ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 9
บทที่ 9
ฮึ่ม ! ถังหยินหัวเราะอย่างเยือกเย็น นี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการอยู่แล้ว เขาลดหอกลง ก่อนจะขว้างมันลงไปบนพื้น
“หา ? ” ทหารเกราะขาวทุกคนตกใจ พวกเขาคิดว่าหมอนี่ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ด้วยจำนวนคนที่มากกว่าแต่เขากลับทิ้งอาวุธ นี่มันหมายความว่าเขาอยากตายงั้นเหรอ ?
เป็นเพราะหอกที่อยู่ในมือ มันจึงทำให้ทุกคนหวั่นเกรงถังหยิน แต่ตอนนี้ไอ้หมอนี่กลับทิ้งมันไปแล้ว นี่แหละคือโอกาสของพวกเรา ! ว่าแล้วชายตัวสูงที่สวมใส่ชุดเกราะหนาสีขาวก็พลันนำทัพเข้าหาถังหยินด้วยดาบทั้ง 2 เล่มในมือ ซ้ายและขวาของเขา ยกมันขึ้นเหนือหัว เตรียมที่ฟาดฟันลงไป
ถังหยินจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างใจเย็น เขาไม่แม้แต่จะรีบหลบมัน และรอดูคมดาบที่กำลังผ่าลงมาด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่จะเบี่ยงร่างกายออกไปข้าง ๆ และใช้หมัดชกเข้าไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย พร้อมกับปลดปล่อยลูกไฟสีดำตรงกลางฝ่ามือ
ในตอนแรกนั้นมันมีขนาดแค่ลูกกระสุนปืน แต่เพียงชั่วพริบตามันก็ใหญ่เท่าฝ่ามือและดูประหลาดมาก เจ้าลูกไฟนั่น ทำให้มือของชายหนุ่มดูเหมือนว่ามีหมอกสีดำคลุมอยู่อีกชั้น
ทหารคนที่ฟันดาบเข้าไป ชายผู้นั้นไม่ได้สังเกตถึงมันเลยแม้แต่น้อย เพราะเขามัวแต่เล็งไปที่หัวของถังหยินเพื่อที่จะจัดการคนตรงหน้าให้ตายภายในดาบเดียว
เมื่อใบมีดอยู่ห่างจากหน้าผากของถังหยินเพียงปลายนิ้ว ชายหนุ่มก็ทำการขยับตัวเพียงเล็กน้อยเพื่อหลบปลายดาบ ก่อนที่จะทำการโต้กลับในทันที ถังหยินยื่นแขนของเขาออกไปจับใบหน้าของอีกฝ่าย ไฟบนฝ่ามือของเขาลามเผาไหม้ทั้งร่างของชายผู้โชคร้ายทันที
หวือ !
ตามด้วยเสียงกระทบกันของโลหะ ทั้งอาวุธและชุดเกราะพากันกระจายลงบนพื้น ก่อนที่ร่างของชายผู้นั้นจะสลายหายไปในอากาศ ร่างที่เผาไหม้กลายเป็นควันสีดำเช่นเดียวกับชีวิตของเขา นี่คือผลจากการที่ถังหยินยัดพลังไฟเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย
ทุกอย่างเงียบกริบ ! ทั้งสนามรบเงียบลงในทันที ทหารเกราะสีขาวต่างตะลึงงัน ปากอ้ากว้างจนแทบจะลืมหายใจ สำหรับพวกเขาแล้ว การที่ได้เห็นคนคนหนึ่งกลายเป็นเถ้าถ่านภายในชั่วพริบตาแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่น่าสยดสยองอย่างมาก พวกเขาคิดว่าชายหนุ่มเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืด ทำให้ความหวาดกลัวเริ่มถาโถมเข้าสู่จิตใจของทุกคน
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ถังหยินใช้ทักษะที่ทั้งยากและถือได้ว่าเป็นพื้นฐานที่สุดของศาสตร์มืด นั่นก็คือเพลิงแห่งความมืด เจ้าเพลิงนี่มันจะเข้าไปเผาผลาญร่างกายของทหารคนนั้นให้กลายเป็นพลังปราณเพื่อดูดซับมันกลับมา ซึ่งนั่นก็คือพลังขั้นต้นของวิชาเพลิงแห่งความมืดที่เรียกกันว่า ‘จุดระเบิดแห่งความตาย’
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มวิชายิบย่อยแบ่งลงไปในกลุ่มวิชาศาสตร์มืดอีกมาก ส่วนใหญ่เป็นวิชาลับที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณและวิชาแห่งแสง มันก็ได้แบ่งออกเป็น 2 สาย ได้แก่แบบภายนอกและแบบภายใน
ถึงคุณภาพและผลลัพธ์ในการช่วยเพิ่มพลังปราณจะไม่ต่างกันนัก แต่มันกลับมีวิธีการฝึกฝนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝึกวิชาภายนอก พวกเขาจะไม่สามารถพึ่งพาพลังของตนเองเพื่อเพิ่มพลังปราณได้อีกต่อไป พวกเขาเหล่านั้นจะต้องใช้การฆ่าฟันศัตรูในการรบเพื่อดูดกลืนเพิ่มพูนพลังปราณเท่านั้น ซึ่งต่างกับแบบภายในที่ไม่มีข้อจำกัดดังกล่าว
เพลิงแห่งความมืดคือวิชาพื้นฐานที่สุดของพลังภายใน แต่มันก็ยากที่สุดด้วยเช่นกัน ขั้นตอนแรกของการฝึกวิชานี้อาจมีผลข้างเคียงถึงขั้นทำให้ผู้ใช้งานถูกกลืนกินจนกลายเป็นเถ้าถ่านได้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ใช้วิชานี้ถึงไม่ค่อยมีเหลืออยู่มากเท่าไหร่
หยานหลี่นั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดของกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืด วิชาที่ชายผู้นี้ฝึกมานั้น มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวและมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก
ถึงถังหยินและหยานหลี่จะรวมวิญญาณกันแล้ว แต่พวกเขาก็มีพลังปราณเหลืออยู่น้อยมาก ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงต้องการพลังมาเติมเต็ม และศัตรูตรงหน้าเขานี่แหละคือสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ ทว่าชายหนุ่มก็ไม่อยากจะให้ข่าวการกำเนิดผู้ใช้ศาสตร์มืดต้องกระจายออกไป ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้พวกทหารเฟิงหนีไปจนหมดก่อน
“ เจ้า เจ้าเป็นปีศาจงั้นเหรอ ? ” ทหารเกราะสีขาวร่างผอมเป็นคนแรกที่ตอบโต้ เขากลืนน้ำลายอย่างยากเย็น น้ำเสียงสั่นเทา และมองถังหยินด้วยใบหน้าที่หวาดกลัว
“หึหึ… ฮ่าฮ่า … ”
ถังหยินหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็หัวเราะแบบบ้าคลั่งออกมา เขาดูดกลืนพลังปราณจากทหารคนนั้นเข้าไป และนั่นก็ได้ปลุกสัญชาตญาณร้ายของเขาออกมา นิ้วทั้งสิบของชายหนุ่มบิดเป็นเกลียว ก่อนที่เพลิงสีดำบนฝ่ามือจะลุกลามใหญ่ขึ้นอีก จากนั้นถังหยินก็พูดขึ้นเย้ยหยันออกมาว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจหรอกว่าข้าจะเป็นคนหรือปีศาจ แต่วันนี้พวกเจ้าอย่าคิดที่จะได้กลับออกไปเลย ! ”
ก่อนจะพูดจบ ชายหนุ่มก็พลันก็พุ่งเข้าไปในฝูงชน เขาโบกมือและเผาผลาญทุกคนโดยรอบ ตอนนี้ถังหยินเป็นเหมือนเสือร้ายที่หลุดเข้าไปฝูงแกะยังไงยังงั้น
อาจกล่าวได้ว่าถังหยินมีความชำนาญในการใช้ไฟสีดำมากกว่าหยานหลี่เสียอีก ในโลกนี้มีเพียงแต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังปราณเท่านั้นถึงจะเข้าถึงทักษะพวกนี้ได้ ซึ่งต่างจากถังหยิน ตั้งแต่เขาเป็นเด็ก เขาก็ได้เรียนรู้ทักษะการต่อสู้จากหลากหลายแขนง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มที่มันทั้งรวดเร็วและรุนแรง
ตอนนี้ถังหยินกำลังผสมผสานศิลปะการต่อสู้เข้ากับพลังปราณที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย สำหรับเรื่องพวกนี้แล้ว เกรงว่าแม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ก็ไม่อาจเทียบเคียงเขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทหารธรรมดาเลย
ยิ่งสู้ก็ยิ่งรวดเร็ว ชายหนุ่มนั้นรวดเร็วเสียจนมองแทบไม่ทัน พลังปราณในร่างของเขามีแต่จะเพิ่มขึ้น ยิ่งการสังหารหมู่ครั้งนี้ดำเนินต่อไปนานเท่าไหร่ ถังหยินก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าเขาไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้แล้วละก็ ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงมีแต่ความตายที่รอชายหนุ่มอยู่เบื้องหน้า
เคร้ง ! เคร้ง ! หลังจากที่พวกทหารเกราะขาวคนสุดท้ายถูกดูดกลืนพลังทั้งหมดไป ไฟในมือของถังหยินก็หายไปเช่นกัน ชายหนุ่มหอบหายใจหนักแม้ว่าทั้งร่างจะเต็มไปด้วยเหงื่อไคล หากแต่เขากลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
หลังจากพักสักครู่ ถังหยินก็สงบลง ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ เขาไม่เห็นทหารศัตรูที่เหลือรอดอยู่ดี ตอนนี้จะมีก็แต่อาวุธและชุดเกราะที่กระจายอยู่ทั่วทุกแห่งบนพื้น
ถังหยินรู้สึกได้ถึงการไหลเวียนของพลังปราณที่เคลื่อนไหวช้า ๆ ในร่างกายของเขา และเมื่อมองลงไปที่ฝ่ามือ ชายหนุ่มก็พบกับไฟสีดำ เปลวเพลิงแห่งความมืดที่หนึ่งในวิชาศาสตร์มืดที่น่ากลัวที่สุด
“สีดำ … เพลิงแห่งความมืด ? ”
โดยไม่มีการเตือนใด ๆ เปลวไฟสีดำที่หายไปจากฝ่ามือของเขาก็เริ่มลุกไหม้ขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันร่างกายของเขาดูเหมือนจะกลายเป็นลูกศรที่พุ่งไปด้านหลัง
“เจ้าเองเหรอ ? ” คนที่โผล่มาด้านหลังถังหยินคือเด็กหนุ่มคนนั้น เขาคิดว่าหมอนี่จะหนีไปกับทหารเฟิงคนอื่นแล้วแท้ ๆ ไม่คิดว่าเขาจะถูกทิ้งเอาไว้อีกครั้งแบบนี้
“เจ้าไม่ได้วิ่งไปกับพวกเขาเหรอ ? ” ถังหยินขมวดคิ้ว เขาจ้องไปที่เด็กหนุ่มตรงหน้า แม้ว่าอีกฝ่ายจะมาจากแคว้นเดียวกันกับเขา แต่ในเมื่อชายผู้นี้รู้ความลับของเขาแล้ว นั่นมันก็อีกเรื่องหนึ่ง
ใจของเด็กหนุ่มสั่นเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร เขาตัวสั่นแต่ก็พยายามทำให้ตัวเองสงบเข้าไว้ด้วยรอยยิ้ม “เจ้า เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก ถึงข้าจะเห็นแล้วแต่ก็จะไม่บอกใครหรอก…”
ถังหยินพูดอย่างช้า ๆ โดยไม่รอให้เขาพูดจนจบ “มีแต่คนตายเท่านั้นที่จะเก็บความลับได้ ! ” เขาไม่เคยเป็นคนใจดีและอ่อนโยนอยู่แล้ว ตั้งแต่วัยเด็กเขาไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้นเลย เพื่อการอยู่รอดเขายอมทำทุกวิถีทาง ! ถึงมันจะรวมไปถึงการจัดการเด็กหนุ่มคนนี้ก็ตาม !
แต่สิ่งที่ถังหยินคิดว่ามันแปลกก็คือ เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาไม่มีพลังปราณ นั่นหมายความว่าเด็กหนุ่มไม่เคยฝึกวิชามาก่อน ถ้าแบบนั้นแล้วอีกฝ่ายรู้จักเพลิงแห่งความมืดได้ยังไง ?
ดังนั้นถังหยินจึงคิดที่จะล้วงความลับให้มากขึ้น ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ กดจิตสังหารของตัวเองลงไป ก่อนที่เขาจะถาม “เจ้าเคยเห็นไฟนี่มาก่อนใช่ไหม ? ”
เมื่อจิตสังหารของอีกฝ่ายหายไป เด็กหนุ่มจึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขารู้สึกว่าอากาศรอบข้างได้รับการปลดปล่อย หากแต่ก็ยังมีความกดดันที่พร้อมจะขยี้ร่างเขาได้ตลอดเวลา ซึ่งเด็กหนุ่มก็รู้ดีว่านั่นคือแรงกดดันทางจิตวิญญาณ
เด็กหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ และพูดด้วยรอยยิ้มคร่ำครวญ “ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เคยเห็นเพลิงแห่งความมืด” เมื่อเห็นการอธิบายแบบนี้ ถังหยินก็จ้องมองมาด้วยความสงสัย “ตะ ตะ …แต่ข้าอยากจะเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียง เพราะงั้นข้าจึงเคยอ่านหนังสือมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นมันก็มีหนังสือที่เกี่ยวกับศาสตร์มืดอยู่ด้วย ดังนั้นข้าก็เลยรู้จักเพลิงแห่งความมืด”
ถังหยินจ้องตรงไปที่เด็กหนุ่ม หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หัวเราะออกมา ชายหนุ่มเคยเห็นคนที่หยิ่งผยองมาก็หลายคน แต่กับเด็กหนุ่มคนนี้ถือเป็นหนึ่งในคนที่น่าสนใจไม่น้อย เจ้าเด็กคนนี้กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักปราชญ์ หนังหน้าของเด็กนี่ด้านยิ่งกว่าอะไรเสียอีก
เมื่อเห็นว่าจิตสังหารยังคงอ่อนลง เด็กหนุ่มก็พูดต่อ “เพราะฉะนั้นเจ้าก็ไม่ต้องฆ่าข้าหรอกนะ เพราะว่ามันไม่ช่วยอะไรเลย”
ถังหยินหัวเราะและถามกลับ “ทำไมถึงคิดแบบนั้น ? ”
เด็กหนุ่มพูดอย่างใจจดใจจ่อ “เพราะข้าต้องการจะใช้ความรู้ช่วยเจ้าไง ! ”
ถังหยินไม่อาจอดกลั้นขำได้ ชายหนุ่มหัวเราะออกมา ก่อนที่ไฟในมือของเขาหายไป ถังหยินรู้สึกว่าตัวเองบ้ามากแล้วนะ แต่เด็กคนนี้กลับบ้ามากกว่าเขาเสียอีก เมื่อเห็นแบบนั้นชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะพูดล้อเลียนออกไป “ถ้าเจ้ามีความรู้จริง ๆ งั้นทำไมเจ้าไม่ไปเป็นขุนนางเสียละ ? ทำไมถึงยังเป็นแค่ทหารกระจอก ๆ อยู่ ?
เด็กหนุ่มมองไปที่ถังหยินอย่างประหลาดและถามว่า “คนธรรมดาจะไปเป็นข้าราชการได้ยังไงกัน ? ”