ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ตอนที่ 852
ราชันเร้นลับ 852 : ตรงประเด็น
ท่ามกลางแสงอาทิตย์บนท้องฟ้า ณ มุมหนึ่งของสุสานที่เงียบสงบ เลียวนาร์ด·มิเชลยกพลั่วและสอดลงไปในดิน
ดินทั้งสองกองด้านหลังค่อยๆ สูงขึ้นทีละนิด ดินในหลุมศพลดลงจนกระทั่งเผยให้เห็นโลงบางส่วน มีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน
ในที่สุด เลียวนาร์ดวางพลั่วในมือ โน้มตัวลงไปหาโลงศพและใช้สองมือจับขอบฝาโลง
มันออกแรงกระชาก ดึงฝาโลงศพไม้ที่มีน้ำหนักมากอย่างง่ายดาย เนื่องจากตะปูตัวยาวที่ตอกยึดไว้หลุดออกไปนานแล้ว ภายในโลงศพมีเพียงความมืดมิดอันว่างเปล่า
ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย!
เลียวนาร์ดยังคงอยู่ในท่าโค้งตัวครึ่งหนึ่ง ค้างไว้เช่นนั้นเป็นเวลานานราวกับรูปปั้นหิน
…
ท่ามกลางความฝันที่เต็มไปด้วยหมอก ไคลน์เห็นโลงศพหินที่มีป้ายสลักซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสุสานโลงศพหินซึ่งถูกฉาบด้วยแสงจันทร์สีแดงเข้ม
ฉากดังกล่าวแตกกระจัดกระจายพร้อมกับไคลน์ที่สะดุ้งตื่น ชายหนุ่มยืนยันว่าตนยังคงเป็นดอน·ดันเตส ยังคงอยู่ภายในบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน
ความฝันเมื่อครู่กำลังบอกใบ้เรา… ในฐานะนักทำนาย ไคลน์ให้ความสำคัญกับฝันทุกชนิด ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ชายหนุ่มรีบสลัดความงัวเงียและเริ่มตีความ
น่าจะหมายถึงหลุมศพ…
ถอดความได้ว่า อาจเกี่ยวข้องกับคนตาย หรือไม่ก็คนที่คืนชีพ…
แสงจันทร์สีแดงคือสัญลักษณ์ของเทพธิดา… อาจหมายถึงโบสถ์รัตติกาลหรือเหยี่ยวราตรี… หากมองเห็นดวงจันทร์โดยตรง นั่นจะหมายถึงดวงจันทร์บรรพกาล หรือไม่ก็ต้นตระกูลแวมไพร์ ลิลิธ หรือไม่ก็มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย…
หลุมฝังศพถูกฉาบด้วยแสงจันทร์จนดูเหมือนเลือด… แปลว่าไม่ใช่เรื่องดี…
ไคลน์ทบทวนเนื้อหาของความฝัน พยายามนำเบาะแสทั้งหมดมาปะติดปะต่อให้เกิดข้อสรุป
หลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน ชายหนุ่มพบว่าความฝันเมื่อครู่คือวิวรณ์ที่เกี่ยวข้องกับตัวตนในอดีตและโบสถ์รัตติกาล
เมื่อพิจารณาถึงเหตุการณ์ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ไคลน์ค่อยๆ พบคำตอบที่น่าสนใจ
ดอน·ดันเตสแวะเวียนไปเยี่ยมวิหารนักบุญแซมมวลบ่อยครั้ง ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย… ถ้าเลียวนาร์ดยังไม่ออกจากกรุงเบ็คลันด์ เขาคงพุ่งความสนใจมาที่ตัวเราเป็นพิเศษ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ชายคนนั้นทราบอยู่แล้วว่าดอน·ดันเตสไม่ปรกติ…
ในฐานะเทวทูตของเส้นทางนักจารกรรม คุณปู่ในตัวเลียวนาร์ดน่าจะสัมผัสได้ว่า สายหมอกรอบๆ ตัวเราเกี่ยวข้องกับเส้นทางนักทำนาย และลำดับ 0 ของเส้นทางมีชื่อว่าเดอะฟูล…
ด้วยเหตุนี้ พวกเราสามารถเชื่อมโยงเราเข้ากับศาสนาที่นับถือเดอะฟูลซึ่งมีข่าวลือแพร่กระจายมาสักพัก… คงคิดว่าเราคือหนึ่งในสมาชิกขององค์กรลับดังกล่าว และถ้าสืบสวนขยายผลจากมุมนี้ เขาก็จะพบความเกี่ยวข้องระหว่างคดีลาเนวุสและจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดซึ่งใช้ไพ่ทาโรต์ประกอบฉาก…
เมื่อผนวกกับเบาะแสของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่เราจงใจทิ้งไว้ เข้ากับเรื่องที่เลียวนาร์ดเคยสืบสวนเชอร์ล็อก·โมเรียตี้มาก่อน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน…
และการปลอมตัวของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ในช่วงแรกก็มิได้ยอดเยี่ยมอะไร ขอเพียงเลียวนาร์ดเอะใจและฉุกคิด คงพบได้ไม่ยากว่ามีหน้าตาละม้ายคล้ายอดีตเพื่อนร่วมงาน และเป็นเหตุผลที่เขาเดินทางกลับไปยังทิงเก็นเพื่อขุดสุสาน?
ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์พยุงตัวนั่งพลางยกหมอนขึ้นมาพิงหลัง ภายในใจเชื่อว่าตนพบคำตอบของความฝันเมื่อครู่แล้ว
ชายหนุ่มวิเคราะห์อย่างรอบคอบว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนี้ และควรละทิ้งตัวตนดอน·ดันเตสหรือไม่
เลียวนาร์ดไม่สามารถเล่าข้อสันนิษฐานนี้ให้เพื่อนร่วมงานฟังได้ ติดตรงประเด็นที่ตนเคยพบว่าดอน·ดันเตสเป็นตัวปัญหา เพราะนั่นจะเท่ากับเป็นการเปิดเผยความลับของปรสิตในร่างตัวเอง…
จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เราเคยรู้จักกับเลียวนาร์ด เขาจะทำให้เพื่อนร่วมงานเชื่อทฤษฎีของตัวเองด้วยการรวบรวมหลักฐานอ้อมๆ จำนวนมากมายืนยัน นั่นคือความยุ่งยากและสิ้นเปลืองเวลา ก่อนที่เขาจะทำสำเร็จ เราต้องออกปากตักเตือนโดยตรง บอกให้ล้มเลิกความคิดดังกล่าวเสีย เพราะเหนือสิ่งอื่นใด โบสถ์รัตติกาลไม่ได้เสียหายแม้แต่น้อยจากเหตุการณ์ล่าสุด ไม่มีใครตายไปแม้แต่คนเดียว…
อา… สำหรับดอน·ดันเตส ตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมา เราอาศัยเวลาว่างคอยสร้างเบาะแสปลอมๆ ของเศรษฐีลึกลับรายนี้บนทวีปใต้ ช่วยตัวตนมีมิติและสมจริงมากขึ้น… ที่นั่นเป็นเขตปกครองของอินทิส ยากจะตรวจสอบยืนยันข้อมูล…
กล่าวอีกนัยหนึ่ง อย่างมากเลียวนาร์ดก็สรุปได้แค่ว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์คือคนเดียวกับเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ คือคนเดียวกับไคลน์·โมเร็ตติซึ่งเป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิดกับดอน·ดันเตส เป็นสมาชิกขององค์กรลับที่ศรัทธาเดอะฟูลเหมือนๆ กัน
หึหึ… ในสายตาของเขา ดอน·ดันเตสคือชายลึกลับและทรงพลังที่สามารถหยั่งถึงคุณปู่ปรสิตในตัวได้โดยตรง เป็นครึ่งเทพที่น่าหวั่นเกรง แตกต่างจากตัวตนอื่นๆ อย่างชัดเจน…
ไคลน์หาวิธีรับมือเลียวนาร์ดได้ไม่ยากเย็น จึงเปลี่ยนกลับมาไตร่ตรองข้อเสนอของพันเอกคาลวิน
ทำไมเขาถึงมั่นใจให้เราทำธุรกิจค้าอาวุธเถื่อน?
เราเพิ่งสนิทกับส.ส. มัคท์และยังไม่ถูกทดสอบ ยังไม่ใช่คนที่เชื่อใจได้ขนาดนั้น…
หรือนี่คือบททดสอบ?
อาวุธชุดแรกเป็นแค่ปืนไรเฟิลและปืนใหญ่ อาจมีปริมาณไม่มาก หรือไม่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับอาวุธระดับสูง เหนือสิ่งอื่นใด ฝ่ายที่ต้องออกเงินก่อนคือเรา ถ้าเราทำตัวมีปัญหา พวกมันก็แทบไม่สูญเสีย… ปัญหาเดียวก็คือ อาวุธปริมาณเล็กๆ จะย้อนกลับมาเล่นงานในสนามรบที่พวกมันดูแล…
อา… ในสายตาพวกมัน ตัวเราที่มีประสบการณ์ทวีปใต้โชกโชน เหมาะอย่างมากกับหน้าที่นี้… ประการแรก เราร่ำรวยและสามารถจ่ายก่อนได้ ประการที่สอง เรากล้าเสี่ยงอันตราย ประการที่สาม เรามีเส้นสายและรู้จักคนท้องถิ่น สามารถปล่อยสินค้าได้ง่าย ประการที่สี่ เราไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลใหญ่ของอาณาจักร สามารถใช้เป็นแพะรับบาปได้ทันทีในกรณีที่มีปัญหา…
พวกมันคงส่งคนมาคอยจับตามองเรา… หากธุรกิจนี้ราบรื่น เราจะกลายเป็นหุ้นส่วนกับกองทัพทันที… ช่วยให้สืบสวนหาความจริงเบื้องหลังโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันได้ง่าย…
ปัญหาในตอนนี้ก็คือ เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มต่อต้านและชนพื้นเมืองของไบลัมตะวันตกเลย… แถมยังไม่รู้ว่าตอนนี้แอนเดอร์สันอยู่ที่ไหน และไม่มีช่องทางติดต่อ…
จริงสิ เดนิสคงมีข้อมูลของไบลัมตะวันตก… มาดามเฮอร์มิทก็ด้วย รวมถึงราชินีเงื่อนงำที่อยู่เบื้องหลังเธอ… ดีล่ะ คงต้องรวบรวมข่าวสารจากทางนี้ก่อน…
เมื่อวางแผนเสร็จ สติไคลน์ค่อยๆ เลือนราง อาการง่วงนอนครอบงำร่างกายอีกครั้ง ชายหนุ่มปล่อยตัวปล่อยใจให้หลับใหลภายใต้ผ้าห่มผืนหนา
…
ภายในชั้นใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล เลียวนาร์ดที่เดินทางกลับจากทิงเก็น มาทันการประชุมของหน่วย
ก่อนอื่น โซสต์แจ้งข้อสรุปของอาร์ชบิชอปและผลการสืบสวนของเหยี่ยวราตรีท้องถิ่นในพื้นที่อื่น
“ด้วยความช่วยเหลือของมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ ท่านเจ้าคุณแอนโทนีสามารถยืนยันได้ว่า ผู้บุกรุกคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ และข้อสรุปในปัจจุบันก็คือ คนร้ายเสียสติรายนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้… ผลลัพธ์ดังกล่าวฟังดูขัดแย้งในตัวเองมาก ผมเองก็ยังไม่เข้าใจความหมายสักเท่าไร และท่านเจ้าคุณก็มิได้อธิบาย… สรุปโดยสั้น แนวทางการสืบสวนของพวกเราหลังจากนี้จะมุ่งหน้าไปที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์โดยสมบูรณ์… และจากข้อมูลของ MI9 ตัวตนเกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นชื่อปลอมที่มีต้นกำเนิดจากเบ็คลันด์”
หลังจากโซสต์สรุป มันถามอย่างไม่เจาะจง
“มีใครอยากเสริมอะไรไหม?”
เลียวนาร์ดอ้าปากเตรียมพูด แต่ดวงตาของมันกะพริบสองครั้งถี่ๆ ก่อนจะปิดปากเงียบ
โซสต์หันมามองพร้อมกับเรียกชื่อ
“เลียวนาร์ด คุณพบเบาะแสอะไรบ้างไหม?”
เลียวนาร์ดเงียบงันสักพัก ยักไหล่ตอบ
“เบาะแสที่ผมเจอถูกกาทิ้งไปแล้ว”
โซสต์ไม่ถามต่อ เพียงหันไปมองสมาชิกคนอื่น
หลังจากได้รับข้อมูลและระดมสมองวิเคราะห์ มันเริ่มมอบหมายงานให้ถุงมือแดงแต่ละคน
รอจนกระทั่งแบ่งงานเสร็จ เลียวนาร์ด·มิเชลเดินออกจากห้องพลางถือรายชื่อของบุคคลที่ตนต้องเข้าฝัน ตรงกลับไปยังห้องพักที่อยู่ชั้นบน นั่งลงบนขอบเตียง
หลังจากนั่งนิ่งเป็นเวลานาน เลียวนาร์ดใช้มือจัดแต่งทรงผม เตรียมเริ่มปฏิบัติการ
ทว่า เป้าหมายแรกที่มันจะเข้าฝันมิได้อยู่ในรายชื่อตามเอกสาร
หากแต่เป็นดอน·ดันเตส!
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน มันตัดสินใจไปคุยกับสัตว์ประหลาดจากยุคสมัยที่สี่ซึ่งสังกัดองค์กรลับรายนี้ตัวต่อตัว ดูว่าตนจะได้ข้อมูลที่สำคัญอะไรบ้าง
การกระทำเช่นนี้อาจฟังดูบ้าบิ่น แต่เมื่อคำนึงว่าต่างฝ่ายต่างซ่อนความลับของกันและกัน วิธีนี้ก็ถือว่าไม่เลว
…
บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน สติไคลน์ซึ่งกำลังล่องลอยพลันคมชัด ช่วยให้มันทราบทันทีว่ามีคนบุกรุกความฝัน
ชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้เอนหลังด้วยสีหน้าครุ่นคิด มองตรงไปทางระเบียบใหญ่ จนกระทั่งเห็นชายเจ้าของดวงตาสีเขียว ผมสีดำ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและเสื้อกั๊กสีดำกระโดดขึ้นมา ไม่ใช่ใครนอกจากเลียวนาร์ด·มิเชล
เรายังไม่ทันจะไปหา เขาก็มาหาด้วยตัวเอง… เหยี่ยวราตรีคนอื่นมักเคาะประตูห้องอย่างสุภาพ แต่หมอนี่กระโดดขึ้นมาทางระเบียง… ไคลน์นั่งมองนักกวีอดีตเพื่อนร่วมงานค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้
ขณะเดียวกัน ในการมองเห็นของเลียวนาร์ด ดอน·ดันเตสยังคงสวมชุดออกงานสุภาพเรียบร้อย จอนสีขาวแซม โครงหน้าทำมุมเข้ารูป มีเสน่ห์เหนือคำบรรยาย
ทันใดนั้น มุมปากของเศรษฐีลึกลับยกโค้งขึ้น ไม่ปิดบังเรื่องที่ตนมีสติคมชัดในความฝัน เรื่องที่ตนไม่ได้รับอิทธิพลจากพลังของฝันร้ายแห่งเส้นทางรัตติกาล
“พาลีส·โซโรอาสเตอร์มิได้สอนมารยาทคุณเลยหรือ” ไคลน์กล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าให้ตรงตามสิ่งที่เลียวนาร์ดจินตนาการเกี่ยวกับตน
พาลีส·โซโรอาสเตอร์… เขาตักเตือนแกมขู่เราอีกแล้ว… เลียวนาร์ดผงะพร้อมกับจำชื่อ
มันรีบปรับเปลี่ยนท่าทางพลางโค้งศีรษะ ท่าทีเป็นไปอย่างแข็งกระด้าง
“ขออภัยที่ต้องเข้ามาขัดจังหวะ แต่คุณอยู่ในรายชื่อสอบปากคำของเรา… การลอบแทรกซึมที่เกิดขึ้น คือเหตุผลหลักที่พวกคุณย้ายเข้ามาอาศัยในกรุงเบ็คลันด์?”
“ผิดแล้ว” ไคลน์ในร่างดอน·ดันเตสหยิบไวน์แดงด้านข้างขึ้นมาจิบ “ไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นเขาคนเดียว”
มันแสร้งทำเป็นไม่กลัวว่าเลียวนาร์ดจะทราบข้อมูล
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์?” เลียวนาร์ดถามเสียงต่ำ
ไคลน์จ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาที่ราวกับผ่านโลกมานาน
“ยังต้องสงสัยอีกหรือ?”
“จุดประสงค์คืออะไรกันแน่? เขาไม่ได้ขโมยอะไรไปเลย…” เลียวนาร์ดถือโอกาสถาม
ไคลน์ยกมือขึ้นมาลูบจอนสีขาว หัวเราะในลำคอ
“คิดว่ายังไงล่ะ?”