ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ตอนที่ 719
ราชันเร้นลับ 719 : ท่องความฝัน
ไคลน์กลอกตา มองดูป่าด้านหลังที่หนาทึบจนแทบไม่มีแสงสว่างลอดผ่าน เข้าใจคร่าวๆ ว่าตอนนี้กำลังอยู่ที่ไหน
ที่นี่คือ ‘ป่าเสื่อมโทรม’ ซึ่งกรอซายเคยปกป้องสมัยที่ยังทำงานอยู่กับ ‘ราชาคนยักษ์’
ต้นไม้ภายในป่าสูงหลายสิบเมตร ใหญ่จนต้องใช้คนยักษ์หลายตนมาโอบ เปลือกไม้มีจุดด่างดำและเน่าเปื่อย กิ่งก้านและใบแห้งกรอบ บนฟ้ามีเมฆเย็นเยียบลอยอยู่
กรอซายและคนยักษ์จำนวนมากกำลังยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกป่า บ้างถือขวาน บ้างถือดาบใหญ่ ตั้งใจป้องกันในแต่ละทิศทางที่ตัวเองรับผิดชอบ
ตามที่กรอซายเล่า ร่างของพ่อแม่ ‘ราชาคนยักษ์’ เออเมียร์ถูกฝังอยู่ใน ‘ป่าเสื่อมโทรม’ แห่งนี้… นอกจากเทพบรรพกาลตนดังกล่าว ไม่มีใครสามารถเข้าไปข้างในได้ ไม่เว้นกระทั่งเหล่าองครักษ์… อา… พ่อแม่ของราชายักษ์เออเมียร์น่าจะเป็นบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์คนยักษ์ทั้งปวง มีนิสัยโหดร้ายและป่าเถื่อนมากที่สุด… บางที… หืม… ไม่สิ แล้วทำไมกรอซายถึงมีความฝันแบบนี้? ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก จนกระทั่งสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
จากบทสนทนาในเมืองเพซอสต์ กรอซายในปัจจุบันเป็นยักษ์ที่เกิดและเติบโตในเมือง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับวังราชาคนยักษ์
หมายความว่า ความฝันในตอนนี้ไม่ปรกติ!
“จากทฤษฎีของสมาคมแปรจิตที่มาดามดาลีย์และมิสจัสติสเคยเล่าให้ฟัง อาจเป็นไปได้ว่า เมื่อโลกหนังสือสร้างตัวละครใหม่ จะทำการคัดลอก ‘จิตใต้สำนึก’ และ ‘ห้วงทะเลจิตรวม’ ของตัวละครเดิม จากนั้นก็ปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ให้จิตสำนึกปัจจุบันทำตามบทบาทใหม่… หรือกล่าวได้ว่า กรอซายในเมืองยังคงมีจิตใต้สำนึกของกรอซายคนเก่า ส่งผลให้ความฝันฉายออกมาเป็นภาพเหตุการณ์ใน ‘วังราชาคนยักษ์’ … ถ้าเป็นแบบนั้น ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ถือว่าใจร้ายมาก… ไคลน์ครุ่นคิด เริ่มรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่จะได้สืบข้อมูลของ ‘วังราชาคนยักษ์’
เดิมที ชายหนุ่มวางแผนจะถามเรื่องของวังจากปากกรอซายโดยตรง แต่น่าเสียดาย คนยักษ์ผู้พิทักษ์รายนี้เสียชีวิตในการต่อสู้กับ ‘ราชาแดนเหนือ’ ยูลิเซี่ยน แถมร่างวิญญาณยังสลายไปอย่างรวดเร็วหลังออกจากโลกหนังสือ ไม่มีโอกาสให้สื่อวิญญาณ แต่ปัจจุบัน ไคลน์พบหนทางอื่นในการสืบสวน นั่นคือการสำรวจความฝันของกรอซายในเมืองเพซอสต์
อาจมีความฝันบางส่วนที่ไร้สาระหรือเกินจริง แต่เนื้อหาหลักน่าจะยังไม่เปลี่ยน ถ้าศึกษาอย่างละเอียด คงได้พบร่องรอยที่สำคัญบางอย่าง
กรอซายไม่เคยเข้าไปในป่าเสื่อมโทรม แม้ความฝันจะแสดงภาพของฉากในป่า แต่น่าจะเป็นการจินตนาการขึ้นมาเอง เราไม่จำเป็นต้องเดินสำรวจ… ไคลน์ไตร่ตรองพลางมองไปทางยอดเขาที่มีวังราชาคนยักษ์
ความสูงไม่มาก… หมายความว่า ‘ป่าเสื่อมโทรม’ ตั้งอยู่บนภูเขาในจุดที่ใกล้กับเขตวัง… บางทีอาจจะมีถนนสักเส้นที่ตรงไปยังถิ่นพำนักของเทพบรรพกาลโดยตรง
ไคลน์ไม่มัวเสียเวลาค้นหา ตรงดิ่งไปทางกรอซาย ทำตัวราวกับสนิทกันมานาน ซักถามอย่างใจเย็น
“อยากกลับวังต้องทำยังไง?”
ชายหนุ่มทราบว่ากรอซายเป็นคนยักษ์ที่ซื่อสัตย์ ย่อมต้องซื่อสัตย์ในความฝันด้วย
กรอซายยกมือ เกาท้ายทอย กล่าวด้วยรอยยิ้มที่งุนงงพลางก้มหน้า
“ก็กลับไปทาง ‘อุโมงค์ร้าง’ ไม่ได้หรือ?”
มันชี้ไปข้างหน้า กล่าวเสริม
“อ้อมหินก้อนนั้น แล้วจะเห็นเอง”
“ขอบใจ” ไคลน์แสดงความเคารพ
ยืนมองอีกฝ่ายจากไป กรอซายเกาท้ายทอยอีกครั้ง พำพึมกับตัวเองด้วยความประหลาดใจ
“เขาเป็นใครกัน… ทำไมข้าถึงรู้สึกคุ้นเคย”
หลังจากเดินวนรอบก้อนหินที่ยื่นออกจากพื้นภูเขา สีหน้าไคลน์พลันเจือความยินดี เพราะด้านหน้าคือถ้ำขนาดใหญ่ที่สูงอย่างน้อยสามสิบเมตร
ศิลาหินหนึ่งแผ่นตั้งเด่นตระหง่านด้านนอกถ้ำ สลักภาพดวงตาแนวตั้งหนึ่งดวง จมูกโด่ง ริมฝีปากหนา ดูคล้ายกับศีรษะส่วนหน้าของคนยักษ์ทั่วไป
ขณะไคลน์เดินเข้าไปใกล้ ปากของแผ่นศิลาเปิดออก
“ทำไมเจ้าถึงกลับก่อนเวลา”
“องค์ราชาเรียกพบ” ไคลน์กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สั่นคลอน เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ระดับสติปัญญาของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในความฝันจะไม่สูงไปกว่าเจ้าของ ในที่นี้คือกรอซาย
ริมฝีปากบนของแผ่นศิลาพะงาบส่งเสียง
“เจ้าต้องตอบคำถามของข้า มิฉะนั้นจะไม่มีสิทธิ์ผ่าน”
ถ้าเรานำ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสมาด้วย น่าจะได้เห็นเรื่องสนุกๆ … ไคลน์รำพัน พยักหน้าเยือกเย็น
“ตกลง”
ริมฝีปากบนของแผ่นศิลาปิดสนิทนานสามวินาที จึงค่อยเปิด
“หากภรรยาของเจ้า ลูกสาวของเจ้า และผู้หญิงที่เจ้าปรารถนา ให้เลือกว่าคนใดงดงามที่สุด เจ้าจะตอบว่าอย่างไร”
รูปแบบแตกต่างจากคำถามของ ‘กระจกวิเศษ’ ทั่วไป … ปากของไคลน์ขยับเล็กน้อย ครุ่นคิดจริงจัง มอบคำตอบหลังจากผ่านไปเกือบสิบวินาที
“สติปัญญาของข้าไม่สูงพอที่จะตัดสินใจ จะให้คนที่ฉลาดกว่ามาตอบแทน”
ตอบไปก็เหมือนฆ่าตัวตาย ใครจะไปทำ? ชายหนุ่มขบกรามรำพัน
“…แล้วใครคือคนที่ฉลาดกว่า” ใบหน้าคนยักษ์บนแผ่นศิลาชะงักไปสองวินาที
ไคลน์ตอบเสียงขรึม
“แน่นอนว่าต้องเป็นองค์ราชาของพวกเรา”
แผ่นศิลาเงียบงันอีกครั้ง ตามด้วยกล่าว
“ตกลง ข้าจะถือว่านั่นคือคำตอบ เชิญผ่าน”
ไคลน์เดินผ่านแผ่นหินประหลาดทันที ตรงเข้าไปในถ้ำด้านหน้า
พื้นถ้ำปูด้วยหินแผ่นใหญ่ที่ตากแดดตากฝนเป็นเวลานาน ผนังสองข้างทางมีภาพจิตรกรรม เล่าเกี่ยวกับสงครามระหว่างสองฝ่าย ฝั่งหนึ่งเป็นคนยักษ์และมังกร อีกฝั่งประกอบด้วยหมาป่าอสูร มนุษย์กลายพันธุ์ ปีศาจ และฟินิกซ์ ภาพวาดค่อนข้างหยาบ ใช้สีทึบ แต่กลับดูมีชีวิตชีวา
ไคลน์ตรวจสอบจิตรกรรมฝาผนังสักพักก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้า พบวัชพืชเหี่ยวเฉาเป็นจำนวนมาก รวมถึงกรวดหยาบที่เรียงรายตามช่องว่างระหว่างทางเดินและผนัง
ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งพบความแห้งแล้ง
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ไคลน์มองเห็นบานประตูสีเทาอมฟ้ากำลังเปิดอ้า สองฝั่งซ้ายขวาของประตูมีคนยักษ์สูงสี่ถึงห้าเมตรกำลังยืนเฝ้า
คนยักษ์ที่นี่แตกต่างจากกรอซาย ทั้งหมดสวมชุดเกราะเหล็กดำที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขาม สวมหมวกเหล็กที่ดูทนทานและมีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ คล้ายกับเป็นกลุ่มรูปปั้นขนาดใหญ่
ไม่มีใครหยุดหรือขวางทางไคลน์ ปล่อยให้ชายหนุ่มผ่านไปทางประตู เดินเข้าห้องโถงด้านใน
ขนาดของโถงไม่กว้างมาก มองเห็นสุดปลายทางได้ชัดเจน เนื้อที่กว้างพอจะบรรจุคนยักษ์ได้ราวห้าถึงหกสิบตน
ไคลน์ที่กำลังสำรวจสภาพแวดล้อม ร่างกายพลันซวนเซกะทันหัน จากนั้น ห้องทั้งห้องคล้ายกับถูกกระชากด้วยฝ่ามือล่องหน พุ่งทะยานขึ้นด้านบนด้วยความเร็วสูง
ชายหนุ่มเสียหลักอยู่พักใหญ่ ก่อนจะสังเกตเห็นกำแพงหินสีเทาดำแล่นผ่านบริเวณบานประตู ดิ่งลงไปด้านล่างอย่างต่อเนื่อง
ราวสิบวินาทีถัดมา เกิดเสียงดังโครม ห้องโถงหยุดขยับ
ณ ตอนนี้ ด้านนอกประตูไม่ใช่อุโมงค์ถ้ำอีกต่อไป แต่เป็นพระราชวังขนาดใหญ่ที่มีเสาหินค้ำจุน
ไคลน์รีบออกจากห้องโถง มองไปรอบตัวด้วยสีหน้าสนใจ
เมื่อครู่คือ ‘ลิฟต์’ ของวังราชาคนยักษ์? หืม… ที่นี่ดูคล้ายกับห้องพักของทหารองครักษ์ ด้านนอกมีโต๊ะยาวสูงเกินกว่าจะให้มนุษย์ใช้งาน เก้าอี้มีขนาดใหญ่ ทั้งสองฝั่งมีห้องนอน ในห้องมีเตียงใหญ่ที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ… สายตาไคลน์กวาดมองสิ่งต่างๆ ภายในห้อง จนกระทั่งหยุดลงบนภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ตัวเอกของภาพคือคนยักษ์ในชุดเกราะสีเงิน แต่เนื่องจากไม่มีข้อเปรียบเทียบ จึงไม่มั่นใจว่าสูงแค่ไหน
คนยักษ์ตนนี้ยืนเด่นตระหง่านริมหน้าผา ปลายดาบยาวในมือชี้ขึ้นฟ้าในแนวทแยง ร่างกายกำลังแผ่แสงทรงกลดเจิดจ้า มอบความสว่างแก่สิ่งรอบข้างประหนึ่งดวงอาทิตย์ยามเช้า
คนยักษ์หลายตนอยู่ในท่าคุกเข่าหนึ่งข้าง ไม่แน่ใจว่ากำลังสวดวิงวอนหรือรอรับการประทานพร
หรือจะเป็น… บุตรชายคนโตของราชาคนยักษ์… ‘เทพรุ่งอรุณ’ บาร์ดไฮเออร์? ไคลน์พยายามจ้องใบหน้าตัวเอกในภาพอย่างครุ่นคิด แต่ก็พบเพียงหมวกเหล็กที่มีแสงทรงกลดคล้ายรุ่งอรุณแผ่ออกจากช่องดวงตา
ดูคล้ายกับเทวรูป ‘เทพสงคราม’ ในซากอาคารโบราณใจกลางกรุงเบ็คลันด์… แถมใบหน้าก็ยังถูกซ่อนหลังหมวกเล็กอย่างมิดชิดเหมือนกันอีก… อา ‘ราชินีเงื่อนงำ’ เคยกล่าวไว้ว่า เทพสงครามองค์ปัจจุบันคือคนยักษ์โบราณที่เหลือรอด เป็นสาเหตุว่าทำไม สำนักงานใหญ่ของโบสถ์เทพสงคราม ‘บรมมหาราชวังสนธยา’ จึงมีลักษณะคล้ายกับ ‘วังราชาคนยักษ์’ มาก … หรือจะเป็นบุตรชายคนโตของราชาคนยักษ์? หมายความว่า ‘เทพรุ่งอรุณ’ รอดพ้นจากเหตุการณ์วังหลวงถูกกวาดล้าง จากนั้นก็สามารถทวงคืน ‘อำนาจ’ ของผู้เป็นบิดากลับคืนมาบางส่วน? ไคลน์ลองเดาสุ่ม แต่ก็ไม่มีหลักฐานหรือเบาะแสรองรับ
อาศัยแนวคิดดังกล่าว ชายหนุ่มสลับไปดูผนังอีกด้าน พบภาพจิตรกรรมฝาผนังแผ่นใหม่ คราวนี้ตัวเอกไม่ใช่ ‘เทพรุ่งอรุณ’ บาร์ดไฮเออร์ แต่เป็นคนยักษ์เพศหญิงที่สวมกระโปรงยาวด้านล่าง และสวมเกราะหนังด้านบน
คนยักษ์เพศหญิงยืนหันข้าง เค้าโครงใบหน้านุ่มนวล สายตามองตรง ผมยาวสีน้ำตาลเข้มพาดลงไปบนเสื้อหนัง
มือขวากางออก ถือข้าวสาลี ผลไม้ และสิ่งอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน รายล้อมด้วยทุ่งหญ้าสีทองและทะเลสาบน้ำใส ฉากหลังเป็นต้นไม้ที่เต็มไปด้วยผลไม้และเห็ดหลากสี
หรือจะเป็น… ราชินีคนยักษ์ ‘เทพธิดาแห่งฤดูเก็บเกี่ยว’ โอมีเบล่า? ไคลน์มองไปรอบตัว ไม่พบจิตรกรรมฝาผนังที่วาดถึงราชาคนยักษ์ เออเมียร์ แม้แต่ภาพเดียว
เป็นเพราะที่นี่คือห้องพักองครักษ์ จึงไม่มีภาพของเทพบรรพกาล? ถ้าอย่างนั้น หากเราเดินออกไป ข้างนอกก็น่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างภายใน ‘วังราชาคนยักษ์’ … ไคลน์เดินไปที่ประตูอย่างระมัดระวัง ใช้วิธีการเดียวกับในดินแดนความฝันของซากสมรภูมิแห่งเทพ กระตุ้น ‘ยุบพองหิวโหย’ และยืมพละกำลังของ ‘ซอมบี้’ เปิดประตู
อย่างไรก็ตาม ด้านนอกไม่ใช่พระราชวังอย่างที่จินตนาการ หากแต่เป็นโลกสีเทา เบื้องหน้ามีลักษณะคล้ายผาสูง ด้านล่างมองไม่เห็นก้นบึ้ง
จากประสบการณ์ของมิสจัสติส จุดนี้หมายถึงสุดเขตดินแดนความฝัน… เราเดินสำรวจความฝันกรอซายมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงส่วนที่เป็น ‘ทะเลห้วงจิตรวม’ แล้ว… มิสจัสติสได้พบมังกรจิตในทะเลห้วงจิตรวมของมนุษย์ในชุมชน ถ้าอย่างนั้น ภายในโลกแห่งหนังสือที่สร้างขึ้นโดย ‘มังกรจินตภาพ’ จะมีอะไรซ่อนอยู่ในห้วงทะเลจิตรวม? หัวใจไคลน์พลันเต้นระรัว ด้านหน้ามีบันไดทอดยาวลงไปยังกลุ่มก้อนเมฆสีเทา
บันไดมีได้เรียงตัวเป็นเส้นตรง แต่หมุนวนไปมา จมลึกเข้าไปในกลุ่มหมอกสีเทา มองไม่เห็นก้นบึ้ง ไม่พบเบาะแสใดเลยแม้แต่อย่างเดียว