ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 489
บทที่ 489
บทที่ 489
เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามเข้ามาขวางทางไว้ ถังหยินเลยได้แต่กุมบังเหียนม้าด้วยความงุนงง เขามองไปที่ชายตรงหน้าและถามว่า “ข้ามาขวางทางเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
คนรับใช้มองไปที่ถังหยินสักพักจากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “นายน้อยของตระกูลข้ามีคำเชิญถึงเจ้า”
ขณะที่พูด เขาก็ชี้ไปที่รถม้าที่จอดอยู่กลางถนนด้วย
ถังหยินขมวดคิ้ว ตนเพิ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งแรก จะมีผู้ใดรู้จักเขาได้? ชายหนุ่มครุ่นคิดก่อนจะกระตุ้นม้าให้เดินไปที่ด้านหน้าของรถม้าคันนั้น สายตาลอดมองผ่านหน้าต่าง ภายในรถม้า ถังหยินเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะอายุราว ๆ ยี่สิบปี และแต่งกายด้วยอาภรณ์ชั้นดีที่! ที่แท้ก็ไม่ใช่ใครอื่น รัชทายาทแห่งแคว้นเจิ้นที่ได้พบกันก่อนหน้านี้นั่นเอง!
ถังหยินตอบสนองอย่างรวดเร็วและเผยรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้า ยกมือขึ้นประสานและพูดว่า “เป็นท่านนี่เอง ว่าแต่มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ”
เพียงแค่นั้นหลีตานก็เดินออกจากรถม้า เมื่อเห็นเช่นนั้นถังหยินพลันกระดากเกินกว่าที่จะนั่งบนหลังม้าต่อไป เขาทำได้แค่รอดูว่าหลีตานกำลังจะทำอะไร
แม้ว่าหลีตานจะอ่อนน้อมถ่อมตนและดูเคารพต่อหยินโหรว แต่ท่าทางของเขาก็ดูสูงส่งไม่น้อยเช่นกัน เมื่อกำลังจะลงจากรถม้าก็มีคนรับใช้สองสามคนเข้ามาช่วยประคองหลีตาน ส่วนคนอื่น ๆ คุกเข่าลงอย่างเคารพ
ภายใต้การคุ้มกัน หลีตานลงจากรถม้าเดินไปหาถังหยิน ก่อนจะทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านถัง!”
“นายน้อยหลี!” ถังหยินทักทายกลับ
หลีตานหัวเราะและถามว่า “ข้าสงสัยเหลือเกินว่าท่านจะรีบไปที่ใดกัน?”
สีหน้าของถังหยินไม่เปลี่ยนไปขณะที่เขาตอบว่า “กลับไปพักผ่อนขอรับ”
เมื่อเห็นความสงสัยของหลีตาน ถังหยินจึงกล่าวต่อ “ช่วงบ่ายไม่ใช่เวลาของข้า…”
“โอ้!” หลีตานผงกศีรษะเป็นเรื่องปกติที่ผู้คุมวังจะผลัดกัน เขายิ้มและพูดว่า “เจ้าคงยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันสินะ?”
“ขอรับ” ถังหยินไม่แน่ใจว่าหลีตานกำลังคิดทำอะไรอยู่ แต่เขาก็พยักหน้ารับ
“บังเอิญว่าข้าเองก็ยังไม่ได้ทานเหมือนกัน หากไม่เป็นการล่วงเกิน ข้าจะขอเลี้ยงข้าวเจ้าสักมื้อจะได้หรือไม่?” หลีตานหัวเราะและถาม
ถังหยินเลิกคิ้ว ในฐานะรัชทายาทแห่งแคว้น มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าหลีตานจะเชิญ ‘องค์รักษ์ตัวเล็ก ๆ’ อย่างเขามาร่วมรับประทานอาหารด้วย ไม่จำเป็นต้องถาม หลีตานย่อมมีแรงจูงใจอื่นแน่! ซึ่งเดิมทีถังหยินต้องการที่จะปฏิเสธ แต่เขาก็ต้องการที่จะเข้าใจสิ่งที่หลีตานกำลังพยายามทำ ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พยักหน้าตกลง “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมทานอาหารกับท่าน”
หลีตานพอใจกับคำตอบของถังหยินมาก เขากล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ไม่ไกลจากที่นี่มีที่ดื่มดี ๆ อยู่ ท่านถังเชิญ!”
“ลำบากท่านแล้วขอรับ!” ตามคำเชิญของหลีตาน ถังหยินตามเขาไปที่ร้านอาหารใกล้ ๆ แม้ว่าจะไม่ใช่เวลาอาหาร แต่ยังมีแขกจำนวนมากเข้าออกจากพระราชวังอยู่
หลีตานดูเหมือนจะเป็นลูกค้าประจำที่นี่ เจ้าของร้านและเสี่ยวเอ้อร์ดูมีมารยาทกับเขามาก เพราะหลังจากที่เข้ามา เจ้าตัวก็พลันถูกนำมายังชั้นสองโดยเถ้าแก่ของร้านเป็นการส่วนตัว
สองหนุ่มนั่งหันหน้าเข้าหากัน สำหรับคนรับใช้ของหลีตาน พวกเขาทั้งหมดนั่งอยู่บนที่นั่งโดยรอบ
หลังจากสั่งอาหารแล้ว หลีตานก็คุยกับถังหยินสักพัก ก่อนจะเริ่มพูดถึงหัวข้อหลักที่เขาอยากจะรู้ “ข้าจำได้ว่าองค์หญิงมีองครักษ์หญิงอยู่เคียงข้าง…”
ที่แท้หลีตานยังคงสงสัยในตัวตนของเขา!!
ทว่าถังหยินได้เตรียมการไว้แล้ว โดยไม่ต้องคิด เขาตอบทันที “ข้าเป็นต้นห้องขององค์หญิง ถ้าไม่ใช่เพราะพระองค์ทำของสำคัญหาย องค์หญิงก็คงจะไม่ให้ข้าเข้าไปในห้องนั้นเหมือนกัน”
ความหมายของเขาชัดเจนมาก นั่นก็คือหยินโหรวสงสัยว่านางกำนัลรับใช้ในวัง หรือองครักษ์ที่อยู่ข้างกายขโมยบางอย่างจากนางไป ซึ่งเป็นสาเหตุที่นางขอให้ทหารนอกวังตรวจสอบ
“นั่นไง” หลีตานเข้าใจทันทีว่าถังหยินหมายถึงอะไร จากนั้นเขาก็ถามอย่างสงสัยว่า “แล้วเจ้าพบปิ่นหยกที่องค์หญิงทำหายหรือไม่”
ถังหยินส่ายหัวและพูดว่า “ยังขอรับ”
หลีตานครุ่นคิดสักพักก่อนที่ดวงตาของเขาจะสว่างขึ้น เขายิ้มให้ถังหยินและพูดว่า “ข้ามีคำขออยากจะให้ท่านช่วยหน่อย ไม่รู้ว่าจะเป็นการรบกวนมากเกินไปไหม”
ถังหยินหัวเราะเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “อะไรหรือขอรับ?”
โดยไม่คำนึงถึงตัวตนภูมิหลังและเรื่องบางอย่างที่ยังไม่รู้ เขาก็รู้สึกว่าหลีตานไม่ได้แย่ขนาดนั้น ตอนนี้ถังหยินปลอมตัวเป็นองครักษ์ธรรมดา ทว่าหลีตานกลับทำตัวมีมารยาทกับเขามาก
ใบหน้าของหลีตานขึ้นสี “ข้าอยากจะให้ท่านช่วยบอกข้าหน่อยว่า ปิ่นหยกที่หายไปหน้าตาเป็นเช่นไร หากว่าไม่เจอจริง ๆ ข้าจะให้คนทำอันใหม่ขึ้นมา นางคงจะมีความสุขถ้าได้มันคืนมา ท่านคิดว่าอย่างไร?”
ถังหยินเกือบจะหัวเราะออกมาดัง ๆ ที่แท้ก็เรื่องนี้!
เฮ้อ! เขาถอนหายใจ
ปิ่นหยกที่หยินโหรวทำหายไปนั้นเป็นแบบไหนงั้นเหรอ? เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน! ดังนั้นถังหยินจึงจึงอุปโลกคำพูดขึ้นมาแบบลอย ๆ “ปิ่นหยกนั้นทำจากหยกเก่าที่มีสีเขียวตลอดทั้งอัน เลี่ยมด้วยไหมสีทอง”
หลีตานตั้งใจฟังโดยไม่กะพริบตา เขาก้มหน้าเข้ามาใกล้ และในขณะที่ถังหยินพูด เขาก็พยักหน้าจดจำ เมื่อถังหยินพูดจบ หลีตานก็จำทุกคำที่เขาพูดได้หมดแล้ว จากนั้นจึงจับมือของถังหยินและพูดว่า “ขอบใจมากสำหรับความช่วยเหลือของท่านองครักษ์ถัง หากข้าสามารถเอาชนะพระทัยของฝ่าบาทได้ในครั้งนี้ ข้าจะตอบแทนท่านถังในอนาคตอย่างแน่นอน”
หึ… ถังหยินยิ้มเยาะในใจ แต่บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอยู่ เขาโบกมือและกล่าวว่า “ท่านกล่าวเกินไปแล้ว”
“จะว่าไปแล้ว ท่านองครักษ์ถังรู้หรือไม่ว่า… โดยปกติองค์หญิงชอบสิ่งใด?” นี่เป็นปัญหาที่หลีตานกังวลมากที่สุด
ผู้คนที่อยู่รอบตัวหยินโหรวแทบจะไม่ได้ออกจากพระราชวัง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะรู้เกี่ยวกับความชอบของหยินโหรวได้ และไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะได้พบกับคนเช่นถังหยินที่คุยกันได้ง่าย ๆ ดังนั้นในครั้งนี้… หลีตานย่อมไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไป!
อันที่จริง เวลาที่ถังหยินกับหยินโหรวใช้ร่วมกันนั้นไม่นานนัก และทั้งสองคนก็ไม่เข้าใจกันจริง ๆ สาเหตุที่พวกเขาดึงดูดซึ่งกันและกันอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะโชคชะตาเท่านั้น ทว่าแม้ถังหยินจะรู้ถึงความชอบของหยินโหรว แต่เขาก็ไม่คิดบอกคู่แข่งทางความรักของตนเองหรอก!
ถังหยินใช้ความสามารถในการโกหกอีกครั้งโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าและพูดอย่างสบาย ๆ “เรื่องนี้… องค์หญิงชอบสะสมจำพวกทองคำ เงิน และยังชอบเสื้อผ้าที่หรูหรา ส่วนอาหารนั้นหากมีรสจัดท่านย่อมชอบหมด”
ในสมัยที่ถังหยินอยู่กับหยินโหรว เขาแทบไม่เคยเห็นนางสวมใส่อาภรณ์หรูหราประดับประดาด้วยสีทองหรือสีเงินเลยสักนิด กลับกันเสื้อผ้าที่นางใส่ส่วนใหญ่นั้นเรียบง่ายและสะดวกสบาย ส่วนอาหารที่ชอบก็ตรงกันข้ามกับที่ถังหยินพูดมาโดยสิ้นเชิง หยินโหรวชอบอาหารรสอ่อนและไม่เคยแม้แต่จะลิ้มรสอาหารรสจัด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ถังหยินพูดมานั้นเป็นสิ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบมากอยู่แล้ว หลีตานจึงไม่สงสัยในเรื่องนี้เลย
อาหารมื้อนี้พวกเขาสองคนกินช้ามาก หลีตานต้องการรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหยินโหรว และถังหยินเองก็อยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลีตานที่อาจกลายเป็นคู่ต่อสู้ของตนในอนาคต เมื่อทั้งสองทานอาหารร่วมกัน บรรยากาศจึงดีอย่างน่าประหลาดใจ อีกทั้งพวกเขาก็คุยกันอย่างสนุกสนานด้วย
เมื่อเห็นว่าท้องฟ้ากำลังจะมืดลง ถังหยินจึงไม่ต้องการที่จะอยู่อีกต่อไป ในเวลานี้ เขาย่อมจำเรื่องที่หลีตานเอาแต่เชิญหยินโหรวซ้ำ ๆ ได้ ถังหยินประมวลความคิดว่าเขาควรถามตอบอย่างไรเพื่อไม่ให้หลีตานตื่นตระหนก หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็ทำราวกับว่าจู่ ๆ จำอะไรบางอย่างได้และพูดกับหลีตาน “ข้าเกือบลืมบอกอะไรไปอีกอย่าง”
“อันใดรึ?” หลีตานเงยหน้าขึ้นทันทีและมองไปที่ถังหยิน
ถังหยินกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่ชอบการถูกบังคับ ข้าเห็นว่าฝ่าบาทไม่ชอบใจนักที่ท่านพูดถึงแต่เรื่องเดิม ๆ ดังนั้นท่านไม่ควรจะทำอีก!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลีตานก็ขมวดคิ้วและกล่าวโดยไม่รู้ตัวว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะทำยังไงดี… นางไม่ควรที่จะอยู่ในเมืองหลวง”
ในขณะที่พูดออกมา หลีตานก็เพิ่งตระหนักได้ว่าเขาพูดอะไรที่ไม่ควรออกไป จึงรีบหยุดตัวเองทันที ก่อนจะกล่าวกับถังหยินว่า “สำหรับคำแนะนำของท่านถัง ข้าจะจดจำไว้และนำเรื่องนี้ไปไต่ตรองให้ดี”
เมื่อเห็นว่าหลีตานไม่มีความตั้งใจที่จะพูดต่อ ถังหยินก็ไม่ได้พูดอันใดอีกต่อไป จากปฏิกิริยาของหลีตานเมื่อครู่นั้น ถังหยินรู้สึกได้ทันทีว่ามันต้องมีบางอย่างที่ไม่ดีเกิดขึ้นในเมืองหลวง และบางทีมันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ด้วยซ้ำ แต่รายละเอียดที่ลึกกว่านั้นเขาไม่อาจรู้ได้
ถังหยินหยัดกายยืนขึ้น “ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว ข้าต้องรีบกลับก่อน ขอท่านโปรดรักษาตัวด้วย!”
หลีตานไม่ได้บังคับให้เขาอยู่ต่อ อีกฝ่ายยืนขึ้นเช่นกัน และประสานมือกล่าวลา “เช่นกันท่านถัง”
หลังจากบอกลาหลีตานแล้ว ถังหยินก็ออกมาจากร้าน ขึ้นหลังม้าและควบมันจากไป ทว่าเขาอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไป หัวคิ้วของถังหยินขมวดเข้าหากัน
‘จะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในเมืองหลวง หยินโหรวจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ นางเป็นองค์หญิงผู้ยิ่งใหญ่ของพระราชวัง จะมีผู้ใดกล้ามาบังคับนาง หรือจะมีผู้ใดเข้าไปในวังของจักรพรรดิเพื่อทำร้ายองค์หญิงกัน แต่ถ้าหากบอกว่านางไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย แล้วทำไมหลีตานถึงต้องทำเหมือนอยากจะให้นางออกจากเมืองหลวง?’
ถังหยินไม่สามารถหาเหตุผลได้และไม่อาจเข้าใจสิ่งใดได้เลย ท้ายที่สุดเขาก็ได้แต่ส่ายหัวและตัดสินใจที่จะหยุดคิดเรื่องนี้ หากมีอะไรเกิดขึ้นจริง แม้ว่าเขาจะต้องเสี่ยงชีวิต แต่หยินโหรวต้องปลอดภัย !!
…จากนั้นถังหยินก็เร่งม้ากลับไปที่โรงเตี๊ยม
ถนนสายหลักเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย มีเสียงรบกวนและความตื่นเต้นอยู่ทั่วทุกหนแห่ง กลับกันเส้นทางเล็ก ๆ มากมายนั้นแทบจะไร้ซึ่งผู้คน แต่มันก็ทำให้ถังหยินสามารถเร่งม้าและประหยัดเวลาได้มาก
ขณะที่ถังหยินควบม้า จู่ ๆ เขาก็เหวี่ยงแขนไปข้างหลังดึงบังเหียนให้ม้าหยุดลง อาชาสี่เท้าก้าวไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวก่อนจะหยุดลง
ถังหยินจับจ้องสายตาไปเบื้องหน้าอย่างเงียบ ๆ ถึงรอบข้างจะไร้ซึ่งผู้คน แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอยู่ทั่วบริเวณ!