ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ตอนที่ 891
ราชันเร้นลับ 891 : วิหารประหลาด
ผู้นำลึกลับของสภานักสิทธิ์สนธยาชอบนั่งมอบเหล่าสมาชิกสนทนาอย่างเงียบงัน และเมื่อต้องการอะไร เรื่องนั้นก็จะบรรลุเป้าหมายอย่างรวดเร็ว… สอดคล้องกับธรรมชาติของเส้นทาง ‘ผู้ชม’ มาก… นั่นทำให้เรายิ่งมั่นใจว่า บุคคลดังกล่าวคือพี่ชายของอามุนด์ หนึ่งในทายาทของพระผู้สร้าง อาดัม… ในช่วงบั้นปลายชีวิตของจักรพรรดิ หลังจากได้ทราบข้อมูลจำนวนมากจากมิสเตอร์ประตู เขาคงวิเคราะห์ได้แบบเดียวกับเรา… เมื่อนำข้อมูลในไดอารีมาเทียบกับสิ่งที่ตนรู้ ไคลน์เริ่มมั่นใจว่าสมมติฐานของตนถูกต้อง ก่อนจะก้มหน้ามอง อ่านเนื้อหาที่หลงเหลืออยู่บนกระดาษ
“11 มีนาคม ยิ่งนึกถึงเมื่อวาน เราก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ ตัวตนอย่างครึ่งเทพกลับต้องถูกตัดสินชะตาชีวิตด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แถมยังไม่มีโอกาสได้คัดค้านหรือแก้ตัว นอกจากนั้น บรรดาสมาชิกเก่าแก่ขององค์กรยังบอกกับเราว่า หากไม่นับเทพจารีตทั้งเจ็ด ไม่มีสิ่งใดในโลกที่องค์กรนี้ทำไม่ได้ แม้กระทั่งการล้มล้างอาณาจักร”
“เราโชคดีมากที่ถูกดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ไม่อย่างนั้น สักวันอาจถูกลอบสังหารอย่างแยบยลจนเราไม่ทันได้รู้สึกตัว ต้องตายไปทั้งที่ยังลืมตา!”
“องค์กรในเงามืดที่คอยจับตามองผู้คน คอยกำหนดชะตาชีวิตและความตายของผู้คน เรื่องแบบนี้ สำหรับคนทั่วไปคงยากจะทำใจยอมรับ แม้ว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา แต่ในใจก็อดสั่นกลัวไม่ได้”
“โลกนี้อันตรายกว่าโลกเก่ามาก บางที แค่การเกิดมามีพลังวิญญาณมากกว่าผู้อื่นเล็กน้อย บางที แค่การพลิกอ่านหนังสือโบราณสักเล่ม บางที แค่การเดินเรือทำธุรกิจตามปรกติ บางที แค่การตกหลุมรักหญิงงามสักคน บางที แค่รักการผจญภัยและเข้าไปสำรวจปราสาทบางแห่ง บางที แค่การถูกปลุกด้วยเสียงการต่อสู้ในตอนกลางดึก หรือบางที แค่การคิดค้นและสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่มีความหมายเฉพาะเจาะจง เหตุการณ์เหล่านี้อาจนำพาไปสู่ความตายโดยไม่รู้ตัว เสียชีวิตอย่างน่าอนาถ!”
“และนั่นคือแรงผลักดันที่ทำให้เราต้องการพัฒนาฝีมือ ทำงานอย่างหนักเพื่อเลื่อนลำดับพลัง โชคชะตาของตัวเองจะได้อยู่ในมือตัวเอง! เราทำได้แน่ เพราะเราคือพระเอกของยุคสมัยนี้! ฮะฮะ!”
“12 มีนาคม เราคิดว่าต้องลองค้นหาและรวบรวมข้อมูลจากยุคสมัยที่สี่ สาม และสองอย่างจริงจังบ้างแล้ว ประสบการณ์ภายในองค์กรลับโบราณแห่งนั้นบอกกับเราว่า อาจมีความลับมากมายซ่อนอยู่ในยุคสมัยดังกล่าว ชนิดที่สามารถส่งผลต่อทิศทางของยุคสมัยปัจจุบัน”
“น่าเสียดาย ข้อมูลที่ว่ามานั้นหายากเกินไป หากไม่ถูกผูกขาดไว้โดยศาสนจักร ป่านนี้ก็คงถูกทำลายทิ้งอย่างราบคาบ การสืบสวนด้วยตัวเองคงยากที่จะพบเบาะแส วิธีดีที่ดีที่สุดยังคงเป็นการเพิ่มลำดับ ผลักดันตัวเองให้มีสถานะในโบสถ์สูงขึ้น”
ไดอารีหน้านี้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า จักรพรรดิติดต่อกับมิสเตอร์ประตูหลังจากเข้าร่วม ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ นานมาก บางทีอาจเป็นเหตุการณ์สมัยกลายเป็นผู้วิเศษลำดับสูงแล้ว ไม่อย่างนั้นคงมิอาจทนต่อเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตู… เมื่อเทียบกับจักรพรรดิ ในแง่การสำรวจประวัติศาสตร์ เราทำได้ง่ายกว่ามาก มีไดอารีของเขาเป็นตัวแทนยุคสมัยที่สี่ มีเมืองเงินพิสุทธิ์เป็นตัวแทนของยุคสมัยที่สอง รวมถึงวิญญาณมารที่เกิดจากการรวมตัวของเศษเสี้ยวราชาเทวทูต… อา ในช่วงวัยกลางคน ดูเหมือนว่าจักรพรรดิจะลดทอนความหื่นกามลงมากทีเดียว… ไคลน์พลิกไปยังหน้าสองของไดอารีด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“18 พฤษภาคม ช่วงนี้เรามักฝันร้าย เป็นความฝันเกี่ยวกับตัวเองสวมชุดเกราะโบราณสีเงิน นั่งอยู่บนขอบหน้าผา ข้างหน้าเต็มไปด้วยความเงียบงัน มีเพียงหมอกสีดำที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง เปี่ยมด้วยความเลวทรามและชั่วร้าย เพียงแค่ได้เห็นก็เกิดความรู้สึกยากจะพรรณนา ใบหน้าของเราค่อยๆ ทวีความหม่นหมองขณะเฝ้ามอง ผิวหนังมีลักษณะแข็ง รู้สึกคล้ายกับมีของเหลวเหนียวข้นปกคลุมบนพื้นผิวตลอดเวลา ดวงตาเหม่อลอยโดยสิ้นเชิง”
“เป็นภาพสะท้อนของนรก นั่นคือภาพจำลองของนรกที่เราพยายามเข้าไปเมื่อเดือนที่แล้ว!”
“ยิ่งได้เห็นฝันร้ายนี้บ่อยครั้ง ตัวเราก็ยิ่งมีอารมณ์สุดโต่งมากขึ้นเรื่อยๆ แค่ความโกรธทั่วไป กลับทำให้นึกอยากฉีกอีกฝ่ายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย นอกจากนั้น บนแผ่นหลังของเรายังมีตุ่มเนื้อสีแดงเข้มนูนยื่น อุณหภูมิร่างกายลดต่ำกว่าปรกติ”
“นี่คือการกัดกร่อนจากนรก?”
“ต้องรีบหาวิธียืนยันความจริงและแก้ไข!”
“แต่ตอนนี้ยังปรึกษากับศาสนจักรไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต้องเปิดเผยเรื่องของเกาะโบราณและนรกนั่น”
“อา เราต้องมองหานักบวชจากโบสถ์สุริยันเจิดจรัส คนพวกนั้นถนัดการชำระล้าง!”
“19 พฤษภาคม อาศัยเส้นสายเล็กน้อย เราได้รับการรักษาอย่างลับๆ ร่างกายเบาหวิวขึ้นทันตาเห็น ความผิดปรกติที่เคยเกิดขึ้นบรรเทาลงอย่างมาก”
“ท่ามกลางความยินดี เราผุดคำถามใหม่ ตัวเราที่สำรวจแค่รอบนอกของนรก มิได้สัมผัสกับปีศาจลำดับสูงแต่อย่างใด แถมยังมีวัตถุบางชิ้นบน ‘บัลลังก์มืด’ ช่วยต้านทานการกัดกร่อน แต่กลับยังได้รับผลกระทบโดยไม่รู้ตัว แปดเปื้อนกลิ่นอายความชั่วร้ายและเลวทราม ถ้าเช่นนั้น ผู้วิเศษเส้นทาง ‘อาชญากร’ ที่ต้องคอยสังเวยให้ปีศาจระดับสูงตลอดเวลา การกัดกร่อนย่อมต้องรุนแรงกว่าหลายเท่า หลังจากสั่งสมอย่างต่อเนื่อง คงดำเนินไปถึงจุดที่ไม่สามารถรักษาให้หาย ทำได้แค่ขจัดการปนเปื้อนภายในออร่าและร่างกาย”
“คำถามที่เกิดขึ้นในหัวทันทีก็คือ แล้วเราจะได้รับผลกระทบจาก ‘เทพช่างฝีมือ’ บ้างไหม? ไม่สิ ตอนนี้ควรเรียกท่านว่า ‘เทพจักรกลไอน้ำ’ … หากเรื่องนี้เป็นความจริงก็นับว่าน่ากลัวมาก ดูเหมือนว่า คงมีแต่การกลายเป็นครึ่งเทพเท่านั้น จึงจะขจัดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ได้ทั้งหมด”
“แต่โชคยังดี นับตั้งแต่ยุคสมัยที่ห้า เทพแท้จริงก็มิได้ออกจากดินแดนดาราอีกเลย ไม่มีตนใดเสด็จลงมาบนโลก ดังนั้น ถึงเส้นทางใดจะมีเทพแท้จริง แต่ผลข้างเคียงก็มิได้ร้ายแรง”
“20 พฤษภาคม ตัวเราที่หายหน้าหายตาไปนาน ได้เวลากลับไปเข้าสังคมชนชั้นสูงแล้ว!”
“ไอ้พวกนั้นแอบหัวเราะเยาะเราเพราะไม่เห็นเราออกไปไหนในช่วงที่ผ่านมา จึงพากันคาดเดาส่งเดชว่า เราเอาแต่ช่วยตัวเองอยู่ในห้องจนร่างกายอ่อนเพลีย! แต่ในความเป็นจริง เราฝันร้ายติดต่อกันหลายคืนต่างหาก ทำให้หลับไม่สนิทและมีรอยคล้ำใต้ตา!”
“หึหึ! เห็นทีคงต้องสั่งสอนให้พวกมันรู้จักพลังพิเศษสักหน่อยแล้ว!”
เราไม่รู้ว่าเทวทูตจะสร้างอิทธิพลต่อลำดับต่ำของเส้นทางเดียวกันได้มากน้อยแค่ไหน… ส่งเสียงเพรียกได้ไกลเป็นพิเศษ? สร้างแรงดึงดูดในเชิงโชคชะตา? สามารถตอบสนองพระนามเต็มอันสูงส่งได้โดยไม่มีระยะทางจำกัด? หรือเมื่อเผชิญหน้ากัน ตะกอนพลังของอีกฝ่ายจะถูกกัดกร่อนโดยตรง? หากทำได้ทุกข้อ เทวทูตนั้นแทบไม่ต่างอะไรกับเทพ… อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เทวทูตในยุคสมัยที่สองมักถูกเรียกว่า ‘เทพรับใช้’ … ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ ก่อนจะพลิกกระดาษในมือ ตั้งใจอ่านไดอารีหน้าสุดท้าย
“12 ตุลาคม เอ็มเวิร์ดมาบอกกับเราว่า อัศวินคนหนึ่งของเขาบังเอิญได้พบวิหารแปลกๆ อาจเกี่ยวข้องกับความเชื่อและความศรัทธาในยุคก่อนยุคสมัยที่สี่”
“เราสนใจเรื่องนี้มาก จึงรีบเดินทางไปยังเมืองเล็กๆ ที่ชื่อเปย์มานทันที”
“13 ตุลาคม เปย์มานเป็นเมืองเล็กๆ ที่สร้างขึ้นบนเนินเขา บ้านทุกหลังมีหลังคาโดมคล้ายกับหมวกฟาง นับว่ามีเอกลักษณ์โดดเด่นมาก”
“เดินไปตามถนนสักพัก ในที่สุดเราก็ได้พบวิหารเล็กๆ ประหลาดๆ หลังหนึ่ง มองจากด้านนอกจะดูเหมือนกับบ้านทั่วไป ไม่มีสิ่งใดพิเศษ จนกระทั่งเดินเข้าไป นั่นจึงเริ่มเห็นความแตกต่าง”
“ภายในนั้นมีนักบวชเพียงคนเดียว เป็นชายวัยกลางคนที่อ่อนโยนและเงียบขรึม สวมเสื้อคลุมสีขาวเรียบง่าย เคราสีทองอ่อนปกปิดครึ่งล่างของใบหน้า ตาใสราวกับเด็กเล็ก”
“เขาระบุว่าที่นั่นเป็นวิหารของพระผู้สร้าง ซึ่งสิ่งมีชีวิตทุกชนิดและผู้ศรัทธาในเทพทุกองค์ สามารถเข้าไปด้านใดได้โดยไม่มีข้อยกเว้น”
“ได้ยินถึงตรงนี้ เราพลันฉุกคิดถึงข้อสงสัยในอดีตทันที นอกเหนือจากเทพจารีตทั้งเจ็ด ศาสนาอื่นๆ ล้วนถูกจำแนกให้เป็นพวกนอกรีต เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างวิหารอย่างเปิดเผย อนุโลมเพียงวิหารและศาสนาของพระผู้สร้างต้นกำเนิด แต่ดูเหมือนว่า ศาสนาของพระผู้สร้างต้นกำเนิดจะไม่ได้รับความนิยมสักเท่าไร แถมวิหารก็ยังหายได้ยากมาก!”
“ด้านหน้าวิหารเล็กๆ หลังนี้มีซุ้มแท่นบูชาขนาดย่อม ด้านในภาพมีคนแบกไม้กางเขน น่าจะเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของบุคคลที่ถูกเรียกว่าพระผู้สร้าง”
“เรานั่งลงแถวหน้า สนทนากับนักบวช อีกฝ่ายเหล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังมากมาย”
“เขาเล่าว่า ในยุคสมัยที่มนุษย์ถือกำเนิดขึ้น สัตว์ประหลาดกระหายเลือดมากมายกำลังปกครองผืนดิน ท้องฟ้า และมหาสมุทร พวกมันเหล่านี้คือต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มากมายในช่วงหลัง เช่นมังกร คนยักษ์ และเอลฟ์”
“สัตว์ประหลาดเหล่านี้อาละวาดอย่างไร้ความเกรงใจ ยึดครองดินแดนไปมากมาย คล้ายกับสามารถทำลายโลกทั้งใบได้ด้วยระยะเวลาอันสั้น แต่ระหว่างนั้น พระผู้สร้างก็ลืมตาตื่นขึ้น ริบพลังพิเศษที่เคยมอบให้พวกมันกลับคืน และนำมาแจกจ่ายให้แก่มวลมนุษย์”
“หลังจากนั้น พระองค์ก็หลับไปอีกครั้งพร้อมกับทิ้งคำทำนาย:”
“เมื่อความบ้าคลั่ง โหดร้าย ละโมบ อำมหิต และกระหายเลือดปกคลุมโลกใบนี้อีกครั้ง พระองค์จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างกลับมา”
“ระหว่างกำลังคุย นักบวชถือจี้ไม้กางเขนไว้กลางหน้าอก สวดวิงวอนอย่างเงียบงัน”
“ตำนานดังกล่าวแตกต่างจากพระคัมภีร์ของศาสนจักรโดยสิ้นเชิง มีหลายสิ่งที่ควรค่าแค่การพิจารณา เรียกได้ว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจมาก”
“15 ตุลาคม เรากลับมายังกรุงทรีอาร์อีกครั้ง แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมถามชื่อนักบวชคนดังกล่าว!”
“ช่างมันเถอะ ในอนาคตยังมีโอกาส ประสาทสัมผัสที่หกในฐานะบุรุษบอกกับเราว่า เราน่าจะได้กลับไปที่วิหารเล็กๆ แห่งนั้นอีกครั้ง”
นี่มันตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์ฉบับย่อส่วนไม่ใช่หรือ? อา คงเป็นช่วงท้ายของยุคสมัยที่สองและช่วงต้นยุคสมัยที่สาม… นักบวชคนนั้นมีข้อมูลมากทีเดียว น่าจะเป็นการส่งต่อความรู้มาจากองค์กรหรือตระกูลที่ถือครองข้อมูลไว้พอสมควร… ไคลน์ครุ่นคิดพลางสลายไดอารีสามหน้าในมือ
จากนั้น ชายหนุ่มเงยหน้า มองไปยังมาดามเฮอร์มิท
“ว่ามา”
‘เฮอร์มิท’ แคทลียารีบก้มหน้าลงและพูด
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ดิฉันอยากทราบว่า บ้านเกิดของดวงวิญญาณที่จักรพรรดิโรซายล์หมายถึงคือที่ไหน? อยู่ภายในเกาะแห่งนั้น หรืออยู่ในส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว?”
เกาะแห่งนั้น? หมายถึงเกาะโบราณที่ทำให้โรซายล์ตกตะลึงหลังจากเสียกริมม์? ดูเหมือนว่าจักรพรรดิจะให้ความสนใจกับเกาะแห่งนั้นมากเป็นพิเศษ ไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงบั้นปลายชีวิต ราชินีเงื่อนงำถึงได้สังเกตเห็นความผิดปรกติ
ส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวหมายถึงสิ่งใด? ดินแดนดารา? หรือดาวเคราะห์ดวงอื่น? หรือจะเป็นเพราะจักรพรรดิชอบทำตัวผิดยุคสมัย ลูกสาวก็เลยสงสัยว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว?
อาจจะฟังดูเหลวไหล แต่ก็มีเหตุผลรองรับพอสมควรทีเดียว หลังจากการค้นคว้าวิจัยมากมาย โลกแห่งนี้คือดาวเคราะห์ดวงหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย และพระอาทิตย์คือดาวที่ถูกรายล้อมด้วยจักรวาลอันไร้ขอบเขต เป็นระบบที่มีดวงดาวและดาวเคราะห์จำนวนมาก… แล้วเราควรตอบว่ายังไง? จะให้พูดเรื่องการเดินทางข้ามโลกก็คงไม่ดี แต่จะไม่ตอบเลยก็ไม่ได้… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ยิ้มและส่ายหน้า
“ไม่ใช่ทั้งสอง”