ราชันเทพเก้าสุริยัน Nine Sun God King - ตอนที่ 735
ตอนที่ 735 อสูรจันทรา
ภาพฉากที่ฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินได้เห็นถัดจากนั้น มันแปลก
อย่างยิ่ง
บรรดาสัตว์อสูรดวงดาวที่แห่แหนจากทั่วสารทิศ ฉับพลันพวกมัน
หายไปโดยไร้ร่องรอยเมื่อเข้าใกล้ภูเขา
เวลานี้ ทุกผู้คนในเทือกเขานิราศจันทราต่างเร่งรีบมา พวกเขาติดตาม
ฝูงสัตว์อสูรมากันทั้งสิ้น
บางคนคิดอยากโจมตีฝูงสัตว์อสูร กระนั้นกลับถูกหยุดยั้งไว้โดยครึ่ง
เซียนและจักรพรรดิยุทธ์
จักรพรรดิยุทธ์และครึ่งเซียนที่นี้ คือผู้มากประสบการณ์และความรู้
พวกเขาคล้ายคาดเดาได้ว่าจะมีอันใดเกิดขึ้น
“จ้าวสำนัก!” จากที่ไกลออกไป ฉินหยุนได้เห็นเปาเฉิงโฉ่ว
เจี้ยนสือเทียน แม่เฒ่าหยุนเหยา รวมถึงจ้าวสำนักอื่นที่ยิ่งใหญ่ล้วน
รวมตัวกันที่นี่
“จ้าวสำนักนครเซียนยุทธภัณฑ์ก็มาที่นี่ด้วย? วิเศษนัก!” เซี่ยวเสวียน
ฉินค่อยผ่อนคลายได้มาก เพราะนางได้ยินว่านครเซียนยุทธภัณฑ์
ออกหน้าคุ้มครองฉินหยุนเพียงใด
“ป้าเซี่ยว ท่านยายที่ดูดุร้ายตรงนั้น เป็นแม่เฒ่าหยุนเหยา! นางคือจ้าว
เกาะจันทราปีศาจ แม้ว่าดูน่ากลัวไปบ้าง กระนั้นนางเป็นคนดียิ่ง!”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “หากท่านต้องการเข้าร่วมเกาะจันทราปีศาจภายหลัง
ข้าสามารถพาท่านไปได้!”
“ข้า… ข้าต้องเข้าเกาะจันทราปีศาจจริงหรือ?” เซี่ยวเสวียนฉินรู้สึกว่า
ตนเองตอนนี้ค่อนข้างข้นแค้น นางกลัวว่าหากไปแล้วจะกลายเป็น
ตัวตนแปลกแยก
“วางใจ! เกาะจันทราปีศาจและพี่หยางมีสัมพันธ์ต่อกันในทางลับ
พวกนางให้การดูแลข้าเป็นอย่างดี กระทั่งยอมสร้างข้อยกเว้นให้แก่
ข้า เพื่อที่จะได้กลายเป็นศิษย์ชายเพียงหนึ่งเดียวด้วยซ้ำ!” ฉินหยุน
หัวเราะภูมิอกภูมิใจ
เซี่ยวเสวียนฉินกล่าว “ได้ อย่างนั้นก็ไป!”
นางใช้ผ้าบางปกคลุมครึ่งใบหน้าก่อนบินไปพร้อมฉินหยุน
ฉินหยุนปลอมแปลงตนเองเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ผู้ฝึกตนอื่นจดจำตนเอง
ได้
ฉินหยุนเมื่อเข้าไปใกล้ เขาจึงส่งเสียงสื่อสารไปยังเปาเฉิงโฉ่ว “จ้าว
สำนัก ข้าเอง ฉินหยุน!”
เปาเฉิงโฉ่วและฉู่ปินอวี้มาถึงพร้อมกัน ขณะที่แม่เฒ่าหยุนเหยามาถึง
พร้อมฮูจิงเซียนและหญิงชราอีกคนหนึ่ง
เจี้ยนสือเทียนนำเจี้ยนหนันหู่และชายวัยกลางคนร่วมทางมาด้วย
เจี้ยนหนันหู่และชายวัยกลางคนค่อนข้างดูคล้ายคลึงกัน ให้คาดเดา ผู้
นี้สมควรเป็นบิดาของเจี้ยนหนันหู่แล้ว
เปาเฉิงโฉ่วหันมองทางฉินหยุนพร้อมกล่าวเสียงเบา “ฉินหยุน เจ้า
ต้องระวังอย่าได้เปิดเผยตัวตน! จักรพรรดิยุทธ์และครึ่งเซียนที่นี้ล้วน
มาจากแคว้นอื่น!”
“ข้าทราบดี!” ฉินหยุนไปถึง เขาส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฮูจิงเซียน
“พี่สาวจิ้งจอก ข้าคือเสี่ยวหยุน! ข้ามาที่นี่เพื่อแนะนำศิษย์ใหม่ให้แก่
เกาะจันทราปีศาจของท่าน!”
ฉินหยุนดึงเซี่ยวเสวียนฉินก่อนจะผลักนางออกนำหน้า
เซี่ยวเสวียนฉินมองที่ฮูจิงเซียน ภายในต้องลอบอุทานนับถือ ฮูจิง
เซียนผู้นี้ทรงเสน่ห์อย่างยิ่ง กระนั้นมันกลับเป็นเสน่ห์อันอ่อนช้อยที่
เผยออร่าความเป็นเซียน มันเป็นสิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นตามธรรมชาติจน
ให้ความรู้สึกประหลาด
ฮูจิงเซียนและเซี่ยวเสวียนฉินสื่อสารกันผ่านจิตเสียงสื่อสาร พวก
นางสนทนากันอย่างยินดีก่อนจะยิ้มให้แก่กัน
ไม่นานนัก เซี่ยวเสวียนฉินจึงค่อยส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุน
“ฉินหยุน นางคล้ายทราบเรื่องข้ามานานแล้ว! เป็นเย่ว์หลานงั้นหรือ?”
“อาจเป็นเช่นนั้น” ฉินหยุนยิ้มกล่าว “ตอนนี้ท่านมั่นใจเรื่องเข้าร่วม
เกาะจันทราปีศาจได้แล้วใช่หรือไม่?”
“ได้ ข้ามั่นใจแล้ว! ฉินหยุน ฮูจิงเซียนผู้นี้น่าทึ่งนัก นางเผยออกเป็น
เพียงผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ กระนั้นนางกลับทำให้ข้ารู้สึกถึง
กำลังแท้จริง ว่ามันไม่อ่อนด้อยไปกว่าครึ่งเซียน!” เซี่ยวเสวียนฉินส่ง
เสียงบอกกล่าวต่อฉินหยุน “นี่เจ้ารู้จักนางเพียงใด? เป็นนางให้ความ
รู้สึกประหลาดแก่ข้ายิ่งนัก!”
“จริงหรือนี่? พวกเรารู้จักกันนานพอสมควร กระนั้นข้ากลับไม่ทราบ
เลย”
ฉินหยุนยังต้องทึ่ง เพราะเขาถูกฮูจิงเซียนเอาเปรียบหลายครั้งครา
เวลานี้ค่อยทราบเรื่องราวยิ่งทำให้รู้สึกวางตัวไม่ถูก
ตู้ม!
ภูเขาฉับพลันสั่นไหวรุนแรงพร้อมระเบิดออก!
การสนทนาในทางลับระหว่างฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินจึงต้อง
หยุดลงที่ตรงนี้
ฟากฟ้าเบื้องบนภูเขา มีผู้คนรวมกันนับหมื่น เหล่านี้ต่างทรงพลังกัน
ทั้งสิ้น
ได้เห็นเรื่องราว ผู้คนต่างต้องร้องออกอย่างนึกทึ่ง
หลังภูเขาระเบิดออก มันเป่ าสรรพสิ่งภาคพื้นกระจุยกระจายกินรัศมี
เป็นวงกว้างหลายพันเมตร
โลงศพสีเงินขนาดใหญ่กว่าร้อยเมตรได้ปรากฏขึ้นกลางพื้นดินเบื้อง
ล่าง มันกำลังส่องแสงสว่างประหนึ่งแสงจันทร์ออกมา
ฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินตื่นตะลึง เพราะพวกเขาต่างคิด ว่าภูเขา
แห่งนี้จะมีการเคลื่อนไหวก็ต่อเมื่อจันทราสีครามปรากฏ
แต่แล้วเวลานี้ สัตว์อสูรทั้งหลายกลับดาหน้าเข้ามาอย่างไร้ซึ่งความ
หวาดกลัว พวกมันพุ่งเข้าหาโลงศพขนาดใหญ่ยักษ์นับร้อยเมตรนั่น!
ยามเมื่อร่างปะทะกับโลงศพยักษ์ พวกมันจึงระเบิดพลังดวงดาวออก
ก่อนที่โลงศพนั่นจะดูดกลืนพลังทั้งหมดเข้าไป
อย่างกะทันหัน ชายชราในชุดสีเขียวได้ตะโกนเสียงดัง “ข้าคือราชัน
แห่งแคว้นวิหคอมตะ เรียกหาข้าเป็นราชันแคว้นวิหคอมตะ! ข้ามา
จากแดนไกล และหาได้สนใจจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวไม่!”
ครึ่งเซียนหลายคนที่นี้พอได้ยิน พวกเขาต่างแค่นเสียงอย่างนึกเดียดฉันท์
หลังจากที่ราชันแคว้นวิหคอมตะได้ยินเสียงแค่นเดียดฉันท์จากบรรดา
ครึ่งเซียนผู้อื่น เขาจึงเผยยิ้มเฉยชา “ข้ามาที่นี่เพื่อเข้าสู่เขตแดนอ้างว้าง
จันทราทมิฬ! เมื่อโลงศพยักษ์นั่นเปิ ดออก พวกเจ้าจะสามารถเข้าไป
ยังเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬได้!”
“พวกเจ้าคงไม่ทราบเรื่องนี้กันกระมัง?”
ครึ่งเซียนหลายคนเผยสีหน้าคล้ายว่าจดจำเรื่องนี้ขึ้นมาได้ พวกเขา
ขุดคุ้ยความทรงจำนานนับที่กักเก็บไว้ภายในจิตใจ กระนั้นกลับไม่
พบอะไรเป็นชิ้นอัน
“ป้าเซี่ยว ท่านเคยได้ยินเรื่องเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬหรือไม่?”
ฉินหยุนเอ่ยถามผ่านทางเสียงสื่อสาร
“ใช่… ข้าย่อมเคยได้ยิน!” ร่องรอยความหวาดกลัวเผยที่ดวงตาเซี่ยว
เสวียนฉิน นางกล่าวบอก “ครั้งข้ายังอยู่ที่พระราชวังกวงหาน ข้า
บังเอิญได้ยินฉีเย่ว์เอ่ยถึงมัน! นางเพียงกล่าว ว่าสถานที่แห่งนั้นน่า
หวาดกลัวยิ่ง เป็นมันที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับที่ตรงกลางของแดน
วิญญาณอ้างว้าง!”
“หรือเทือกเขานิราศจันทราแห่งนี้ มีไว้ก็เพื่อผนึกเขตแดนอ้างว้าง
จันทราทมิฬ? ตอนนี้ผลึกคลายออก สมควรเป็นฝีมือพี่หยางแล้ว!”
ฉินหยุนเอ่ยคำขึ้น
“เป็นไปได้มาก!” เซี่ยวเสวียนฉินคิดเห็นเช่นเดียวกัน
เจี้ยนสือเทียนกล่าวถาม “ราชันแคว้นวิหคอมตะ ขอท่านบอกต่อ
พวกเรา สิ่งใดอยู่ภายในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ?”
ราชันแคว้นวิหคอมตะลูบหนวดเครายาวพร้อมยิ้มกล่าว “ภายในคือ
นรกจันทรา เรียกขานว่าจันทราทมิฬ มันถูกผนึกเอาไว้ภายในเขต
แดนอ้างว้างจันทราทมิฬมาแล้วนานนับ! จันทราทมิฬคือความลึกลับ
อย่างถึงที่สุด ข้าไม่ทราบว่ามันทรงอำนาจเพียงใด กระนั้นมันย่อม
ต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน!”
ฉินหยุนลอบสังเกตสีหน้าของฮูจิงเซียนและแม่เฒ่าหยุนเหยา นับตั้งแต่
แรกเริ่ม พวกนางเผยสีหน้าสงบมาโดยตลอด ราวกับพวกนางทราบ
เรื่องราวนี้ดีอยู่แล้ว
ทั้งจันทราทมิฬและตะวันทมิฬ มันคือตัวตนอันลึกลับอย่างถึงที่สุด
กระทั่งแดนเซียนอ้างว้าง ก็มีเพียงตำนานที่กล่าวขานถึง
กระนั้น ฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์ได้ครอบครองวิญญาณยุทธ์ตะวัน
ทมิฬและจันทราทมิฬอย่างพอเหมาะพอเจาะ!
ส่วนเรื่องที่ตะวันทมิฬและจันทราทมิฬแท้จริงอยู่ที่ใด ไม่มีผู้ใดทราบ
“หยุนเอ๋อ นี่มันเรื่องอะไร?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“จันทราทมิฬคงอยู่มาโดยตลอด! และก็มีจำนวนไม่น้อยด้วย! นรก
จันทราคือจันทราทมิฬอย่างหนึ่ง!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “เรื่องราวยัง
จะมีอันใดแปลก? มวลหมู่ทะเลดวงดาวกว้างใหญ่ มันย่อมต้องมี
จันทราทมิฬและตะวันทมิฬมากกว่าหนึ่ง!”
“อย่างนั้นแล้ว ภายในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬจะมีอะไร?” ฉิน
หยุนเอ่ยถาม
“มีแต่ความตาย! โดยสรุป เขตแดนนี้ถูกจันทราทมิฬปกคลุมมาเป็น
เวลายาวนาน หากไม่ถูกส่องแสงโดยเก้าตะวัน สถานที่จะกลับกลาย
เป็นอันตราย ให้กำเนิดออกมาแต่มารร้าย!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“แน่นอนว่า มีความเป็นไปได้อีกทาง คือภายในไม่มีอันใดทั้งสิ้น!”
ผู้คนต่างลอยตัวกลางอากาศ กำลังหารือกันถึงเรื่องเขตแดนอ้างว้าง
จันทราทมิฬ
พวกเขาต่างเห็นพ้องต้องกัน ว่าเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬมีค่าพอ
ให้เข้าไปสำรวจ!
อันดับแรก พวกเขาไม่อาจพูดคุยกันได้ว่าภายในมีอันใดอยู่หรือไม่
เพียงแต่พิจารณาจากเรื่องที่สัตว์อสูรดวงดาวจำนวนมากถูกสังเวย
มันจะต้องเป็นไปเพื่อปลดปล่อยอะไรบางอย่าง
ยามค่ำคืน จำนวนของสัตว์อสูรดวงดาวลดลงไปอย่างมหาศาล!
ถึงตอนนี้เอง ดวงจันทราได้ปรากฏบนฟากฟ้าพร้อมฉายแสงสีน้ำเงิน
อ่อนจางลงมา!
“นี่ยังไม่ใช่จันทราสีครามโดยสมบูรณ์ มันยังไม่ใช่จันทร์เพ็ญ!”
เซี่ยวเสวียนฉินมองดวงจันทราบนฟ้าพร้อมกล่าว “น่าจะต้องเป็น
พรุ่งนี้!”
“ฝาโลงศพนั่นเปิดออกแล้ว!” คนหนึ่งร้องตะโกนดังขึ้น
ผู้คนต่างหันขวับมองทางโลงศพสูงนับร้อยเมตรที่เริ่มทอประกาย
แสงสีเงิน ฝาโลงศพกำลังยกขึ้นทีละน้อย
ตึง!
ฝากโลงศพเพียงเคลื่อนเล็กน้อย มันก็ร่วงหล่นลงที่เดิมเสียงดังสนั่น
ผู้คนต่างต้องตะโกนร้องออกด้วยความหวาดกลัว
ไม่นานจากนั้น ฝาโลงศพได้เริ่มยกตัวขึ้นเชื่องช้าอีกครั้งหนึ่ง
ครานี้ มันยกขึ้นมาได้สูงกว่าเมื่อครู่
ตึง!
กระนั้น ฝาโลงศพก็ไม่อาจเปิดออกโดยสมบูรณ์ มันร่วงหล่นลงอีก
ครั้งพร้อมเสียงดังสนั่น
ฉินหยุนไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่เขารับรู้ถึงความรู้สึกเย็นเยียบที่
แล่นผ่านกระดูกสันหลังจนกระจายทั่วทั้งร่าง
เขาเร่งรีบดึงเซี่ยวเสวียนฉินที่อยู่ข้างกายเข้ามาใกล้ มีแต่รับรู้ถึงความ
รู้สึกอบอุ่นผ่านฝ่ามือของนาง เขาค่อยผ่อนคลายลงได้บ้าง
เซี่ยวเสวียนฉินมองฉินหยุนด้วยสีหน้างงงัน เพราะนางไม่มีความ
จำเป็นใดต้องเกาะกุมมือฉินหยุนไว้ ถึงกระนั้น นางก็ยังรู้สึกว่าเกาะ
กุมไว้ดีกว่า
“ป้าเซี่ยว ข้านึกกลัว!” ฉินหยุนส่งเสียงสื่อสารบอกต่อเซี่ยวเสวียน
ฉิน “ข้าไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่นี่ทำข้าหวาดกลัวจริง!”
“เด็กน้อย เจ้ายังจะมีอันใดให้กลัว? ย้อนกลับไปที่เบื้องล่างสุสาน
ราชวงศ์เทียนเซี่ยว ที่แห่งนั้นมีโลงศพมากมาย ตอนนั้นไม่เห็นเจ้า
กลัวแม้เพียงนิด!” เซี่ยวเสวียนฉินเร่งรีบดึงฉินหยุนให้เข้ามาใกล้
เพื่อที่ร่างกายจะได้อิงแอบต่อกัน
เซี่ยวเสวียนฉินทราบ ฉินหยุนไม่ได้โกหกต่อนาง เพราะนางรับรู้ได้
ถึงอาการสั่นกลัวจากมือของฉินหยุน เรื่องนี้ทำนางตระหนกไม่ใช่
น้อย
นางทราบดีว่าฉินหยุนแทบไม่เคยหวาดเกรงใด กระนั้นตอนนี้อีก
ฝ่ายกลับหวาดกลัวอย่างไม่อาจอธิบาย
เซี่ยวเสวียนฉินลูบหลังมือของเขาเบาพร้อมกล่าว “อย่าได้หวาดกลัว
ไป จะไม่มีอันใดเกิดขึ้น ที่แห่งนี้มีครึ่งเซียนมากมายนัก! รออีกสัก
ประเดี๋ยว ข้าจะพยายามลองติดต่อฉีเย่ว์ดูว่าเกิดอะไรขึ้น!”
ทันใดนี้เอง หลิงหยุนเอ๋อพลันร้องตะโกนบอกต่อฉินหยุน “เสี่ยว
หยุน รีบหนี!”
“วะ… ว่าอะไร?” ฉินหยุนถามกลับ
“อสูรจันทรากำลังจะปรากฏตัวแล้ว! ดวงดาวนั่นไม่ใช่พี่หยางนำลง
มา แต่เป็นอสูรจันทราที่นำมันลงมา!” หลิงหยุนเอ๋อเร่งร้อนตะโกน
“อสูรจันทราถือกำเนิดขึ้นจากนรกจันทรา บางทีมันเคยอยู่ที่นี่ทว่า
ถูกผนึกเอาไว้ในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ!”
“ข้าเดาว่าอสูรจันทรา ครั้งหนึ่งอยู่ในการควบคุมของพระราชวังกวง
หาน ภายหลังจึงค่อยถูกผนึกเอาไว้! หลังจากที่พระราชวังกวงหาน
ถูกทำลายจนสิ้น พลังที่ผนึกร่างอสูรจันทราไว้จึงอ่อนแรงลง!”
ฉินหยุนขมวดคิ้วกล่าวถาม “นี่เป็นต้นกำเนิดความหวาดกลัวของข้า
หรือ?”
“ถูกต้อง! เจ้าครอบครองวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ นั่นถือเป็นอาหาร
อันโอชะของอสูรจันทรา! ด้วยกำลังเจ้าตอนนี้ เจ้าไม่มีทางต้านทาน
อสูรจันทราเอาไว้ได้! ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมันมา
จากข้า ข้าเองก็หวาดกลัวเจ้าสิ่งนั้น!” หลิงหยุนเอ๋อเร่งร้อนกล่าว “เร่ง
รีบหนี!”
ฉินหยุนจึงส่งเสียงบอกต่อฮูจิงเซียนพร้อมถาม “พี่สาวจิ้งจอก ภายใน
โลงศพนั่นคืออะไร? เป็นสิ่งน่าหวาดกลัวหรือ?”
“น้องหยุน เจ้าควรเร่งรีบไปโดยเร็ว! สิ่งนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่ง กระทั่ง
ว่าที่นี่มีครึ่งเซียนมากมาย ข้าก็ไม่อาจมั่นใจว่าจะกำราบมันลงได้
หรือไม่!” ฮูจิงเซียนตอบกลับมา
ฉินหยุนคิดอยู่ครู่ก่อนจะแจ้งเรื่องนี้ต่อเปาเฉิงโฉ่ว
เปาเฉิงโฉ่วพอได้ทราบ เขาจึงบอกให้ฉินหยุนไปก่อน เพราะเขา
ต้องการเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน
“ป้าเซี่ยว เร่งรีบไปจากที่นี่!” ฉินหยุนกล่าว
“ได้!” เซี่ยวเสวียนฉินได้ทราบว่าฉินหยุนหวาดกลัว นางจึงบอกต่อฮู
จิงเซียนก่อนจะบินไปไกลห่างพร้อมฉินหยุน
และชั่วขณะนี้เอง นางพลันส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุนอย่าง
ตระหนกตกใจ “ข้าคล้ายสามารถติดต่อฉีเย่ว์ได้แล้ว ให้ข้าถามนาง
เรื่องโลงศพยักษ์นั่นก่อน!”