ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ตอนที่ 953
ราชันเร้นลับ 953 : คำทำนาย
ไคลน์ถอนสายตาอย่างเป็นธรรมชาติ ถือไม้ค้ำเลี่ยมทอง เดินตามหลังแฮกกิสเข้าไปในคฤหาสน์นายพล
สถาปัตยกรรมแตกต่างจากสไตล์ทั่วไปของทวีปใต้ ไม่ควบคุมแสงแดดเพื่อทำให้ห้องมืด ไม่ใช้กระดูกตกแต่งเพื่อทำสร้างความรู้สึกกระแทกกระทั้น ตรงกันข้าม ที่นี่ดูเหมือนกับบ้านหรูของทวีปเหนือ และมีกลิ่นอายอินทิสที่เข้มข้น
เสาแต่ละต้นหุ้มด้วยแผ่นทองคำ ภาพจิตรกรรมฝาผนังใช้สีโทนอบอุ่น รายล้อมด้วยประติมากรรมทองคำ บันไดเวียนลงมาจากที่สูง ตรงผ่านทั้งสี่ชั้นของอาคาร หันหน้าเข้าประตู ทั้งงดงามและอลังการ
ต้องยอมรับว่า อาณาจักรที่ปกครองโดยโบสถ์สุริยันเจิดจรัส หากเป็นศิลปะที่เกี่ยวกับทองคำ พวกเขาถือเป็นแถวหน้าของโลก ไม่มีความรู้สึกฟุ่มเฟือยแบบเศรษฐีใหม่เห่อทองสักนิด… สายตาไคลน์กวาดไปทั่วราวบันได พบรูปปั้นเทวทูตสีทองขนาดเท่าฝ่ามือกำลังบินเฉียงออกจากกึ่งกลางแกนเสา ต้องหักห้ามใจไม่ให้เดินเข้าไปสัมผัส
มองดูองครักษ์ทั้งสองฝั่ง มันหาหัวข้อสนทนามาคุยกับแฮกกิส
“ดูเหมือนว่า พันเอกอัลเฟรด·ฮอลล์จะสร้างชื่อเสียงไว้ในไบลัมตะวันตกไม่น้อย?”
แฮกกิสพยักหน้าขึงขัง กล่าวด้วยสำเนียงชนชั้นสูงของโลเอ็น
“เขาทั้งเข้มแข็งและกล้าหาญ ครั้งหนึ่งเคยนำหน่วยรบพิเศษกว่าสามสิบคนเข้าปะทะกับกองทัพอินทิสนับพันคน ปั่นป่วนพวกมันได้อย่างหนัก กล่าวกันว่า เขายังสร้างผลงานอีกหลายครั้งในไบลัมตะวันออก จึงกลายเป็นพันเอกได้ตั้งแต่ยังไม่สามสิบ”
ฟังดูน่าทึ่งมาก… บางที พี่ชายของมิสจัสติสอาจกลายเป็นผู้วิเศษแล้ว แถมลำดับก็คงไม่ต่ำ… อา… สำหรับตระกูลขุนนางใหญ่ ไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ต้องมีสมาชิกตระกูลเลือกเดินบนเส้นทางผู้วิเศษ… หึหึ ไว้รอให้มิสเตอร์อัลเฟรดฝ่าฟันความยากลำบากจนกลายเป็นผู้วิเศษลำดับที่ค่อนข้างดี ติดยศพลจัตวาหรือพลตรี จนกระทั่งกลับมายังเบ็คลันด์และพบว่าเรื่องสุดสะเทือนใจว่าลำดับของตนยังน้อยกว่าหมาน้องสาว… ไคลน์ที่ดื่มยาก่อนออกมา ใช้การรำพันติดตลกเพื่อปรับสภาพอารมณ์
มันมิได้ถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัลเฟรด เพียงตั้งข้อสงสัยด้วยน้ำเสียงงุนงง
“ผมพบว่าประเพณีของไบลัมตะวันตกและออกมีความแตกต่างกันเล็กน้อย สำหรับที่นี่ ในหลายบ้านจะมีการตกแต่งด้วยกระดูกมนุษย์ ส่วนไบลัมตะวันออกไม่ทำกัน… ผมเคยมาที่นี่หลายครั้ง ผุดคำถามในใจมานาน แต่ก็อายที่จะหยิบยกขึ้นมาพูด”
แฮกกิสหยุดเดิน ชี้ไปทางบันไดเวียนฝั่งตรงข้าม
“มิสเตอร์ดันเตส กรุณารอสักครู่ ท่านนายพลจะมาถึงในอีกไม่ช้า”
หลังจากรายงานเสร็จ มันหัวเราะและพูดต่อ
“ประเพณีการตกแต่งด้วยกระดูกมนุษย์นั้นหายาก มีเฉพาะในดินแดนที่เคยถูกปกครองด้วยราชวงศ์ไบลัมเท่านั้น สำหรับพวกเรา การตายของสมาชิกในครอบครัวมิได้หมายความว่า สายสัมพันธ์จะสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ก่อนนำศพไปฝัง พวกเราจะนำกระดูกของพวกเขาออกมาก่อนบางส่วน ใช้มันเป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้านเพื่อแสดงให้เห็นว่า คนตายยังอยู่ร่วมกับคนเป็น… ส่วนจะเป็นกระดูกส่วนใดนั้น นักบวชในพิธีจะเป็นคนเลือก โดยมากมักเป็นกะโหลกศีรษะเพราะเป็นส่วนที่ดีที่สุดและแสดงเอกลักษณ์ของคนตาย… ในบางครอบครัว พวกเขาจะใช้กะโหลกเป็นแก้วไวน์สำหรับต้อนรับแขกพิเศษ… มิสเตอร์ดันเตส หากการเจรจาธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น ผมอยากเชิญคุณมาที่บ้านและ เสิร์ฟไวน์เฟนิสในกะโหลกของคุณปู่เพื่อเป็นการแสดงความนับถือ”
ไคลน์เกือบเปลี่ยนสีหน้า มันพบว่าเป็นการยากเหลือเกินที่จะยอมรับประเพณีเช่นนี้
มันหัวเราะสองครั้งและเตรียมตอบรับพอเป็นพิธี แต่ทันใดนั้น ร่างหนึ่งเดินลงมาจากราวบันไดสีทอง
อีกฝ่ายไม่ใส่หมวก สวมชุดทหารสีดำ กระดุมสีทองระยิบระยับ สายคาดเอวสีแดงราวกับเลือด
ผิวหนังสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้าอวบอิ่ม อวัยวะบนใบหน้าคล้ายกับมากระจุกอยู่ตรงกลาง ส่งผลให้ใบหน้าดูใหญ่กว่าปรกติ
ไคลน์ที่รวบรวมข้อมูลมาจากหลายช่องทาง ทราบในทันทีว่าอีกฝ่ายคือผู้ปกครองที่แท้จริงของแคว้นเหนือแห่งไบลัมตะวันตก เมซันเญส ชายผู้เรียกตัวเองว่านายพล
ภายนอกอาจดูเหมือนมันเอนเอียงไปมาระหว่างโลเอ็น อินทิส ฟุซัค เฟเนพ็อต และกองกำลังต่อต้านอีกหลายแห่ง แต่ในความเป็นจริง มันได้รับการสนับสนุนอย่างลับๆ จากราชวงศ์ในนิกายวิญญาณ
พร้อมกันนั้น ไคลน์สงสัยว่า นายพลพื้นเมืองรายนี้อาจสร้างความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับโบสถ์ปัญญาความรู้
ส่วนความแข็งแกร่งของเมซันเญสนั้น ไม่ว่าจะ ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่าหรือ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียา ต่างระบุตรงกันว่าเป็นผู้วิเศษลำดับ 5 แต่จะเป็นเส้นทางใดนั้น ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด เพราะถึงจะแสดงพลังพิเศษในขอบเขตของความตายและวิญญาณบ่อยครั้ง แต่ก็มีรายงานว่าเมซันเญสพกพาสมบัติวิเศษของเส้นทางมรณา
“ทิวาสวัสดิ์ครับ ท่านนายพล” ไคลน์ถอดหมวก วางมือลงบนหน้าอกซ้ายและทักทาย
ทันใดนั้น มันรู้สึกว่ามีดวงตาที่ไม่ทราบตำแหน่งแน่ชัด กำลังจ้องมองมาทางตน ไม่ว่าจะเป็นแสงระยิบระยับบนเทวทูตสีทอง หรือแสงแดดที่สะท้อนผ่านกระจกหลากสี หรือแสงที่สะท้อนจากผิวหินอ่อน
“สวัสดี มิสเตอร์ดันเตส” เมซันเญสตอบเป็นภาษาตูทาน
แน่นอน ไคลน์ที่ได้รับทักษะทางภาษาตูทานผ่านหุ่นเชิด ย่อมเข้าใจความหมาย แต่สำหรับทวีปใต้ ยิ่งอยู่ในไบลัมนานเท่าไรก็ยิ่งพบว่าภาษาตูทานและฟุซัคโบราณมีรากศัพท์คล้ายกัน
แม้ทั้งสองภาษาจะมีระบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ยากจะเรียนให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่หากเป็นการสนทนาพื้นฐาน ก็ยังมีบางจุดที่สามารถใช้ร่วมกันได้
สิ่งเดียวที่ไคลน์มั่นใจก็ได้ ต้นตระกูลภาษาตูทานไม่ใช่ภาษาคนยักษ์แน่นอน
มันแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกถึงดวงตาที่จ้องมอง เพียงสนทนากับเมซันเญสอย่างเป็นธรรมชาติ จนกระทั่งอีกฝ่ายริเริ่มเข้าประเด็นเกี่ยวกับการค้าอาวุธ
“คุณมีสินค้าทั้งหมดเท่าไร?”
ไคลน์ตอบพลางยิ้ม
“ติดอาวุธให้กองทัพราวสามถึงสี่พันคนได้สบาย และยังมีปืนใหญ่อีกจำนวนหนึ่ง”
เมซันเญสเงียบงันสักพัก
“ราคา?”
ไคลน์แสร้งนึกสักพักก่อนจะตอบ
“หากคุณอยากให้ผมนำสินค้ามาส่งถึงแคว้นเหนือ ราคาคือห้าหมื่นปอนด์ถ้วน แต่ถ้าคุณส่งคนของคุณไปรับอาวุธพร้อมกับผม คอยคุ้มกันระหว่างการขนส่ง ราคาจะเหลือเพียงสี่หมื่นปอนด์ถ้วน”
เมซันเญสครุ่นคิดสักพัก
“อย่างหลัง… คุณรับเงินมัดจำไปก่อน พาคนของผมไปรับของ จนกระทั่งพวกเขาย้ายสินค้ามาใส่รถของพวกเราเสร็จ คนของผมจะจ่ายที่เหลือให้”
มันเว้นวรรคก่อนจะเสริม
“แต่ผมไม่มีทองปอนด์โลเอ็นมากขนาดนั้น”
ไม่มีทุนสำรองเงินตราต่างอาณาจักรเลยหรือ… ไคลน์มองไปรอบตัว ยิ้มหน้านิ่ง
“คุณจะจ่ายผมเป็นเหรียญทองก็ได้ หรือแม้กระทั่งทองคำแห่งและอิฐทอง”
เมซันเญสเป็นคนเด็ดขาด ไม่พร่ำเพ้อให้มากความ เพียงพยักหน้ารับและตอบ
“เป็นอันตกลง พรุ่งนี้ผมจะให้แฮกกิสพาคนไปหาคุณพร้อมเงิน”
ไม่เลว… ชอบทำธุรกิจกับคนประเภทนี้จัง พวกไม่มัวต่อรอง… ไคลน์โล่งใจในตอนต้น ก่อนจะเริ่มฉุกคิดว่าราคาของตนต่ำเกินไปหรือไม่
จนกระทั่งไคลน์เดินทางออกจากคฤหาสน์ของนายพล เมซันเญสเงยหน้าขึ้นพร้อมกับกล่าวไปทางสุดปลายบันไดวน
“ท่านลูก้า นี่คือคนที่ท่านกำลังรอคอย?”
ณ ชั้นบนสุดของบันไดที่วิจิตรงดงาม ร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
เป็นชายชราสวมผ้าคลุมสีขาวที่ทอด้วยไหมทองเหลือง ผมสีขาวโพลน แต่ถูกตกแห่งอย่างเรียบร้อย ดวงตาสีเทาอมเขียวลุ่มลึกจนราวกับไร้ก้นบึ้ง
มันตอบด้วยทำนองเชื่องช้า
“ยังยืนยันไม่ได้ แม้คำทำนายของผมจะบอกว่า ภายในสองวันนี้ ผมจะได้พบกับคนที่สามารถแก้ปัญหาที่น่าหนักอกหนักใจในอนาคต แต่ชายคนเมื่อครู่ดูธรรมดาเกินไป หากไม่นับเรื่องที่เป็นผู้วิเศษก็ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น… แน่นอน ผมยังไม่ทราบตื้นลึกหนาบาง อาจมีบุคคลเบื้องหลังเขาที่มีระดับไม่ด้อยไปกว่าผม”
กล่าวถึงตรงนี้ มันเดินลงอย่างเชื่องช้า ผ่านไปสองสามวินาทีจึงพูดต่อ
“ผมจะลองใช้ความฝัน ดูว่าจะค้นพบอะไรเพิ่มเติมบ้างไหม”
“ต้องการห้องพิเศษไหมครับ?” เมซันเญสถามอย่างสุภาพ
ลูก้าส่ายหน้า
“ผมจะใช้ห้องนั่งเล่นข้างๆ … อา… ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคืออีกสี่ชั่วโมงถัดไป อย่ารบกวนผมก่อนหน้านั้น”
มันเดินเข้าไปในห้อง นั่งลงและเอนหลังพิงโซฟา หลับตาพักผ่อนร่างกายอย่างสงบ
รอจนกระทั่งมืด ชายชราเข้าสู่ภาวะหลับลึก
ภายในความฝัน มันพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในห้องโถงชั้นแรกของคฤหาสน์นายพล ใกล้กับทางเข้าและบันไดวนขนาดใหญ่ ข้างๆ เป็นเมซันเญส แฮกกิส และองครักษ์อีกหลายคน
ชายวัยกลางคนนามว่าดอน·ดันเตสยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ยกมุมปากขึ้นกะทันหัน ฉีกยิ้มกว้าง
เปลวไฟพลันสว่างวาบ ก่อนที่ไพ่ใบหนึ่งจะหล่นลงมาจากด้านบน
ดวงตาสีเทาอมเขียวของลูก้าหรี่ลงทันที เนื่องจากร่างของดอน·ดันเตสนัยน์กำลังจมลงในความมืดที่แปลกประหลาด
ชายชราในชุดคลุมสีขาวรีบกางแขนออก เกิดเป็นวังวนระหว่างหน้าอกและหน้าท้อง
วังวนดังกล่าวขยายตัวและกลืนกินดอน·ดันเตส
ยังไม่ทันที่ลูก้าจะได้ยืนยันสถานการณ์ มันสัมผัสถึงบางสิ่ง จึงรีบมองไปด้านข้างและเห็นใบหน้าของเมซันเญสกำลังยุบพอง ร่างกายยืดขึ้น ก่อนจะกลายเป็นดอน·ดันเตสอีกหนึ่งคน
แทบจะในเวลาเดียวกัน แฮกกิสและองครักษ์ทั้งหมดรอบๆ พลันกลายเป็นดอน·ดันเตสเหมือนกันหมด สายตาทุกคู่จดจ้องมายังลูก้าเป็นทางเดียว!
ลูก้าสะดุ้งตื่นต่อหน้าเมซันเญสที่เข้ามาได้สักพักแล้ว มันชะงักอยู่ราวสองวินาที ก่อนจะเปิดปากพูด
“ผมต้องไปพบสุภาพบุรุษคนนั้นด้วยตัวเอง… ต้องพบกับครึ่งเทพที่อยู่เบื้องหลังเขา”
กล่าวยังไม่ทันจนประโยค มันหันหน้าไปทางหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้น ไฟถนนพลันดับมืด พระจันทร์สีแดงส่องแสงราวกับเลือดสดอย่างน่าประหลาด
จันทราโลหิตอีกครั้ง!
…
โชคดีที่มีมิสเตอร์ฟูล… จันทราโลหิตปีนี้มาบ่อยเกินไปไหม? ครั้งล่าสุดเพิ่งสองเดือนที่แล้วเอง… ไม่มีเวลาให้เตรียมตัวเลยสักนิด! ฟอร์สพลิกตัวนั่งเช็ดเหงื่อเย็นๆ พึมพำบางคำคนเดียว
เธอมาถึงเมืองเล็กๆ ชายขอบป่าเดแลร์และเช็กอินเข้าพักในโรงแรม เช่าร่วมกับซิล เตรียมสืบข่าวเบื้องต้นเกี่ยวกับปราสาทร้างในวันพรุ่งนี้ ใครจะไปคิดว่าขณะกำลังจะพักผ่อน ปรากฏการณ์จันทราโลหิตดันเกิดขึ้นกะทันหัน
ทันใดนั้น คล้ายกับฉุกคิดบางสิ่งได้ หญิงสาวหันไปมองข้างๆ
ซิลที่รบเร้าให้เข้านอนเร็ว ตื่นมาตอนไหนไม่มีใครทราบ กำลังจ้องฟอร์สด้วยดวงตากระจ่างใส