ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ตอนที่ 685
Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 685 : จากเฉื่อยชาสู่หยุดนิ่ง
ราชันเร้นลับ 685 : จากเฉื่อยชาสู่หยุดนิ่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางซากห้องพักที่พังยับเยิน หมวกทรงสูงตกลงบนพื้นด้านข้าง ไคลน์ในสภาพเสื้อผ้าฉีกขาด กำลังยืนเผชิญหน้ากับปีศาจร่างยักษ์ที่กำลังสยายปีกค้างคาว จิลเซียส โดยทิ้งระยะห่างไว้ประมาณสี่เมตร สถานการณ์ดำเนินไปอย่างเงียบงันประหนึ่งงานแสดงหุ่นกระบอก
ในความเป็นจริง ชายหนุ่มยังมีพลังเหลือเฟือ
ย้อนกลับไปในอดีต ตอนนั้น ‘นักเชิดหุ่น’ โรซาโก้เคยพยายามควบคุมไคลน์และชารอนพร้อมกัน มันสามารถขัดขืนการสิงร่างของ ‘วิญญาณอาฆาต’ ได้อย่างง่ายดาย แถมยังใช้พลังควบคุมไฟทำลายเงาของชารอน หากโรซาโก้ไม่ตัดสินใจผิดพลาด เลือกฆ่าลำดับ 5 วิญญาณอาฆาตก่อน ไคลน์คงตายไปนานแล้ว หมดโอกาสใช้ ‘ยันต์กัดกร่อน’ เพื่อพลิกสถานการณ์ เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ว่าไคลน์จะยังไม่แข็งแกร่งเท่าโรซาโก้ แต่ศัตรูตรงหน้ามีเพียงหนึ่ง!
แต่ถึงอย่างนั้น การเคลื่อนไหวของไคลน์ก็มีขีดจำกัดขณะเพ่งสมาธิควบคุมจิลเซียส ขยับตัวได้เพียงเล็กน้อย ต้องไม่เร็วจนเกินไป ยังสามารถใช้พลังพิเศษที่ไม่สิ้นเปลืองพลังวิญญาณ แต่ไม่ถึงขั้นใช้สมบัติวิเศษหรือชักปืนออกมายิง ซึ่งเป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองพลังงานเป็นอย่างมาก
และก่อนที่เป้าหมายจะถูกควบคุมขั้นต้น การโจมตีส่งเดชอาจไปกระตุ้นให้เหยื่อได้สติกลับมา จากนั้นก็ดิ้นรนขัดขืน ‘ด้ายจิต’ จนหลุดพ้นจากการควบคุม
ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ไคลน์ทำได้จึงมีเพียงการรอเวลา
ขณะกำลังครุ่นคิด หัวใจชายหนุ่มพลันเต้นผิดธรรมชาติสองครั้ง ความกังวลและความตึงเครียดเริ่มกัดกินจิตใจอย่างมิอาจควบคุม
ไคลน์อดกังวลไม่ได้ว่า ณ ปัจจุบัน พวกพ้องทั้งสองคนของจิลเซียสที่เคยถูกพลัง ‘บิดเบือน’ เล่นงาน อาจกำลังย้อนกลับมาช่วยเหลือ!
แย่ล่ะสิ… อารมณ์ของเรากำลังแปรปรวน! ไคลน์ผงะเล็กน้อย ก่อนจะรีบใช้เทคนิคเข้าฌานเพื่อสงบใจ พยายามลดความผันผวนของอารมณ์
ฮะฮะ… อารมณ์ของมัน… เริ่มแปรปรวนแล้ว… โอกาสมาถึง… จิลเซียสเริ่มมองเห็นชัยชนะ ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองอันเชื่องช้า
จากนั้น อาศัยพลังพิเศษของตน มันพายาม ‘ขยาย’ ความกังวลและตึงเครียดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ให้กว้างออก ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งอารมณ์ลงไปถึงราก
หากทำสำเร็จ ขอเพียง ‘จุดระเบิด’ อารมณ์ได้ การต่อสู้ครั้งนี้ก็จะจบลงทันที เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะอยู่ในภาวะไร้การป้องกันตัว หมดสิทธิ์ควบคุมร่างกายโดยสิ้นเชิง!
บ้าน่า… อารมณ์แปรปรวน… ของมัน… หายไปแล้ว… ดวงตาแดงก่ำของจิลเซียสเริ่มหรี่ลง ค่อยๆ เผยอารมณ์หลากหลาย จำพวกประหลาดใจและโมโห
ไคลน์ที่เคยกังวลว่าตนจะถูก ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ ตอบโต้ หลังจากรีบสงบจิตใจ มันพบว่ายังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับร่างกาย และเมื่อมองไปยังเขาแพะของจิลเซียสที่กำลังลุกไหม้ร้อนแรง ไคลน์พบว่าอีกฝ่ายกลับไม่ฉวยโอกาสในจังหวะที่อารมณ์ของตนแปรปรวนเพื่อโจมตีกลับเข้ามา
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ไคลน์เริ่มเข้าใจสถานการณ์
ไม่ใช่ว่าจิลเซียสไม่คิดกระตุ้นอารมณ์ของตน เพียงแต่ทำแล้วล้มเหลว!
ในวินาทีที่สัมผัสถึงอารมณ์แปรปรวน จิลเซียสต้องใช้เวลาหลายวินาทีในการวิเคราะห์เหตุการณ์ อีกสองสามวินาทีเพื่อตัดสินใจ ส่งผลให้เสียเวลานานก่อนจะใช้พลังออกมาได้ กว่าจะตอบสนองก็ผ่านไปแล้วไม่ต่ำกว่าสิบวินาที
ส่วนทางด้านไคลน์ เมื่อพบว่าอารมณ์ของตนมีปัญหา ชายหนุ่มใช้เวลาเพียงสามถึงสี่วินาทีในการทำให้สงบ
ลงเอยด้วย พลังกระตุ้นอารมณ์ของจิลเซียสใช้ไม่ได้ผลกับเป้าหมายที่มีภาวะจิตใจปรกติ
สรุปโดยสั้น สมองของมันกำลังเชื่องช้าอย่างมาก! มิอาจต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ที่ทุกวินาทีมีค่าเช่นนี้… ไคลน์พึมพำเงียบ อารมณ์เริ่มกลับเป็นปรกติ ดำเนินการควบคุมเหยื่อต่อไป
ราวสิบวินาทีถัดมา คล้ายกับจิลเซียสเริ่มเข้าใจศัตรูมากขึ้น ไม่หวังพึ่งพาพลังกระตุ้นอารมณ์อีก อาศัยกายเนื้อและกายวิญญาณที่แข็งแกร่งของปีศาจ พยายามดิ้นรนขัดขืนให้หลุดจากการควบคุมของ ‘ด้ายวิญญาณ’ พลางกระพือปีกด้วยท่าทีเชื่องช้าและติดขัด บรรจงควบแน่นเปลวไฟสีฟ้าอ่อนที่ลอยอยู่รอบตัว ค่อยๆ กลั่นตัวกลายเป็นลูกบอลไฟ
ไคลน์พอจะเดาได้ว่า อีกฝ่ายเตรียมระดมยิงลูกไฟระลอกใหญ่ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า! ทราบเช่นนั้น ชายหนุ่มรีบแบ่งพลังวิญญาณ ขยับนิ้วกลางและนิ้วชี้เพื่อดีดจนเกิดเสียง
เป๊าะ!
ยังไม่ทันจะก่อตัวเป็นรูปร่างบอลไฟ กลุ่มก้อนเปลวเพลิงสีฟ้าอ่อนพลันพวยพุ่งขึ้นฟ้าและอันตรธานไป คล้ายกับดอกไม้ไฟขนาดมหึมากำลังเบ่งบานด้านหลังจิลเซียส
พลังควบคุมไฟของนักมายากล!
จิลเซียสยังคงพยายามดิ้นรน แต่การเคลื่อนไหวของมันเชื่องช้าลงทุกขณะ เข้าใกล้ความเป็นหุ่นกระบอกขึ้นสนิมไปทุกที แม้มันจะดันทุรังเปล่งถ้อยคำกัดกร่อนออกมาสำเร็จอย่างเต็มกลืน แต่ไคลน์ก็หลบหลีกได้ง่ายดาย
สามวินาที สองวินาที หนึ่งวินาที… ไคลน์ชะงักร่างกาย สายตาจดจ้องไปยังศีรษะของจิลเซียสที่สูญเสียเขาแพะโค้งงอ
ถึงตรงนี้ หากต้องการเข้าควบคุมร่างผู้ปลดปล่อยแรงกระหายอย่างสมบูรณ์ เปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิดของตน ไคลน์ต้องใช้เวลาอีกราวสองนาทีครึ่ง แต่มันไม่มีแผนจะทำแบบนั้น ไม่เคยอยู่ในหัวมาตั้งแต่แรก!
นั่นคงเป็นการเสียเวลามากเกินไป พรรคพวกของจิลเซียสอาจกลับมาช่วยเหลือได้ทันเวลา!
ไคลน์มีแผนเดียวมาตั้งแต่แรก ขอเพียงเข้าควบคุมร่างกายเหยื่อสำเร็จในขั้นต้น การโจมตีใดๆ ก็จะไม่กระตุ้นให้อีกฝ่ายได้สติกลับมา!
ขณะที่ดวงตาสีแดง ใบหน้าดุร้าย และเขี้ยวคมซึ่งมีน้ำลายเหนียวกำลังสะท้อนบนดวงตาไคลน์ ชายหนุ่มเปิดปากพลางทำเสียง
“ปัง!”
กระสุนอัดอากาศ! เมื่อถูกใช้โดยลำดับ 5 มันคือระเบิดอัดอากาศ!
ความรุนแรงเทียบเท่ากระสุนที่ยิงออกจากปืนไรเฟิลพลังไอน้ำ!
โผละ!
กระสุนอัดอากาศพุ่งทะลวงหน้าผากจิลเซียสอย่างแม่นยำจนมันหน้าหงายขึ้นฟ้า กระชากด้ายวิญญาณกลับไปด้านหลังเล็กน้อย
กึ่งกลางหน้าผากจิลเซียสเกิดรูโหว่ที่ไม่ลึกมากนัก หรือกล่าวได้ว่า นี่ยังไม่ใช่การโจมตีที่ทำให้ถึงตาย
ไม่ว่าจะเป็น ‘ปีศาจ’ หรือ ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ ผู้วิเศษในลำดับนี้จะเหมือนกับสวมเกราะหนาตลอดเวลา แถมยังมีชั้นเนื้อที่ยืดหยุ่นและทนทานเป็นพิเศษ
ปัง! ปัง! ปัง!
ไคลน์ยังคงอ้าปากส่งเสียง สร้างกระสุนอัดอากาศอย่างต่อเนื่อง เน้นกระแทกใส่หน้าผากจิลเซียสทีละนัด ขณะเดียวกันก็คอยควบคุมด้ายวิญญาณอย่างสุขุม ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายดิ้นรนจนหลุดพ้นการควบคุม
จิลเซียสครางในลำคออย่างติดขัด ขาขยับก้าวมาข้างหน้า สองมือพยายามโจมตีโต้กลับ แต่แน่นอน ไคลน์เคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่ามาก
ยิ่งการตอบโต้ล้มเหลว โอกาสดิ้นหลุดจากด้ายวิญญาณก็ยิ่งริบหรี่ลง
ปัง!
กระสุนอัดอากาศถูกยิงออกไปอีกหนึ่งนัด เนื้อบนหน้าผากจิลเซียสแหลกละเอียดเหวอะหวะ หัวกระสุนทะลวงเข้าไปในกะโหลกศีรษะ
ปัง! ปัง! ปัง! กลุ่มกระสุนนัดถัดๆ ไปตามกระหน่ำใส่ไม่ยั้ง
ปัง!
กะโหลกศีรษะของจิลเซียสเปิดออก เผยให้เห็นเนื้อสมองสีดำที่ถูกทะลวงเป็นทางยาว ลักษณะค่อนข้างเละเทะยุ่งเหยิง
ออร่าของ ‘จอมเชือด’ ผู้มีค่าหัวเก้าพันห้าร้อยปอนด์เริ่มเลือนหาย อย่างไรก็ตาม มันมิได้ตายตาหลับ เพราะไม่มีตาให้หลับ
จิลเซียสค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนพื้น ไคลน์ย่างกรายเข้าใกล้ทีละก้าวพลางเหยียดมือซ้ายและกางออก
ณ ใจกลางถุงมือ ดวงตาสีแดงสดปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยแยก
สายลมเย็นยะเยือกเจือหม่นหมองพลันพวยพุ่งออกจาก ‘ปาก’ ถัดจากนั้นนาน ร่างวิญญาณของ ‘จอมเชือด’ จิลเซียสและตะกอนพลังสีหมอกทึบของมัน เริ่มส่งเสียงครางพลางพุ่งเข้ามาในยุบพองหิวโหย ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับนิ้วบนถุงมือที่ยังว่างอยู่
โดยไม่ต้องรอนาน ถุงมือเปลี่ยนกลับเป็นสีดำสนิทอีกหน แต่คราวนี้ทั้งลุ่มลึกและบริสุทธิ์ คล้ายกับก่อตัวจากจุดเล็ก ๆ จำนวนมากที่ฉาบซ้อนทับกันหลายชั้น
ราวสองวินาทีถัดมา ไคลน์พบความเปลี่ยนแปลง จึงเดินไปยังบานหน้าต่างที่กระจกแตกด้วยสีหน้าผิดหวังเจือความสุข
ขณะกำลัง ‘เขมือบ’ จิลเซียส ชายหนุ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับพลังพิเศษที่ต้องการและไม่ต้องการ คำตอบออกมาเป็น มันไม่อยากได้ ‘ลางสังหรณ์รับรู้อันตราย’ ของปีศาจ เพราะหากต้องการใช้ประโยชน์จากพลังชนิดนี้ ไคลน์ต้องเปิดใช้งานยุบพองหิวโหยตลอดเวลาด้วยดวงวิญญาณของจิลเซียส หรือกล่าวได้ว่า ชายหนุ่มต้องคอยหาอาหารมาป้อนยุบพองหิวโหยทุกวัน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ไม่สะดวกอย่างมาก แล้วอีกอย่าง พลังดังกล่าวค่อนข้างซ้ำซ้อนกับ ‘นิมิตลางสังหรณ์’ ของตัวตลก
ในส่วนของคำถามที่ว่า การมีหุ่นเชิดซึ่งครอบครอง ‘ลางสังหรณ์แจ้งอันตราย’ จะเป็นประโยชน์ต่อไคลน์หรือไม่ หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มเดาว่าคงมีผลเฉพาะตัวหุ่นเชิด ไม่ส่งผลมาถึงเจ้าของ
พลังที่ไคลน์หวังมากที่สุดคือ ‘กระตุ้นอารมณ์’ ซึ่งเป็นของผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย หรือไม่ก็หนึ่งใน ‘ภาษากัดกร่อน’ ถ้าเลือกได้ขอเป็นคำว่า ‘ตาย’ หรือ ‘กัดกร่อน’
ในวินาทีนี้ ไคลน์ค่อนข้างโชคดีเพราะได้รับพลังใหม่มากถึงสามชนิด หนึ่งในนั้นคือ ‘ภาษากัดกร่อน’ น่าเสียดายที่ไม่ใช่ ‘ตาย’ หรือ ‘กัดกร่อน’ หากแต่เป็น ‘เชื่องช้า’ สามารถทำให้เป้าหมายทั้งหมดในรัศมีเจ็ดถึงแปดเมตรรอบตัวตกอยู่ในอาการชะงัก หรืออาจรุนแรงถึงขั้นหยุดนิ่ง แต่ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณสองวินาที
พลังพิเศษที่สองคือ ‘ดาบแม็กม่า’ สามารถสร้างดาบเพลิงขนาดใหญ่ที่มีพลังทำลายล้างสูง แม้แต่เสาหินหนาก็ยังถูกฟันขาดในครั้งเดียว เหลือไว้เพียงรอยตัดที่ดูคล้ายกันหินละลาย จิลเซียสมักใช้สิ่งนี้ในยามต้องการอาละวาดอย่างบ้าบิ่น
พลังชนิดที่สามคือ ‘ลูกไฟกำมะถัน’ นอกจากจะสร้างแรงระเบิดที่หวังผลได้ระดับหนึ่ง ยังทำให้ผู้ที่สัมผัสกับเปลวไฟถูกปนเปื้อนด้วยพิษ หากผู้ใช้อยู่ในร่างปีศาจจะยิงลูกไฟได้สูงสุดราวยี่สิบดวงพร้อมกัน แต่ถ้าไม่ จะสร้างลูกไฟได้มากสุดแค่สามดวง
ไม่เลว… ถ้าเป้าหมายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่อันเดดและชั่วร้าย ดาบแม็กม่าจะมีพลังโจมตีสูงกว่า ‘แสงศักดิ์สิทธิ์’ ของนักบวชแสงพอสมควร… ไคลน์ที่เดินมาถึงหน้าต่าง มองเห็นแผ่นหลังของพวกพ้องจิลเซียสกำลังวิ่งหนีห่างไปไกล
ยังไม่หลุดพ้นจากอำนาจบิดเบือน? ไม่สิ พิจารณาจากระยะเวลา พวกมันต้องสลัดหลุดและย้อนกลับมาถึงบริเวณใกล้เคียงได้แล้ว ไม่ใช่การเผ่นหนีไปเช่นนี้… ไคลน์หันหลังกลับ เห็นศพของจิลเซียสยังอยู่ในร่างปีศาจ แม้จะตายไปก็มิได้คืนกลับเป็นมนุษย์
ชายหนุ่มยืนจ้องราวสามวินาที ภายในใจสันนิษฐานอย่างคร่าว
“พลังแปลงกายเป็นปีศาจจะทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะเฉียดคลุ้มคลั่ง เพียงแต่ยังครองสติไว้ได้ และสามารถเปลี่ยนกลับได้ตามใจนึก… แต่ถ้าไม่เปลี่ยนกลับ ตอนตายก็จะคงสภาพเดิม”
ไคลน์ไม่รีรอ รีบพลิกศพปีศาจ พบว่าเสื้อผ้าและกางเกงล้วนฉีกขาดโดยสมบูรณ์ กระเป๋าสตางค์และธนบัตรกระจัดกระจายเต็มพื้น เดาว่าคงเป็นผลพวงของการแปลงร่าง และหลังจากนั้นก็ถูกทำลายซ้ำด้วยการถล่มของลูกไฟกำมะถัน
“…” ขณะไคลน์เตรียมมองออกไปด้านนอก หางตาเหลือบเห็นบางสิ่งกำลังส่องแสงจากบริเวณหน้าอกปีศาจร่างยักษ์
เป็นผลึกแผ่นบาง ค่อนข้างยาว ก่อตัวจากก้อนเลือด แผ่กลิ่นกำมะถันเจือจางไปทั่วห้อง
“หมายความว่ายังไง…” ไคลน์ขมวดคิ้ว มิอาจขบคิดหาคำตอบ
ตะกอนพลังของจิลเซียสได้เข้าไปอยู่ในยุบพองหิวโหยเรียบร้อยแล้ว เหตุใดร่างกายถึงยังสร้างวัตถุแปลกปลอม? คำถามผุดขึ้นในใจไคลน์
นอกจากนั้น ทั้งที่เป็นผู้ช่วยกัปตันของ ‘ราชาอมตะ’ จิลเซียสกลับมิได้พกพาสมบัติวิเศษหรือสมบัติปิดผนึกติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียว ไคลน์ค่อนข้างประหลาดใจกับเรื่องนี้พอสมควร
………………………………………….