ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ตอนที่ 705
ราชันเร้นลับ 705 : สัตว์ในตำนาน
“…” โชคดีที่อีกฝ่ายเสนอตัวมาเอง… ไม่อย่างนั้น การขอยืมสินค้ามูลค่าสูงมาตรวจสอบก่อนซื้อค่อนข้างเป็นเรื่องน่าละอาย… ไคลน์โล่งใจเล็กๆ ก่อนจะเปล่งเสียงอย่างชัดถ้อยชัดคำหลังจากนึกทบทวนอุปนิสัยของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
“ผมไม่ต้องการเอาเปรียบใคร”
กล่าวจบ ชายหนุ่มเริ่มเกิดความเสียดาย กังวลว่าพลเรือโทธารน้ำแข็งจะเปลี่ยนใจไปจริงๆ
ดวงตาสีฟ้าอ่อนของเอ็ดวิน่ากลอกไปทางอื่นเล็กน้อย
“ฉันมีเงื่อนไขหนึ่งข้อ หากไขปริศนาของมันได้ คุณต้องบอกคำตอบให้ฉันทราบ”
ฟู่ว… ไคลน์ไม่รีบตอบสนอง เพียงพยักหน้า
“ตกลง”
หลายสิบวินาทีถัดมา ชายหนุ่มถือกุญแจสีดำขนาดใหญ่เท่าพิน เดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเอง
ในหนนี้ มีเสียงเพลงดังมาจากดาดฟ้าฝั่งหัวเรือ
“ดวงตาของเธอช่างมีเสน่ห์ราวกับแสงแดดยามเช้า~”
“ทุกค่ำคืนอันมืดมิด ฉันเดินคนเดียวอย่างเศร้าใจ รอคอยแสงสว่างของวันถัดไปอย่างอดทน~”
“โอ้~ ดวงตาของเธอช่างมีเสน่ห์ราวกับแสงแดดยามเช้า~”
ไคลน์เดินมาที่หน้าต่างตามความเคยชิน ชำเลืองสายตาออกไปด้านนอก เห็นกองไฟกำลังลุกไหม้และลูกเรือที่ไม่มีการมีงานทำของฝันทองคำกำลังล้อมวง บ้างย่างปลาหรือเนื้อ บ้างเต้นตามจังหวะเพลงของ ‘นักร้อง’ ออร์ฟิอุสอย่างมีชีวิตชีวา บรรยากาศกำลังเริงร่าสุดขีด
ขณะกลิ่นหอมอันเย้ายวนของมันย่างลอยฟุ้งขึ้นไปในอากาศ ไคลน์เห็นแอนเดอร์สัน·ฮู้ดยืนปะปนกับกลุ่มโจรสลัด ดื่มจัดหนัก กินจัดเต็ม บ้างแหกปากตะโกนเป็นครั้งคราว เล่าเรื่องขำขันอีกเล็กน้อย คล้ายกับเป็นหนึ่งในสมาชิกฝันทองคำ ไม่ถูกกีดกันเหมือนในตอนแรก ส่วนเดนิสยังไม่ปรากฏตัว อย่างน้อยไคลน์ก็ไม่พบว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้กับ ‘กายาเหล็ก’ หรือ ‘ถังไม้’
ตราบเท่าที่ไม่ปากเสีย แอนเดอร์สันมีมนุษยสัมพันธ์ที่น่าทึ่งมาก… คงเป็นหนึ่งในพลังของ ‘นักวางแผน’ สำหรับรวบรวมข้อมูล… นอกจากนั้น แอนเดอร์สันอาจโยนความเกลียดชังมาไว้ที่เราแล้ว…
หลังจากเหตุการณ์วันนี้ ไม่รู้ว่าเดนิสจะเกิดแรงกระตุ้นบ้างไหม… หากหมอนั่นค่อยๆ พัฒนาตัวเองจนแข็งแกร่ง บริวารของ ‘เดอะฟูล’ ก็จะไม่ได้มีแค่เราคนเดียว ไม่ต้องทำตัวเป็น ‘ทรีอินวัน’ อีกต่อไป… หึหึ ในที่สุด เทพซ่อนเร้นอย่างเราก็มีสาวกจริงๆ กับเขาเสียที มีบริวารที่สามารถออกคำสั่งได้โดยตรง ถึงตอนนี้จะแค่เดนิสคนเดียวเถอะ… เรียกได้ว่ายังค่อนข้างน่าสมเพช…
ไคลน์ถอนหายใจ เตรียมตัวประกอบพิธีกรรมเพื่อสังเวย ‘กุญแจคนยักษ์’ เข้าไปในมิติเหนือสายหมอกสีเทา
ทันใดนั้น ชายหนุ่มสัมผัสถึงบางสิ่งได้กะทันหัน จึงเปิดเนตรวิญญาณตามสัญชาตญาณและมองไปด้านข้าง
กองกระดูกมายาเริ่มทับถมและรวมตัวเป็นผู้ส่งสารที่มีเปลวไฟสีดำลุกโชนในเบ้าตา
ร่างกายส่วนใหญ่ของผู้สงสารจมอยู่ชั้นล่าง ศีรษะจึงอยู่ระดับเดียวกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มิได้ทะลุผ่านเพดานด้านบนเหมือนทุกที อย่างไรก็ตาม ฝ่ามือที่ถือจดหมายยังคงมีขนาดมหึมา คล้ายกับสามารถบีบศีรษะไคลน์ให้แหลกคามือ
ครั้งนี้มิสเตอร์อะซิกตอบกลับเร็วมาก… ไคลน์พยักหน้า รับกระดาษมาถือและคลี่อ่าน
ขณะเตรียมสำรวจเนื้อหา ชายหนุ่มพบว่าผู้ส่งสารโครงกระดูกยังคงยืนรออยู่ในจุดเดิม แตกต่างจากปรกติที่จะหายตัวไปทันทีหลังจากส่งจดหมายเสร็จ
“มีอะไรหรือ” ไคลน์ถามด้วยน้ำเสียงเจือความฉงน
กล่าวจบ ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว ชายหนุ่มจึงตอบกลับไป
“ถ้าต้องตอบจดหมาย ฉันจะเป็นฝ่ายเรียกเอง”
ผู้ส่งสารโครงกระดูกพยักหน้าขนาดมหึมา จากนั้น ร่างกายสีขาวเริ่มสลายตัวในลักษณะคล้ายน้ำตก ส่งตัวเองกลับไปยังโลกแห่งความตาย
“คราวก่อน มาดามไรเนตต์·ไทน์เคอร์ก็รอเราตอบจดหมายเหมือนกัน มาครั้งนี้เป็นผู้ส่งสารโครงกระดูก… หรือนี่จะเป็นข้อบังคับใหม่ของวงการผู้ส่งสาร? หึหึ… สิ่งที่เรียกว่า ‘วงการผู้ส่งสาร’ ไม่น่าจะมีอยู่จริง ขนาดเรายังสามารถเลือกผู้ส่งสารได้ด้วยตัวเอง แถมส่วนใหญ่ยังส่งจดหมายเป็นงานนอกเวลาเท่านั้น… อา… ผู้ส่งสารโครงกระดูกแผ่บรรยากาศไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไร… ไคลน์ส่ายหน้า มิได้หมกมุ่นกับประเด็นดังกล่าว เบนความสนใจมาอยู่กับจดหมายของมิสเตอร์อะซิก
“…สรุปโดยสั้น การเลื่อนเป็นลำดับ 4 หมายถึงการครอบครองเศษเสี้ยวความเป็นเทพ ร่างกายจะค่อยๆ พัฒนาไปเป็นสัตว์ในตำนาน กระบวนการนี้จะดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงลำดับ 2 ของเส้นทาง ดังนั้น ช่องว่างระหว่างเทวทูตและนักบุญจึงค่อนข้างกว้าง ในสมัยอดีตกาล เทวทูตถึงกับถูกเรียกว่าเทพบริวาร”
“ครึ่งเทพทั้งหมด รวมไปถึงนักบุญและเทวทูต ล้วนมีเอกลักษณ์ของสัตว์ในตำนานที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดจะเป็นร่างอมนุษย์ที่อัดแน่นไปด้วยมวลความรู้อันซับซ้อน กลิ่นอายของเทพ และสัญลักษณ์ลึกลับที่เกี่ยวข้อง… หากมนุษย์ธรรมดาคนใดเผลอจ้องมอง ร่างกายจะได้รับความเสียหายหนักหน่วง อาจถึงขั้นกลายเป็นบ้าในพริบตา และยิ่งระดับของครึ่งเทพสูงขึ้น ความเสียหายดังกล่าวจะยิ่งทวีคูณจนยากจะต้านทาน ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตประเภทนี้ต้องคอยควบคุมตัวเองตลอดเวลา ห้ามเปิดเผยร่างสัตว์เทพโดยเด็ดขาด มิฉะนั้น ลำพังการมีตัวตนอยู่ก็มากพอจะสร้างหายนะครั้งใหญ่”
“สำหรับครึ่งเทพ หนึ่งในอาการที่บ่งชี้ว่าใกล้คลุ้มคลั่งคือภาวะเสียสติ หากสิ่งนั้นเกิดขึ้น พวกเขาจะไม่สามารถควบคุมร่างสัตว์ในตำนานได้”
“อย่างไรก็ตาม ร่างสัตว์ในตำนานของนักบุญนั้นยังไม่สมบูรณ์แบบ จะยังหลงเหลือจุดเด่นของเผ่าพันธุ์ให้เห็น หรือกล่าวโดยสั้น กว่าจะได้ครอบครองร่างสัตว์ในตำนานที่สมบูรณ์ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในลำดับ 2”
เราไม่แน่ใจว่าเลือดที่มาดามเฮอร์มิทต้องการ คือเลือดของสัตว์ในตำนานร่างสมบูรณ์ หรือสามารถอนุโลมเป็นร่างไม่สมบูรณ์ได้… ไม่แน่ใจว่าเลือดจากรกของวิล·อัสตินในวันคลอดจะใช้ได้ไหม… ในฐานะที่หมอนั่นเป็นถึง ‘อสรพิษแห่งชะตา’ ผู้มีลำดับ 1 สัตว์ในตำนานคงเป็นร่างสมบูรณ์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่รู้ไม่ว่าการเกิดใหม่จะส่งผลอย่างไรบ้าง… คงต้องรอรวบรวมข้อมูลอีกสักพัก จึงค่อยเขียนคำถามลงบนนกกระเรียนกระดาษทีเดียว… อา… โอกาสเขียนเหลือแค่สองครั้ง ต้องระมัดระวังพอสมควร แต่อีกไม่นานเราก็กลับไปถึงเบ็คลันด์แล้ว… คิดถึงตรงนี้ ไคลน์เริ่มคำนวณช่วงเวลาที่ ‘อสรพิษแห่งชะตา’ จะคลอดออกจากครรภ์มารดา
ชายหนุ่มจดจำรายละเอียดได้ไม่มากนัก จากความทรงจำล่าสุด วิล·อัสตินเริ่มอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน และตอนนี้เป็นช่วงกลางเดือนเมษายน
หมายความว่าจะคลอดแถวๆ กรกฎาคม? อาจจะเร็วกว่านั้น… ไคลน์ไม่กล้าฟันธง เพราะเหนือสิ่งอื่นใด บนโลกเก่า ลำพังแฟนมันยังไม่เคยมี ไม่ต้องพูดถึงภรรยาและลูก
ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนประเด็น สลัดความคิดดังกล่าวทิ้งชั่วคราว เริ่มประกอบพิธีกรรมสังเวย ‘กุญแจคนยักษ์’ ถึงตัวเอง – เหตุผลที่ไม่ใช่ร่างวิญญาณหยิบขึ้นไป เพราะกุญแจมีน้ำหนักค่อนข้างมาก ร่างวิญญาณไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะขยับเขยื้อน
เพียงไม่นาน ชายหนุ่มส่งตัวเองเข้ามายังมิติหมอกสีเทา บังคับให้กุญแจเหล็กสีดำขนาดมหึมาลอยไปบนโต๊ะทองแดงยาว ก่อนจะลงมือตรวจสอบทุกซอกมุม
หลังจากยืนยันว่าไม่พบสิ่งผิดปรกติ ไคลน์เสกกระดาษและปากกา เขียนประโยคทำนาย
“สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับกุญแจดอกนี้”
ในท่าถือกระดาษและจับกุญแจ ไคลน์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หลับไปพร้อมกับเสียงสวดวิงวอนแผ่วเบา
ทันใดนั้น ภาพแรกที่ปรากฏท่ามกลางโลกมายาสีเทาคือม่านแสงลักษณะบิดเบี้ยว ถัดมา จอภาพขยายเข้าไป เผยให้เห็นประตูคู่บานใหญ่ที่สูงกว่าสิบเมตร
บานประตูมีสีโทนหลักเป็นฟ้าและเทา มีสัญลักษณ์และลวดลายสลักไว้ทั้งสองด้านอย่างสมมาตร มอบกลิ่นอายความเคร่งขรึมและลึกลับ
แสงยามเย็นสะท้อนลงบนพื้นผิวอย่างเจือจาง มอบความรู้สึกหม่นหมองราวกับวันสิ้นโลกและความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์กำลังคืบคลานเข้าใกล้
จากนั้น ไคลน์สังเกตเห็นร่องลึกบนผิวประตูฝั่งซ้าย ยาวสามถึงสี่เมตร ปลายข้างหนึ่งของร่องมีหลุมมืดขนาดเท่ากำปั้นผู้ใหญ่
ภาพความฝันแตกละเอียดในพริบตา ไคลน์ได้สติ
“บานประตูคล้ายกับที่อยู่ในอารามสีดำ แต่โทนสีแตกต่างกัน… แสงแดดยามเย็น… ถ้าให้เราถอดความหมาย นี่คงเป็นหนึ่งในบานประตูของวังราชาคนยักษ์… หรือว่า… ม่านโปร่งแสงที่บิดเบี้ยวจะหมายถึงเขตกั้นแบ่งระหว่างวังราชาคนยักษ์และดินแดนเทพทอดทิ้ง? เข้าใจแล้วว่าทำไม ทั้งที่มีมิติหมอกคอยช่วยขจัดการรบกวน แต่เรากลับไม่สามารถทำนายถึงวังราชาคนยักษ์ได้สักที… ไคลน์ใช้นิ้วเคาะขอบโต๊ะที่มีลวดลายเก่าแก่พลางครุ่นคิดบางสิ่ง
มันตัดสินใจที่จะซื้อกุญแจคนยักษ์ดอกนี้!
หลังจากนำเงินห้าพันปอนด์ออกมายังโลกจริง ไคลน์เก็บกวาดขว้างของบนโต๊ะ ถือปึกเงินก้อนใหญ่ออกจากห้องพัก เดินตรงไปทางห้องกัปตันฝันทองคำ
หึหึ… ค่าหัวของ ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ จิลเซียสเทียบเท่ากุญแจคนยักษ์บวกกับอีกหนึ่งพันปอนด์… ไคลน์ชำเลืองธนบัตรในมือ เคาะประตูห้องพลเรือโทธารน้ำแข็ง
สิ้นเสียง ‘แอ๊ด’ เอ็ดวิน่าปรากฏตัวหน้าประตู เมื่อเหลือบเห็นเงินสดที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังถือ หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยดวงตาเบิกกว้าง กล่าวเสียงสดใส
“คุณได้ผลลัพธ์แล้วหรือ”
ไคลน์ ‘อืม’ เล็กๆ พร้อมกับอธิบาย
“ได้ผลลัพธ์แล้ว… กุญแจดอกนี้เกี่ยวข้องกับวังราชาคนยักษ์”
“วังราชาคนยักษ์ในตำนาน?” เอ็ดวิน่าซักถามด้วยดวงตาส่องประกาย
ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบาเป็นเชิงยืนยัน
เอ็ดวิน่าขยับริมฝีปากเล็กน้อย คล้ายกับต้องการถามบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็มิได้กล่าวคำใด เพียงรับเงินสดห้าพันปอนด์ไปถือ
หญิงสาวมองกลับไปยังชั้นหนังสือภายในห้อง ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าวกับไคลน์
“ถ้าต้องการ คุณสามารถยืมพวกมันไปอ่านได้ระหว่างวัน”
เงื่อนไขเดียวก็คือ… ไคลน์เดาประโยคถัดไปของพลเรือโทธารน้ำแข็ง
“เงื่อนไขเดียวก็คือ… ถ้าคุณมีเวลาว่าง ต้องมาคุยกับฉันในหัวข้อเกี่ยวกับประวัติศาสตร์” กล่าวจบ ดวงตาเอ็ดวิน่าทวีความสดใส
ไคลน์หัวเราะในลำคอ ตอบหลังจากครุ่นคิด
“ตกลง… แต่ผมจะไม่ตอบทุกคำถาม”
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มภาวนาในใจ
ขอให้ในกรุหนังสือของพลเรือโทธารน้ำแข็ง มีหนังสือสอนการสร้างยันต์ระดับสูง…
“ไม่มีปัญหา” เอ็ดวิน่าขยับริมฝีปาก สีหน้าเผยความสุขอย่างชัดเจน
“เจอกันพรุ่งนี้” ไคลน์ถอดหมวกลงมาทาบหน้าอก กล่าวคำอำลา
เอ็ดวิน่าตอบรับอย่างจริงใจ
“เจอกันพรุ่งนี้”
…
กรุงเบ็คลันด์ ถนนประตูเหล็ก ด้านนอกผับวีรบุรุษ
เอ็มลิน·ไวท์เดินลงจากรถม้า ผลักประตูไม้และเข้าไปผับ
กลิ่นด้านในลอยฟุ้งจนเอ็มลินอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาบีบจมูกด้วยสีหน้ารังเกียจ
ในการแข่งขันล่าสาวกของดวงจันทร์บรรพกาล มันแทบไม่มีความคืบหน้าใดเลย จึงวางแผนมาเยือนผับวีรบุรุษที่เชอร์ล็อก·โมเรียตี้มักเอ่ยถึงบ่อยครั้ง เพื่อตามหาตัว ‘เอียน’ – พ่อค้าอาวุธเถื่อนที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับการขายข่าว – สำหรับชื่อของรายหลัง เอ็มลินได้ยินมาจากแหล่งข่าวอื่นก่อนจะแวะมาที่นี่