ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 493
บทที่ 493
บทที่ 493
เหลียงฉีไม่คาดคิดว่าบิดาของตนจะมาที่ค่ายทหารเพื่อนำอาหารกับสุรามึนเมามาให้เขาโดยเฉพาะ พลันในใจรู้สึกยินดีอย่างท่วมท้น เขาโค้งคำนับให้ผู้บังเกิดเกล้าตรงหน้า “ขอบคุณขอรับ ท่านพ่อ”
เหลียงซิงชำเลืองมองซ้ายขวาก่อนจะถามขึ้นมาว่า “ข้าได้ยินมาว่ามีรองผู้บัญชาการนามว่า ‘ไป๋’ อยู่กับเจ้า?”
“อ๋อ…ไป๋หยงสินะขอรับ!” เหลียงฉีตอบอย่างตรงไปตรงมา
“พ่อนำอาหารกับสุรามึนเมามาเยอะ ทำไมเจ้าไม่เรียกเขามาทานอาหารด้วยกันเล่า แม้ว่าเขาจะเป็นคนนอก แต่ก็ยังเป็นถึงรองแม่ทัพของเจ้าอยู่ และอนาคตเจ้ากับเขายังต้องร่วมมือกันไปอีกนาน” เหลียงซิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
เหลียงฉีแอบพยักหน้า ในขณะที่ยกย่องทัศนคติของบิดา เขาก็ตอบรับว่า “ขอรับ”
พูดจบเขาก็บอกทหารให้ไปเรียกไป๋หยงมาทานอาหารด้วยกัน และไม่นานหลังจากนั้นไป๋หยงก็มาถึงโดยเร็ว
เรื่องที่เหลียงซิงมาเยือนอย่างกะทันหัน ทำให้ไป๋หยงรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน แต่เหลียงซิงเป็นบิดาของเหลียงฉี การที่ทั้งสองคนจะกลับมาปรับความเข้าใจกันนั้นถือเป็นเรื่องปกติ ซ้ำยังเป็นโอกาสที่น่ายินดี ไป๋หยงจึงสุภาพกับเหลียงซิงมาก
เหลียงซิงแสดงท่าทีพึงพอใจในตัวไป๋หยง จากนั้นจึงโบกมือให้เขานั่ง ก่อนจะยกจอกสุราขึ้น เอ่ยกับเหลียงฉีและไป๋หยงว่า “ข้าขอดื่มให้กับพวกเจ้า หวังว่ากองทัพชานซุยจะเอาชนะศัตรูได้ และกลายเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้การบังคับบัญชาของเจ้า!”
ได้ยินเช่นนั้น เหลียงฉีและไป๋หยงไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทั้งคู่ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มให้กับเหลียงซิงเช่นกัน
เมื่อเห็นทั้งสองคนดื่มเหล้าเข้าไปแล้ว ปากของเหลียงซิงก็กระตุกเล็กน้อย แต่เขาเก็บงำท่าทีนั้นไว้อย่างรวดเร็ว และสั่งให้คนรับใช้เติมสุราให้แก่ทั้งสองอีกครั้ง ก่อนจะพูดคุยกัน หัวเราะกับพวกเขาขณะทานอาหารไปด้วย
เมื่อทานอาหารกับสุรามึนเมาไปได้ครึ่งทางแล้ว เหลียงฉีพลันรู้สึกว่าหัวของเขาเริ่มหมุน แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมันขนาดนั้น เพราะคิดว่าตนดื่มมากเกินไป ทว่าไม่นานนัก เหลียงฉีก็รู้สึกว่าหัวเขาหมุนแรงขึ้น ก่อนที่สติจะค่อย ๆ พร่าเลือนอย่างช้า ๆ
ยามนี้เองที่เขาเริ่มตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป แม้ว่าเขาจะไม่แข็งแกร่งเท่าคนอื่นแต่ก็หาใช่คนอ่อนแอไม่ จะดื่มสุราเพียงไม่กี่จอกแล้วหัวหมุนได้อย่างไร เว้นแต่จะมีบางอย่างผิดปกติกับสุรา ขณะเดียวกัน เขาพยายามจะลุกขึ้นยืน ทว่าราวกับเรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างกายถูกดูดออกไปอย่างกะทันหัน และขาของเขาก็อ่อนลงจนไม่สามารถแม้แต่จะยืนได้ เหลียงฉีพูดด้วยความตกใจว่า “ท่านพ่อ?”
“ข้าทำไปก็เพื่อตัวเจ้าเอง!” ตอนนี้เหลียงซิงไม่ได้เสแสร้งอีกต่อไปแล้ว สีหน้าของเขามืดมน เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตอนนี้ถังหยินไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ย่อมเป็นโอกาสสำหรับข้าที่จะขึ้นครองบัลลังก์ ในมือของเจ้ามีทหารอยู่สองแสนนายมิใช่หรือ จะยังอยากอยู่ใต้ถังหยินต่อไปทำไม ไม่คิดเป็นเจ้าชายแห่งแคว้นเฟิงบ้างหรือไร!?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวของเหลียงฉีก็หนึบชาทันที ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหลียงซิงหมายถึงอะไร นี่หมายถึงบิดาต้องการยึดอำนาจทางการทหารของบุตรชายเพื่อก่อกบฏ! อีกทั้ง มันยังเป็นการฆ่าตัวตายทางอ้อมอย่างเห็นไดัชัด!
เหลียงฉีตื่นตระหนก ก่อนจะพูดออกมาทันที “ท่านพ่อ อย่า…!” ในขณะที่เขาพูด วิสัยทัศน์ของเขาก็พลันดำมืดไป ร่างทั้งร่างพุ่งไปด้านหน้าราวกับว่าวที่เชือกขาด! เหลียงฉีล้มใส่โต๊ะ เขาลงไปนอนอยู่ที่พื้นหลับตาหมดสติ
ขณะเดียวกัน ไป๋หยงอาการดีกว่าอีกฝ่ายนิดหน่อย อาจเพราะทักษะการต่อสู้เขาไม่เลวเท่าไหร่ จึงยังสามารถต้านทานยาที่น่าพิศวงนี้ได้ และตอนนี้เขาก็เข้าใจเจตนาของเหลียงซิงชัดแล้ว ทั้งยังตระหนักดีว่าเรื่องราวในตอนนี้เลวร้ายจนกู่แทบไม่กลับแล้ว
เหลียงซิงวางแผนซ้อนแผนไว้ สิ่งของทั้งสองนี้ไม่อาจตกอยู่ในมือของเขาได้ ไม่เช่นนั้นไม่ใช่แค่ทหารในกองทัพชานซุยจะต้องรับฟังคำสั่งของเหลียงซิง แต่ฝ่ายของพวกเขาเองก็จะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายด้วย คิดได้เช่นนั้น ไป๋หยงก็กระโดดขึ้นจากที่นั่งและพุ่งเข้าหาเหลียงซิงทันที
‘หึ’ ในใจของเหลียงซิงส่งเสียงเยาะเย้ย เขานั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน ขณะที่คนรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ก็ดึงดาบของพวกเขาออกมาจากที่ซ่อนภายใต้เสื้อผ้า รอจังหวะจัดการไป๋หยง ไม่ว่ารองแม่ทัพหนุ่มตรงหน้าจะทรงพลังแค่ไหน แต่การที่เขาดื่มยากล่อมประสาทจำนวนมากเข้าไปแล้ว เขาในตอนนี้จะต่อสู้ไหวได้อย่างไร?
ทันทีเขาเข้าถึงตัวเหลียงซิง ไป๋หยงก็ถูกคนรับใช้เตะเข้าที่หน้าอก แล้วร่างของเขาก็ล้มลงไปกับพื้นเสียงดัง ทว่าในตอนที่กำลังจะลุกขึ้นมา พลันมีแสงเย็นวาบสายหนึ่งปรากฏต่อหน้า ความเจ็บปวดจากของแหลมคมเริ่มลุกลามไปทั่วทั้งร่าง เมื่อไป๋หยงก้มดูก็พบว่ามีดาบพลังปราณแทงมาที่ซี่โครงของเขาจนทะลุ
ไป๋หยงพยายามจะขยับตัว แต่ร่างกายในตอนนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอีกต่อไป ตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาว ศีรษะเอียงไปด้านข้าง ก่อนจะหมดสติไป
คนรับใช้ดาบพาดไปที่คอของไป๋หยง แต่เหลียงซิงพลันโบกมือหยุดไว้ก่อน “ไม่ต้อง ขังเขาไว้เป็นตัวประกันพอ!”
“ทราบแล้วขอรับ!” คนรับใช้ของเหลียงซิงทุกคนทำตามในทันที พวกเขาหยิบเชือกและมัดไป๋หยงที่หมดสติ จากนั้นตามด้วยยัดยาสลายวิญญาณเข้าปากของรองแม่ทัพไป ก่อนรักษาบาดแผลที่ใต้ซี่โครงของเขา
แน่นอนว่า เหล่าทหารที่อยู่ข้างนอกเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในกระโจมแม่ทัพ พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเหลียงซิงจะกระทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้กับบุตรชายของตนเองได้ลงคอ เมื่อผู้คนรู้ตัวและตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็สายเกินแล้วที่จะเข้าไปช่วยเหลียงฉี ซึ่งบัดนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือของเหลียงซิงเป็นที่เรียบร้อย
“ท่านเหลียง ท่านทำอะไรลงไป” หัวหน้านายกองซึ่งยืนอยู่หน้ากลุ่ม มองไปที่เหลียงซิงที่ทำหน้าเจ้าเล่ห์
เหลียงซิงยิ้มเยาะและกล่าวว่า “จากนี้ไปพวกเจ้าทุกคนต้องฟังคำสั่งของข้า ไม่อย่างนั้นก็ไปตายซะให้หมด!” เหล่าทหารต่างมองหน้ากัน ไม่รู้จะทำอย่างไร พวกเขาต้องการขึ้นไปช่วยเหลียงฉีและไป๋หยง แต่อีกด้านหนึ่งพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะต่อต้านเหลียงซิง
ยามนี้ พลันมีเสียงโห่ร้องดังออกมาจากด้านนอกกระโจมพร้อมกับเสียงตะโกนก้องไปทั่วท้องฟ้า เหล่าทหารของกองทัพชานซุย และนายกองจำนวนมากรีบเข้ามาหลังจากได้ยินข่าว
เมื่อพวกเขาเห็นว่าเหลียงฉีและไป๋หยงตกอยู่ในสภาพไม่ได้สติ และถูกมัดไว้เหมือนเกี๊ยว โดยเฉพาะไป๋หยงที่ร่างชุ่มไปด้วยเลือด ทุกคนที่เห็นภาพนี้เข้าก็รู้สึกตกใจ เหล่าทหารที่มีนิสัยหุนหันพลันแล่นไม่สามารถรับมันได้อีกต่อไป โดยไม่สนใจสถานะและตัวตนของเหลียงซิง พวกเขาทั้งหมดชักดาบขึ้นมาและพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายทันที
“หยุด!” เหลียงซิงตะโกนสั่งให้ทหารทุกคนหยุดอย่างเย็นชา หลังจากนั้นเขาก็เปิดกล่องบนโต๊ะเอาตราของกองทัพชานซุยออกมา ออกคำสั่งและยกมันขึ้นต่อหน้าทหารทุกนาย ตะโกนเสียงดังว่า “ยามนี้กองทัพชานซุยอยู่ภายใต้คำสั่งของข้าแล้ว ใครที่กล้าขัดขืน ตาย!”
ตรากองทัพและคำสั่งทางทหารไม่ใช่สิ่งธรรมดา ทหารด้านล่างทุกคนล้วนจดจำได้ และใครก็ตามที่มีสัญลักษณ์ทหารหรือคำสั่งทางทหาร พวกเขาจะเป็นผู้บัญชาการโดยทันที ดังนั้น ในตอนที่เหลียงซิงหยิบของทั้งสองชิ้นออกมา มันก็ทำให้ทหารที่อยู่ด้านล่างหวาดกลัวทันที
“เก็บอาวุธไปซะ!” เหลียงซิงตะโกนด้วยน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าเขาจะมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร ทว่าภายในหัวใจกลับเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ
หลังจากที่เหล่าทหารได้ยินประโยคนั้น แม้ว่าใบหน้าของพวกเขาจะดูไม่เต็มใจ แต่มือยังคงเอาดาบเก็บลงคืนอย่างเชื่อฟัง และจ้องมองเขาอย่างเงียบ ๆ
เหลียงซิงแสร้งทำเป็นสงบและถามว่า “บัดนี้แม่ทัพใหญ่คือใคร?”
หลังจากได้ยินเสียงเรียกขาน นายทหารผู้หนึ่งก็เดินออกไปอย่างช้า ๆ เขาขมวดคิ้วมองเหลียงซิงอย่างสงสัย ก่อนตอบกลับเบา ๆ “ท่านไง!”
เหลียงซิงมองนายทหารคนนั้นขึ้นลงทั้งตัว และชมว่า “ดีมาก!”
…ทันใดนั้น บรรดาทหารโดยรอบก็พากันพยักหน้าและเอ่ยเสียงอันดังก้องออกมา “ท่านแม่ทัพใหญ่!”
เหลียงซิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหยิบลูกศรออกมายกชูและตะโกนว่า “ฟังคำสั่งข้า!”
ร่างกายของเฟิงเฟยหยุนสั่นสะท้าน ขณะที่เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ประสานมือทำความเคารพ “รับคำสั่งท่านผู้นำ!”
“ไปที่เรือนพักของอู่หยู จับทุกคนภายในจวนให้หมด” เหลียงซิงออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ…?” หลังจากได้ฟัง เฟิงเฟยหยุนก็ตกตะลึงไป เหลียงซิงต้องการให้เขาไปจับตัวอู่หยู? อู่หยูคือใคร? คนเขาเป็นถึงเสนาบดีเลยนะ การเข้าไปต่อกรกับเขาไม่ต่างอะไรกับการหาเรื่องตายเลยไม่ใช่หรือ?
เมื่อเห็นเฟิงเฟยหยุนยังคงคุกเข่าอยู่ที่นั่น ใบหน้าของเหลียงซิงพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง!
เหลียงซิงถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ว่าไง… เจ้ากล้าดูหมิ่นข้าหรือ?”
“ไม่! ไม่! ไม่! ผู้ต่ำต้อยผู้นี้ไม่กล้า!” เฟิงเฟยหยุนกลืนน้ำลายและพูดอย่างระมัดระวัง “หากต้องการจับตัวเขา ท่านย่อมมีเหตุผลใช่ไหม?”
“แน่นอน ข้าพบว่าอู่หยูมีแรงจูงใจแอบแฝง เขาสาบานไว้ว่าจะจงรักภักดี ทว่าการกระทำกลับสวนทาง คนผู้นี้กำลังคิดสร้างอาชญากรรมที่เลวร้ายขึ้น!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็อยากแล้วที่เฟิงเฟยหยุนจะบอกปัด เขาพยักหน้า ปากอ้ารับคำ “รับทราบขอรับ…!” และด้วยความยากลำบาก เขาจึงลุกขึ้นยืนและเดินไปที่หน้าโต๊ะ รับลูกธนูในมือของเหลียงซิง
อย่างไรก็ตามในเวลานี้เหลียงซิงกลับถือลูกศรไว้เอง และหลังจากมองไปที่ยอดเขาสองสามครั้ง ดวงตาของเขาก็หันไปข้างตัว “หลิวกัง!”
“ขอรับนายท่าน!” หลังจากเสียงตอบกลับ ชายหนุ่มในวัยยี่สิบก็เดินออกมาจากกลุ่มคนรับใช้ของเหลียงซิง
เหลียงซิงส่งลูกศรคำสั่งให้หลิวกัง และกล่าวว่า “หลิงกัง ไปช่วยเฟิงเฟยหยุนจับอู่หยูเสีย จำไว้ว่าหากใครต่อต้านให้ฆ่าซะ ทว่าต้องจับอู่หยูมาให้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม!”
“รับทราบขอรับ!” ชายหนุ่มนามว่าหลิวกัง รีบตอบรับด้วยการโค้งคำนับ เขาหยิบลูกศรคำสั่งหันไปรอบ ๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่ากลัว “ไปได้!”
แม้จะมีการส่งมอบคำสั่งอย่างเป็นทางการผ่านการมอบศร ทว่าการให้คนรับใช้อย่างหลิวกังมารับไปและเป็นผู้บัญชาการเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจยิ่ง และแน่นอนว่าคนที่ไม่ชอบใจมันมากที่สุดก็คือเฟิงเฟยหยุน!
เมื่อมองไปยังร่างที่กำลังถอยหนี และแสดงอาการไม่พอใจของเฟิงเฟยหยุน หลิวกังก็ยิ้มเยาะและเดินนำออกไปอย่างช้า ๆ