ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 487
บทที่ 487
บทที่ 487
คำพูดและการกระทำอย่างกะทันหันของถังหยิน ทำให้หยินโหรวตกใจไม่น้อย นางนิ่งอึ้งทำตัวไม่ถูก ลิ้นพันกันจนไม่อาจพูดออกมาได้ เมื่อหันไปมองถังหยิน ผู้ซึ่งปล่อยกลิ่นอายความบ้าคลั่งและชั่วร้ายออกมา อารมณ์ขององค์หญิงพลันซับซ้อนและรู้สึกกลัว แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจระงับความตื่นเต้นภายในใจได้
หลังจากนั้นไม่นาน ถังหยินก็ดึงมือกลับไปอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะพูดขึ้นเบา ๆ ว่า “คราวนี้ข้าจะได้เป็นราชาแห่งแคว้นเฟิงอย่างแน่นอน”
ประโยคนั้นทำให้หยินโหรวหายจากอาการตกใจ นางจับจ้องถังหยินด้วยสายตาว่างเปล่า “เหตุผลที่เจ้ามาเป็นเพราะอยากให้ข้าช่วยพูดกับท่านพี่ใช่หรือไม่…?”
ถังหยินเองก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบังอะไร “นั่นก็ส่วนหนึ่ง”
แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่การที่ถังหยินยอมรับออกมาตรง ๆ ก็ยังทำให้นางเจ็บปวดอยู่ดี หยินโหรวแค่หวังว่าถังหยินจะไม่ได้มองนางเป็นแค่เครื่องมือเพื่อบัลลังก์อย่างเดียว…แต่นั่นดูจะเป็นไปไม่ได้
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของหยินโหรวซีดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน นางคงเข้าใจผิดไปไกลลิบแล้ว ถังหยินจึงพูดขึ้นมาอย่างจริงจังว่า “เจ้าเป็นถึงองค์หญิง ข้าย่อมต้องการให้เจ้ามาเป็นราชินี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่คู่ควรกับเจ้า หากการได้บัลลังก์มาเป็นการทำเพื่อตัวข้าเอง สิ่งที่ข้าทำตอนนี้ก็เพื่อตัวเจ้าในอนาคต”
ประโยคนี้ทำลายปราการสุดท้ายในใจของหยินโหรวอย่างสิ้นเชิง ริมฝีปากของนางส่งเสียงพึมพำและสายตาก็พร่ามัวเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจหยุดได้
หยาดพิสุทธิ์ค่อย ๆ ไหลลงมาจากหางตาของหยินโหรว ถังหยินยื่นมือเข้าไปใกล้ใบหน้าของอีกฝ่าย เกลี่ยน้ำตาของนางอย่างบางเบา และเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “อย่าร้อง…น้ำตาของเจ้ายังคงทำให้ข้าเจ็บปวดเช่นเคย ข้าไม่อยากทำผิดพลาดอีกแล้ว คราวนี้ไม่ว่าจะเป็นมันผู้ใดก็ไม่อาจแยกเราจากกันได้อีก!”
ขณะที่พูด ถังหยินก็เหยียดแขนทั้งสองข้างออกและกอดหยินโหรวไว้ในอ้อมแขนอย่างแนบแน่น
ในตอนนี้เขาไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างหยินโหรวและคริสตัลได้อีกต่อไป และไม่อาจบอกได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือหยินโหรวหรือว่าใครกันแน่
หยินโหรวชัดเจนมากว่านางต้องการอะไรในใจของเขา นั่นคือคนที่รักนาง คนที่เข้าใจนาง คนที่รักนางที่เป็นตัวนางเท่านั้น
หยินโหรวไม่ได้เข้าใจจริง ๆ ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่นางเข้าใจคือ ถังหยินห่วงใยนางอย่างแท้จริง เวลานี้ร่างกายของนางนั้นแข็งทื่ออยู่ในอ้อมกอดของถังหยิน ตอนแรกนางยังคงดิ้นรน แต่หลังจากสัมผัสได้ถึงความร้อนดั่งไฟจากร่างกายของถังหยิน และกลิ่นหญ้าอ่อน ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ ร่างของนางก็ค่อย ๆ สงบลง ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาวางไว้บนเอวของถังหยิน
นี่เป็นครั้งแรกที่หยินโหรวได้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ชายคนนี้ ความรู้สึกแปลกประหลาดทำให้หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นและแก้มของนางก็ขึ้นสีราวกับผลผิงกั่ว
ถังหยินก้มศีรษะลงมองหยินโหรวที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา และอดไม่ได้ที่จะสูดดมกลิ่นหอมจากเส้นผมของนาง เขากระซิบข้างหูนางว่า “คราวหน้าอย่าให้ข้าเห็นน้ำตาของเจ้าอีกนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของหญิงสาวก็แดงขึ้นเรื่อย ๆ นางไม่กล้าเงยหน้าขึ้นและตอบเพียงเบา ๆ ว่า “ไม่เคยมีใครกล้าพูดแบบนี้กับข้ามาก่อนเลย…”
แต่หยินโหรวกลับรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด
ทันใดนั้นประตูของตำหนักวังพลันเปิดออก เสี่ยวมินเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นถังหยินและองค์หญิงของนางกำลังกอดกัน เสี่ยวมินก็เบิกตากว้างราวกับเห็นผี นางตกตะลึงไปเสียนานกว่าจะคืนสติกลับมา “จะ…เจ้า เจ้ากะ…กับองค์..หญิง?”
ปฏิกิริยาของหยินโหรวนั้นรวดเร็วมาก เมื่อเสี่ยวมินเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ นางก็ผลักถังหยินออกทันที ก่อนจะเหยียดหลังยืดกายตรงอย่างสง่างาม แม้จะตรงข้ามกับใบหน้าที่ยังคงแดงอยู่ แต่การแสดงออกของนางนับว่าสงบเสงี่ยมกว่าก่อนหน้านี้แล้ว
สายตาของเสี่ยวมินมองสลับไปมาระหว่างถังหยินกับองค์หญิง นางสงสัยว่าถังหยินได้ให้องค์หญิงดื่มยาวิเศษอันใดหรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้น เหตุใดองค์หญิงถึงได้ไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา?
เสี่ยวมินกลืนน้ำลายในลำคอทันใด ก่อนนางจะนึกถึงเรื่องสำคัญได้ “ฝ่าบาท รัชทายาทหลีตานเสด็จมาเพคะ”
หลีตาน? ทำไมถึงมาที่นี่ในเวลานี้?
หลังจากได้ยินเช่นนั้น แม้แต่หยินโหรวที่หนักแน่นดั่งขุนเขาก็หน้าซีดลง นางไม่ได้สนใจตัวเอง แต่กังวลเกี่ยวกับถังหยิน ในฐานะทูตจากต่างแดนที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวในห้องขององค์หญิง ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของราชวงศ์ด้วย
หยินโหรวนั่งบนเก้าอี้และเงียบนิ่งเป็นเวลานาน ถังหยินยืนอยู่ที่ด้านข้างก็เงียบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนกัน เมื่อเห็นเช่นนั้นเสี่ยวมินก็พูดอย่างกังวลว่า “ถังหยิน ถ้าหลีตานมาเห็นเจ้าในตำหนักขององค์หญิง เราจะเจอปัญหาใหญ่เอานะ”
ถังหยินยิ้มอย่างเฉยเมยและกล่าวว่า “ถ้าเราคิดจะซ่อนตัว ข้ากลัวว่ามันจะสายเกินไปแล้ว นอกจากนี้ตัวตนในปัจจุบันของข้าคือองครักษ์ ดังนั้นแม้ว่าข้าจะอยู่ในวังก็ไม่มีใครผิดสังเกตหรอก อีกอย่างข้าเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืด หากต้องการซ่อนตัวจริง ๆ มันก็เป็นเรื่องง่ายมาก แต่ข้าอยากเห็นว่าหลีตานเป็นคนแบบไหน”
“เจ้า…?” เสี่ยวมินตกตะลึงก่อนจะคิดว่านั่นมันก็มีเหตุผล หลีตานไม่รู้จักถังหยินอย่างแน่นอน นอกจากนี้ถังหยินยังปลอมตัวเป็นองครักษ์อยู่ เพราะฉะนั้นหากเขาไปซ่อน มันก็จะยิ่งผิดสังเกตเสียเปล่า ๆ!
นางพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ถังหยินพูด ก่อนจะจ้องมองถังหยินแล้วโบกมือให้เขา ถังหยินเลิกคิ้วด้วยความสับสนและถามว่า “อะไร?”
“เจ้าอยู่ใกล้องค์หญิงมากเกินไป! ถอยออกมา!” นางขบฟันขณะที่ตะโกนใส่เขาด้วยเสียงต่ำ
ถังหยินไม่อยากอยู่ห่างจากหยินโหรว แต่สิ่งที่เสี่ยวมินพูดก็ถูกต้อง เขาก้มลงมองหยินโหรวอีกครั้ง ก่อนจะเดินมาหยุดด้านข้างของเสี่ยวมินและยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากด้านนอกห้องโถงตามด้วยคำทักทายของสาวใช้ “คารวะรัชทายาทเพคะ..!”
“ไม่ต้องพิธีรีตองมากหรอก!” เสียงของเขาใกล้เคียงกับชายหนุ่มในวัยยี่สิบหนาว เมื่อเดินเข้ามาและเห็นถังหยินยืนอยู่ด้วยก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้ง หลีตานกระพริบตาพลางสำรวจถังหยินไปด้วย แม้ว่าในใจจะรู้สึกว่ามันแปลก แต่ด้วยมารยาทเขาจึงไม่ได้ถามออกมา และเดินเข้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของหยินโหรว คุกเข่าข้างหนึ่งแล้วทักทาย “คารวะองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไท่จื่อโปรดลุกขึ้นเถิด!” ท่าทีของหยินโหรวนั้นนิ่งสงบ และโบกมืออย่างสบาย ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน แล้วหันไปมองถังหยิน ก่อนจะถามออกมาว่า”องค์หญิง…ท่านนี้คือ…”
เมื่อชายหนุ่มหันไปมองก็เห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน หลีตานอายุเพียงยี่สิบปี รูปร่างสูงโปร่งและสมส่วน หากมองจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว เขาดูหล่อเหลามาก ใบหน้าพิสุทธิ์ราวกับหิมะ หยกคิ้วหนาและดวงตากลมโตสุกสกาวราวกับหมู่ดาว
ช่างเป็นหนุ่มหล่อที่หาได้ยาก! ถังหยินหันมองไปยังว่าที่สามีในอนาคตของหญิงอันเป็นที่รัก ในใจอดจะสรรเสริญอีกฝ่ายไม่ได้! เขาหันไปมองหยินโหรวโดยไม่รู้ตัวเพื่อต้องการดูว่านางรู้สึกอย่างไร แต่ใบหน้าของหยินโหรวนอกเหนือจากความเฉยเมยแล้ว แม้แต่นัยน์ตาที่งดงามของนางก็เหมือนน้ำนิ่งไร้แรงกระเพื่อม
ในฐานะองค์หญิง หยินโหรวเคยเห็นเหล่าองค์ชายจากอาณาจักรต่าง ๆ มามาก รวมถึงเหล่าขุนนางของจักรวรรดิ มีชายหนุ่มที่หล่อเหลานับไม่ถ้วนในหมู่พวกเขา แต่ไม่มีใครที่สามารถละลายน้ำแข็งในหัวใจของนางได้ นั่นรวมถึงรัชทายาทแห่งแคว้นเจิ้นตรงหน้านี้ด้วย
สำหรับคำถามของหลีตาน นางไม่ได้ตอบแต่อย่างใดและในฐานะองค์หญิง นางจะไม่ตอบคำถามที่ไม่สำคัญเช่นนี้
กลับกัน เสี่ยวมินบีบมือตนเองแน่นและทำท่าจะตอบกลับ แต่ก่อนที่นางจะพูดอะไร ถังหยินกลับพูดขึ้นมาก่อน “ข้ามีนามว่าถังฉู วันนี้องค์หญิงทำของสำคัญหายไป ดังนั้นข้าจึงมาตรวจสอบ ”
เมื่อถังหยินพูด เขาก็หาได้มีท่าทีลุกลี้ลุกลนอันใดปรากฏออกมา ทำให้พวกเขาไม่สามารถจับได้ว่าถังหยินกำลังโกหก
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลีตานก็ตกใจ เขาหันหน้าไปหาองค์หญิงอย่างกังวลและถามว่า “มีอันใดที่หายไปอย่างนั้นหรือ มันมีค่ามากหรือไม่?”
การแสดงออกที่ไม่แยแสบนใบหน้าของหยินโหรวนั้นเหมือนกับก่อนหน้า นางแอบหัวเราะในใจ แต่ก็ลอบชื่นชมความเร็วในการตอบสนองของถังหยิน ก่อนจะช่วยเขาโกหกต่อ “มันไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ปิ่นหยกน่ะ…”
“ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลไป ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจะหาอันที่สวยยิ่งกว่านั้นมาให้ท่านเอง ดีหรือไม่?” โดยไม่รอให้หลีตานพูดจบ หยินโหรวก็ขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ
“ข้าจัดการเองได้ หรือเจ้าเวทนาข้าอย่างนั้นหรือ?” ในความเป็นจริงบุคลิกของหยินโหรวก็นับว่าแปลกมาก สถานะของนางในฐานะผู้ปกครองและสถานะองค์หญิง ทำให้มีนิสัยเจ้าอารมณ์ และการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของนางในหลาย ๆ ครั้งก็มักไม่มีเหตุผล ทั้งยังมักไม่มีการเตือนล่วงหน้า
เห็นได้ชัดเลยว่าหลีตานกล่าวอย่างจริงใจมาก แม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับหยินโหรวอยู่บ้าง แต่สีหน้ายังคงดูอึดอัดเมื่ออยู่กับนางราวกับรับมือไม่ถูก และหลังจากได้ยินคำพูดนั้นของนาง มันก็ทำให้หลีตานสะดุ้งตกใจในทันที เขาโบกมือและพูดอธิบาย “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้ามิหาญกล้าคิดเวทนาท่านอย่างแน่นอน องค์หญิง ข้าเพียงแค่อยากจะให้ของขวัญท่านเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการสื่อ…”
หยินโหรวพลันขัดจังหวะเขาขึ้น “ถ้ามิมีเรื่องอันใดอีก ท่านก็วางของที่ว่านั่นไว้ แล้วไสหัวไปเสีย!”