ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ตอนที่ 905
ราชันเร้นลับ 905 : จุดบอดทางความคิด
จากประสบการณ์ของไคลน์ในการชมภาพยนตร์หรืออนิเมชั่นนักสืบหลายเรื่อง มันเชื่อว่าคนที่คลุมหน้าด้วยผ้าพันคอ สวมเสื้อคลุมเพื่อปกปิดเค้าโครงร่างกาย ส่วนใหญ่มักเป็นตัวปัญหา หรือไม่ก็ซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ โดยเฉพาะยามที่ไม่ใช่ฤดูหนาว เพราะอุณหภูมิในทะเลคลั่งนั้นห่างไกลจากความหนาวเย็นพอสมควร
แต่นั่นไม่มีผลอะไรกับเรา แม้จะมีคดีฆาตกรรมในห้องปิดตายเกิดขึ้น แต่คนที่ปวดหัวคือกัปตัน… ไว้ค่อยทำนายยืนยันอีกครั้งเหนือมิติสายหมอก ตรวจสอบว่าการเดินทางครั้งนี้ราบรื่นหรือไม่… ไคลน์ไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ก็ไม่ได้เพิกเฉยเสียทีเดียว
จากนั้น มันถอนสายตากลับ จ้องปลาย่างเดซีย์ที่บริกรนำมา
กินมื้อเย็นเสร็จ มันเดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเอง ทำนายเหนือหมอกสีเทาจนแน่ใจและพบว่า สภาพแวดล้อมจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก การเดินทางมีบทสรุปที่ค่อนข้างราบรื่น
และนั่นทำให้ไคลน์หลับอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้การเข้าฌาน นอนยาวไปจนกระทั่งรุ่งสาง
เสียงหวูด ‘วี๊’ ดังขึ้น เรือโดยสารเริ่มออกตัวด้วยความเร็วคงที่ แล่นออกจากท่าเรือฮาลมันน์อย่างไม่รีบร้อน
ขณะที่ยังมองเห็นท่าเรือได้อย่างเลือนราง ไคลน์พบคนผู้หนึ่งปรากฏตัวที่นั่น
บุคคลดังกล่าวสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อนอกสีน้ำเงินเข้ม จมูกโด่ง เบ้าตาจมลึก ดวงตาสีฟ้าอ่อน ผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย โครงหน้าชัดลึก คางเชิดเล็กน้อย สีหน้าประหนึ่งเกลียดชังทุกคน
มันชำเลืองไปมาสักพัก ก่อนจะจ้องมาทางเรือลำที่ไคลน์โดยสาร
ทันใดนั้น ท้องฟ้าพลันหม่นหมอง ดูคล้ายกับประตูที่จะนำไปสู่ดินแดนอันมืดมิดและมายา
พายุเฮอริเคนส่งเสียงดังหวีดมาจากส่วนลึกของทะเล คลื่นยักษ์สีครามยกตัวลอยสูง สายฟ้าสีเข้มเปรียบดังรอยแยกแห่งความว่างเปล่า คอยกะพริบวิบวับอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งหายไป
ทัศนียภาพตรงหน้าปิดกั้นการมองเห็นของทุกสายตาบนเรือโดยสาร ประหนึ่งว่าโลกทั้งสองใบมิได้เกี่ยวข้องกัน
ทะเลคลั่งสำแดงอำนาจและความน่ากลัวอีกครั้ง
เรือโดยสารไม่มีทางเลือกมากนัก ทำได้แค่แล่นไปบนเส้นทางปลอดภัยซึ่งมีพายุที่อ่อนกำลังกว่า
บังเอิญอะไรขนาดนี้… หรือว่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ? ไคลน์ที่ยืนริมกระจกหน้าต่างห้องโดยสาร ถอนหายใจกับตัวเองแผ่วเบา ปักใจเชื่อว่ามีปัจจัยเหนือธรรมชาติทำให้ทะเลคลั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
แม้สภาพอากาศในทะเลคลั่งจะเปลี่ยนแปลงกะทันหันจนเป็นเรื่องปรกติ แต่การเปลี่ยนแปลงในจังหวะเวลาเช่นนี้ย่อมชวนให้เกิดความสงสัย
สุภาพบุรุษที่ท่าเรือคนเมื่อครู่ กำลังไล่ตามผู้โดยสารที่น่าสงสัยคนเมื่อคืน? และเมื่อผู้โดยคนสารเห็นว่าตัวเองถูกเปิดเผย จึงทำการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ บังคับให้เรือโดยสารต้องแล่นออกไป? ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ เริ่มการคาดเดาบางสิ่งอย่างคลุมเครือ
และถ้าเป็นแบบนั้นจริง หมายความว่าผู้โดยสารที่น่าสงสัยคนเมื่อคืนที่ใช้ผ้าพันคอปิดหน้าปิดตา น่าจะเป็นครึ่งเทพหรือไม่ก็พกพาสมบัติปิดผนึกระดับ 1 เป็นอย่างน้อย!
ต้องไม่ลืมว่า ด้วยความพลังและสมบัติวิเศษของไคลน์ในปัจจุบัน หากมิได้พึ่งพา ‘คทาเทพสมุทร’ คงไม่มีปัญญาจะเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับนี้
แน่นอน ไคลน์อาจมีวิธีอื่นให้ลองเสี่ยง นั่นคือการขว้างนกหวีดทองแดงอะซิกลงไปในทะเล รอดูว่าจะทำให้ ‘ทะเลคลั่ง’ คลั่งยิ่งกว่าเดิมได้หรือไม่
ให้ตายสิ… เราแค่อยากเดินทางไปทวีปใต้เหมือนเศรษฐีทั่วไป แล้วทำไมระหว่างทางถึงต้องเผชิญเหตุการณ์ครึ่งเทพไล่ล่ากัน… เฮ้อ… แรงกดดันที่เราได้รับ ไม่เหมาะสมกับลำดับของตัวเองเลยสักนิด… ไคลน์จิกกัดตัวเอง และในท้ายที่สุด มันเลือกจะเชื่อผลการทำนายเมื่อคืน
ท่ามกลางพายุ เรือโดยสารแล่นตามร่องน้ำสงบ ผ่านฉากอันน่าหวาดเสียวประหนึ่งวันโลกาวินาศ อย่างไรก็ตาม ผู้โดยสารบนเรือส่วนใหญ่ยังคงใจเย็น คล้ายกับปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้นานแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่ตัวสั่นเนื่องจากเพิ่งเผยเดินทางผ่านทะเลคลั่ง พยายามจับคว้าทุกสิ่งใกล้ตัวเพื่อเป็นหลักยึด
จนกระทั่งเวลาผ่านไป พายุและสายฟ้าเริ่มลดจำนวนลง ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อย
ทันใดนั้น ไคลน์บนดาดฟ้าเรือพลันถูกกระตุ้นสัมผัสวิญญาณ รีบหันหน้าไปทางท่าเรือฮาลมันน์ตามจิตใต้สำนึก
เหนือผืนน้ำสีน้ำเงินเข้มเป็นที่เป็นลอนคลื่น ใต้เมฆสีขาวที่กระจัดกระจายอย่างเบาบาง เปลวไฟสีขาวกำลังพุ่งเข้ามาใกล้ แหวกอากาศและทุกสรรพสิ่งด้วยความเร็วสูง
เปลวไฟดังกล่าวขยายขนาดอย่างต่อเนื่อง เริ่มชัดเจนขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์ – หอกเพลิงเล่มยักษ์!
หอกเพลิงร่อนลงบนดาดฟ้าเรือหัวเรือ แต่กลับมิได้เกิดประกายไฟลุกลาม หลังจากแผดเผาแผ่นไม้ไปเพียงครึ่งแผ่น เปลวไฟเริ่มกระจายตัวพร้อมกับจัดระเบียบเป็นร่างใหม่
ร่างดังกล่าวมีจมูกโด่ง เบ้าตาจมลึก และดวงตาสีฟ้า เป็นชายคนเดียวกับที่ปรากฏตัวบนท่าเรือก่อนจะออกเดินทาง!
ชายที่ดูคล้ายกับอยู่ในวัยกลางคน มองไปรอบๆ อย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะเดินผ่านผู้โดยสารที่กำลังดวงตาเบิกโพลงและอ้าปากค้างเข้าไปในเขตห้องโดยสาร
ดอน·ดันเตสซึ่งยังคง ‘ตะลึง’ ถอนหายใจแผ่วด้วยความโล่งอก เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาหาตน
เป็นการปรากฏตัวที่เท่ฉิบหาย สมแล้วที่เป็นครึ่งเทพ… ปัญหาเดียวในตอนนี้ก็คือ หวังว่าทั้งสองคนจะไม่ทะเลาะวิวาทกัน แม้ว่าความขัดแย้งจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ช่วยไปทำกันที่ทะเลข้างๆ ได้ไหม ไม่อย่างนั้น เรือลำนี้คงมิอาจทนรับแรงกระแทก… เราสามารถ ‘ท่องเที่ยว’ หนีออกไปได้อย่างราบรื่นก็จริง แต่เรือลำนี้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เราช่วยได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น… ไคลน์วาดดวงจันทร์สีแดงบนหน้าอกตามความเคยชิน สวดวิงวอนถึงเทพธิดา
ขณะเกิดความคิดดังกล่าว มันเห็นร่างหนึ่งลอยออกจากห้องโดยสาร ล้มกระแทกลงบนดาดฟ้าเสียงดัง ไม่ใช่ใครนอกจากนักท่องเที่ยวที่น่าสงสัย ผู้ใช้ผ้าพันคอคลุมหน้า
ปัจจุบัน สุภาพบุรุษรายดังกล่าวเปิดเผยใบหน้าไปแล้วกว่าครึ่ง ปลายจมูกมีรอยแดง เคราหนารอบปากมีฟองน้ำลายเกาะติด
ดวงตาที่เกือบจะเป็นทรงสามเหลี่ยมของมันอัดแน่นไปด้วยความหวาดผวา รีบวางมือบนดาดฟ้า ผลักร่างกายขยับไปด้านหลัง
“ใครเป็นคนบอกให้แกพกสิ่งนั้นและปลอมตัวมาขึ้นเรือ?” หน้าประตูเขตห้องโดยสาร ชายวัยกลางคนเจ้ามองจมูกโด่งและดวงตาสีฟ้าเดินออกมาอย่างเชื่องช้า ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มสำเนียงอินทิส
ผู้โดยสารที่ทำตัวน่าสงสัยรีบส่ายหัว
“ฉ…ฉันไม่รู้! อีกฝ่ายแต่งตัวแบบเดียวกัน… ข…เขาให้เงินมาหนึ่งร้อยปอนด์และบอกว่า ให้ฉันลงเรือลำนี้ไปยังทวีปใต้ จากนั้นก็เดินทางกลับมาเอง!”
ชายวัยกลางคนเฝ้ามองอย่างเงียบงัน สายตาทะลุทะลวงราวกับจะทิ่มเข้าไปในดวงวิญญาณของเป้าหมาย
ฉากตรงหน้าทำให้ผู้โดยสารน่าสงสัยเหงื่อแตกเต็มหน้าผาก ร่างกายสั่นระริกรุนแรง พูดติดตะกุกตะกักซ้ำอีกครั้งเพื่ออธิบาย แต่เนื้อหาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ชายคนดังกล่าวถอนสายตากลับ ทันใดนั้น เปลวไฟพลันลุกโชนขึ้นปกคลุมร่างกาย
ถัดมา มันกลายร่างเป็นหอกเพลิงขนาดใหญ่ พุ่งตรงไปยังทิศทางของท่าเรือฮาลมันน์
หอกไฟเล่มดังกล่าวพุ่งออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่นานก็เหลือเพียงจุดแสงเล็กๆ
หากไม่นับในช่วงแรก ระหว่างเริ่มลงมือจนกระทั่งกลับไป ครึ่งเทพรายนี้ไม่มองหน้าผู้โดยสารรอบๆ แม้แต่ครั้งเดียว ราวกับพวกมันไม่มีตัวตนอยู่จริง
กลลวงง่ายๆ แต่ได้ผล… ให้คนปลอมตัวมาขึ้นเรือแทนตัวเอง จากนั้นก็ใช้พลังบางอย่างเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ สร้างหลักฐานว่าตัวเองอยู่บนเรือ แต่ความจริงแล้วกำลังซ่อนตัวอยู่ในท่าเรือ รอจนกว่าศัตรูจะขึ้นเรือไล่ตาม จึงค่อยหาทางออกทางอื่น… ไคลน์สรุปเรื่องราว
สิ่งนี้ทำให้มันเกิดคำถาม ผู้ถูกไล่ล่าน่าจะเคยเป็น ‘นักวางแผน’ หรือ ‘นักมายากล’ หรือผู้วิเศษเส้นทางอื่นที่เก่งกาจด้านการใช้เล่ห์เหลี่ยม
สำหรับชายที่เพิ่งกลายร่างเป็นหอกไฟ เมื่อพิจารณาจากเปลวเพลิงสีขาวที่ลุกโชน พิจารณาพฤติกรรมหยิ่งผยอง การวางตัวที่น่ารังเกียจ การพูดสำเนียงอินทิส และปัจจัยด้านอื่น ไคลน์เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะเป็นครึ่งเทพของเส้นทาง ‘นักล่า’ และอาจอยู่ในลำดับ ‘อัศวินเลือดเหล็ก’
แต่เราไม่รู้ว่าขัดแย้งกันด้วยเหตุผลอะไร… ไคลน์ส่ายหน้า เดินกลับไปยังห้องโดยสาร
และด้านบนดาดฟ้า บรรดาผู้โดยสารเริ่มได้สติกลับมา ต่างคนต่างกระซิบกระซาบเพื่อหารือเกี่ยวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่ได้เห็นเมื่อครู่:
มนุษย์สามารถแปลงร่างเป็นเปลวไฟ และเปลวไฟสามารถเปลี่ยนกลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง!
ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย เรือโดยสารแล่นต่อไปตามร่องน้ำปลอดภัยโดยปราศจากอุบัติเหตุระหว่างทาง เข้าจอดในท่าเรือแห่งหนึ่งช่วงเย็น
ไคลน์ไม่ได้ขึ้นฝั่งเหมือนเดิม กังวลว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นอีก
มันหยิบนาฬิกาพกสีทอง กดเปิดฝาและตรวจสอบ เพื่อวางแผนว่าควรไปที่ร้านอาหารตอนไหน
รออีกครึ่งชั่วโมง… ไคลน์พึมพำกับตัวเองเงียบงัน เงยหน้าขึ้น มองออกไปนอกหน้าต่าง
ขณะเดียวกัน ผู้โดยสารจำนวนหนึ่งที่มีกำหนดลงที่ท่าเรือปัจจุบัน เริ่มถือกระเป๋าเดินทาง ทยอยเดินลงไปจนกระทั่งถึงท่าเรือ
เหลียวซ้ายแลขวา สายตาของไคลน์ก็หยุดลงที่บุคคลหนึ่ง
บุคคลดังกล่าวสวมหมวกอ่อนสีดำ จอนสีทองเข้ม ดั้งโด่ง ริมฝีปากเม้มแน่น โครงหน้าชัดลึก ประหนึ่งประติมากรรมโบราณ ปราศจากริ้วรอยบนใบหน้า
ชายคนนี้ไม่ได้แบกกระเป๋า เดินปะปนไปกับฝูงชนลงท่าเรือก่อนจะหายไปจากมุมถนน
ไคลน์จ้องมองโดยไม่ขยับตัว ประหนึ่งร่างกายนี้ไม่ใช่ของตน
มันรู้สึกว่าเลือดของตัวเองเย็นลงกะทันหัน ชื่อหนึ่งผุดเข้ามาในสมองทันที
อินซ์·แซงวีลล์!
…
โคมไฟถนนที่ท่าเรือกำลังเปิดอยู่ หน้าต่างของห้องพักบนเรือเองก็เริ่มส่องแสงไม่ต่างกัน
แต่ห้องพักเฟิร์สคลาสของดอน·ดันเตสยังคงมืดและเงียบสงัด
ไคลน์กำลังนั่งอย่างไร้อารมณ์ ความคิดมากมายแล่นเข้ามาสมองอย่างมิอาจควบคุม
นับตั้งแต่เหตุการณ์มหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ นี่คือครั้งแรกที่เราได้พบอินซ์·แซงวีลล์…
ครึ่งเทพคนนั้น… เป้าหมายคงเป็นอินซ์·แซงวีลล์…
แผนของมันลึกล้ำกว่าที่เราคิด… มันจ้างให้คนปลอมตัวขึ้นเรือเพื่อสลัดให้หลุดจากการติดตาม แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างจุดบอดทางจิตวิทยา ทำให้คนที่ตามล่ามองข้ามเรือลำนี้จากจิตใต้สำนึก คิดว่าตัวเองหลงกลอีกฝ่าย…
แต่ในความเป็นจริง มันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ต้น…
การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมโดยบังเอิญเมื่อครั้งนั้น… น่าจะเป็นฝีมือของอินซ์·แซงวีลล์ที่ใช้ ‘0-08’
แล้วทำไมถึงถูกไล่ล่าโดย ‘นักล่า’ จากอินทิส… มันกำลังวางแผนอะไร?
ท่ามกลางความคิดที่ล่องลอย ไคลน์หยิบฮาร์โมนิก้านักผจญภัยออกมาถือ โน้มตัวใช้ปากจ่อและออกแรงเป่า
โดยไม่มีสุ้มเสียง ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ มิสผู้ส่งสารที่ถือหัวทองตาแดงสี่หัว ปรากฏตัวจากความว่างเปล่า
ไคลน์อ้าปาก ก่อนจะปิดลงอีกครั้ง รีบนำกระดาษและปากกาออกมาเขียน
มิสเตอร์ดอน·ดันเตสพบเบาะแสของอินซ์·แซงวีลล์บนเกาะแห่งหนึ่งในขอบเขตทะเลคลั่ง”
พับกระดาษจดหมายเสร็จ ไคลน์มอบเหรียญทองหนึ่งเหรียญให้มิสผู้ส่งสาร
“ส่งไปที่ตู้จดหมายของบ้านที่ 7 ถนนพินสเตอร์ เขตเหนือของเบ็คลันด์”
ศีรษะทั้งสี่ในมือทั้งสองข้างของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ หันมาอย่างพร้อมเพรียง ตาทั้งแปดจ้องหน้าไคลน์
เธอไม่กล่าวคำใด เพียงกัดกระดาษจดหมายและเหรียญทอง