต้องการ !!
บางครั้งถังหยินก็ดูเหมือนจะมากไปด้วยคุณธรรม แต่บางครั้งเขาก็เลือดเย็นจนน่ากลัว แม้แต่มูฉิงก็ไม่อาจเข้าใจบุคลิกภาพตามอำเภอใจเช่นนี้ของถังหยินได้…
เขากลืนน้ำลายแล้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่ประจบประแจง “ฝีมือการยิงของนายท่านนั้นยอดเยี่ยมในหมู่มนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัยขอรับ !” ถังหยินกลอกตาของเขา และก่อนที่มูฉิงจะพูดจบ เขาก็ได้ปล่อยสายธนูไปแล้ว
ฟิ้ว !
ลูกธนูพุ่งออกไปพร้อมกับสายลมตรงเข้าหาจ้านอู่ตี้
ฉึก !
ลูกศรแทงทะลุต้นขาของจ้านอู่ตี้ และเพราะร่างกายของเขาไม่มีเกราะปราณแล้ว ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไร้ทางต่อต้านได้อย่างสิ้นเชิง
“ฮึ ?” จ้านอู่ตี้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ร่างกายของเขาแกว่งไปมาทว่าไม่ได้ล้มลง ก่อนที่จ้านอู่ตี้จะจับดาบในมือแน่นพลางกวัดแกว่งมันไปมาและคำรามเสียงแหบแห้ง “ถังหยิน ! เจ้าจะมุดหัวอยู่อีกนานเท่าใด ! ออกมาสู้กับข้าซะสิ !?” เมื่อพูดจบ ลูกศรดอกที่สองจากถังหยินก็มาถึงพอดี
ฉึก !
ลูกศรดอกนี้พุ่งเข้าที่ซี่โครงด้านซ้าย มันเจาะลึกเข้าไปในร่างกายของจ้านอู่ตี้จนเหลือเพียงหางศรที่อยู่ด้านนอก…
หลังจากเห็นภาพนั้น ถังหยินพลันส่ายหัวเล็กน้อย ก่อนจะหยิบลูกที่สามออกมาอีก โดยในขณะเดียวกันนั้นเขาก็หันไปหามูฉิงแล้วพูดว่า “ถ้าบอกว่าข้ายิ่งได้แม่น งั้นทำไมศรถึงไม่ทะลุคอหอยของมันไปเล่า… ?”
ใบหน้าของมูฉิงซีดเล็กน้อย เขารั้งตัวเองแล้วกล่าวว่า “คงเพราะว่าใกล้มืดแล้ว ทัศนวิสัยคงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะขอรับ !”
“ฮ่าฮ่า… ?” ถังหยินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนที่ชายหนุ่มจะยิงลูกศรในมือออกไปอีก แต่คราวนี้มันกลับเบนออกไปจนกระทบเข้ากับเท้าของจ้านอู่ตี้ ทว่าถังหยินหาได้สนใจไม่ และในขณะที่เขาดึงลูกศรดอกที่สี่ออกมานั้นเอง เขาก็ได้ตะโกนบอกคนทางซ้ายและขวาไปว่า “เอาเลย ๆ! ใครที่ยิงถูกมันได้ ข้าจะให้รางวัลพวกเจ้าเป็นสินน้ำใจซักหน่อย !” สิ้นคำพูดของชายหนุ่ม สติของพวกเฟิงก็กลับสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง เพราะยังไงเสียจ้านอู่ตี้ก็คือศัตรู และศัตรูนั้น… ไม่ควรได้รับความเมตตาใด !!!
ในเวลานี้ทหารกองทัพเฟิงได้พากันชักคันธนูและเล็งไปที่จ้านอู่ตี้โดยพร้อมเพรียงกัน และเมื่อเห็นสิ่งนี้ ถังหยินก็พลันยิ้มก่อนจะตะโกนว่า “ยิง !”
เขาเป็นคนแรกที่ยิงลูกศรออกไป จากนั้นจึงเป็นศรของกองทัพเฟิงที่ตามมาอย่างกระชั้นชิดมุ่งเข้าหาจ้านอู่ตี้อย่างแม่นยำ
ทันใดนั้นเสียงของลูกศรที่เจาะทะลุร่างกายก็ได้ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ทำให้แม่ทัพที่มีชื่อเสียงในแคว้นหนิงเช่นจ้านอู่ตี้ ชายผู้เคยน่าเกรงขาม มาตอนนี้อีกฝ่ายก็ได้สูญสิ้นลมหายใจสุดท้ายไปแล้วภายใต้ห่าฝนลูกศรของกองทัพเฟิง !
ซากร่างของอีกฝ่ายใช้ใบดาบค้ำไว้ ขณะที่บนร่างเต็มไปด้วยลูกศรจำนวนนับไม่ถ้วนปักอยู่ ทำให้ถ้ามองจากข้างนอกแล้วดูเหมือนเม่นสีดำสนิทยังไงยังงั้น
ถังหยินแค่นเสียงอย่างเย็นชาในใจ ขณะที่เขาโยนธนูกลับไปยังทหารยามด้านหลัง ก่อนจะหันไปกล่าวกับมูฉิงอย่างเข้มงวด “รุ่งขึ้น ให้แขวนร่างของจ้านอู่ตี้ไว้ที่นั่นแล้วเขียนชื่อของมันลงไป ถ้าใครในเมืองคิดที่จะเอาร่างของมันลงมา ให้ฆ่าได้เลย !”
“รับทราบขอรับ !” แม่ทัพข้างกายพยักหน้าอย่างกระวนกระวายใจ ด้วยคิดไม่ถึงว่านายท่านของเขาโหดเหี้ยมเพียงนี้ ถึงขนาดที่ว่าจ้านอู่ตี้ตายไปแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมทิ้งศพของอีกฝ่าย !!
หลังจากสั่งการทุกอย่างแล้ว ถังหยินจึงหันมองไปที่ศพของจ้านอู่ตี้และถอนหายใจด้วยความโล่งอก สองพี่น้องจ้านได้นำทหาร 4 แสนนายเข้าสู่แคว้นเฟิง ดังนั้นมันจะมีเลือดและเนื้อของชาวเฟิงทั้งทหารและนายพลมากแค่ไหนกันที่ต้องสังเวยให้กับชายคนนี้ !!
เขาพยักหน้า ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าและค่อย ๆ เดินเข้าไปหาฮ่าวจ้าวที่สูญเสียขาทั้งสองข้างไป
ฮ่าวจ้าวเจ็บปวดมากจนแทบสิ้นสติ เขานอนลงบนพื้น ใบหน้าและร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ
ทว่าเมื่อเห็นถังหยินเข้ามาใกล้ ฮ่าวจ้าวซึ่งอยู่ในสภาพกึ่งรู้สึกตัวก็พลันตื่นขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนที่จะร้องถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอและสั่นเทา “ท่าน… ท่านถัง… ? …ช่วยข้าที …ช่วยข …ข้า ?” ถังหยินมองลงไปที่อีกฝ่าย จากนั้นจึงยิ้มและหยีตาพลางพูดว่า “เจ้าในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนพิการ ดังนั้นทำไมข้าถึงต้องช่วยเจ้าด้วยกัน ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของฮ่าวจ้าวก็พลันเปลี่ยนไป เขาพูดตะกุกตะกัก “ข้า… ? ข้า… เลือกที่จะภักดีกับท่านแล้ว.. ?”
ก่อนที่จะจบประโยค ถังหยินก็พลันเอ่ยขัดจังหวะขึ้นมา “ถ้าไม่จนมุม… คิดหรือว่าเจ้าจะได้มาอยู่ตรงนี้หรือไง ?” ในขณะที่พูด เขาก็ได้เอื้อมมือไปข้างหลังแล้วหยิบเอาดาบวงพระจันทร์ออกมา ทำให้มีดโค้งส่องแสงเย็นกระทบร่างของอีกฝ่าย
ไม่ว่าฮ่าวจ้าวจะโง่แค่ไหน เขาก็ยังมองเห็นความตั้งใจของชายหนุ่มได้ ดังนั้นจึงไม่อาจสะกดกลั้นความกลัว กรีดร้องออกมาในพลัน “นาย… ท… ท่าน ข้า… จัดการจ้านอู่ตี้ตามที่ท่านขอให้…ละ– ?” ถังหยินไม่ได้ให้โอกาสพูดต่อไป เขาเด็ดศีรษะของคนใกล้ตายแทนคำตอบ
ถังหยินเช็ดเลือดบนใบดาบกับเสื้อผ้าของศพ ก่อนที่จะเก็บเข้าฝักและมองไปรอบ ๆ สนามรบที่เต็มไปด้วยกองทัพเปิง ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความพึงพอใจจากนั้นจึงร้องสั่ง “ขังพวกมันเอาไว้ พรุ่งนี้เราจะจัดการขั้นเด็ดขาด”
“ขอรับ !” มูฉิงรับคำสั่งอย่างขันแข็ง
จากนั้นถังหยินก็กล่าวว่า “หลีเทียน !”
“ขอรับ นายท่าน !” หลีเทียนก้าวออกมาตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
ถังหยินถาม “แม่ทัพพลจีหยิงกลับมาแล้วหรือยัง ?”
หลีเทียนตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “เรายังไม่ได้ทำการถอนกำลัง และท่านแม่ทัพก็กำลังทำการจู่โจมลวงเพื่อข่มขวัญอีกฝ่ายขอรับ !”
“ดีมาก !” ถังหยินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวเสริมว่า “ให้พวกเขาถอยกลับมาที่ค่ายได้แล้ว !”
“ทันทีขอรับ !” หลีเทียนรับคำสั่งและรีบจัดการในทันที
ถังหยินเฝ้ามองจากข้างสนามเป็นเวลานาน ก่อนที่จะเดินไปยังค่ายทัพหลวงและสั่งมูฉิง “ทำความสะอาดค่ายทั้งหมด ทำลายศพทั้งหมดด้วย ตอนนี้อากาศร้อน ศพอาจทำให้เกิดโรคระบาดได้”
“ขอรับ !”
“อ้อใช่ จงพาเจี๋ยนฟานมาพบข้าด้วย”
“รับทราบขอรับ !” มูฉิงรับคำ