ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ตอนที่ 990
ราชันเร้นลับ 990 : ความกลัวจากภายใน
แทบจะในพริบตา เลียวนาร์ดกวาดตาไปรอบๆ และพบว่าไม่มีสมาชิกชุมนุมทาโรต์คนใดที่ประหลาดใจ ทั้งหมดกำลังตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง
พวกเขารู้มานานแล้ว? นั่นสินะ เราเพิ่งเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์เป็นหนที่สอง มีหลายเรื่องที่ยังตกข่าว… รวมถึงความลับอีกไม่น้อย… เลียวนาร์ดถอนสายตากลับ นั่งในท่าเดิม
‘จัสติส’ ออเดรย์เว้นวรรคเล็กน้อย ชำเลืองไปทางจัดจ์เมนต์ที่อยู่ห่างออกไปสองเก้าอี้ ก่อนจะหันไปมองมิสเตอร์แฮงแมนและเล่าต่อ
“เขาพยายามโน้มน้าวทางจิต บอกให้ฉันแอบติดต่อกับขุนนางต่างๆ และไต่ถามแนวคิดทางการเมืองที่แท้จริงของคนเหล่านั้น คอยรายงานให้เขาทราบเป็นระยะ… โชคดีที่มีพรจากเทวทูตของมิสเตอร์ฟูล ดิฉันจึงไม่ถูกโน้มน้าว… ควรทำยังไงต่อไปดี?”
มีเทวทูตคอยอำนวยพรด้วยหรือ? เลียวนาร์ดมองไปรอบๆ ด้วยสายตาประหลาดใจ แต่ก็ยังไม่พบว่ามีสมาชิกคนใดแปลกใจ
แน่นอน มันมิได้ตกใจเรื่องที่มิสเตอร์ฟูลมีเทวทูตในอาณัติ เพราะอย่างน้อย ‘กงสุลมรณะ’ ก็ใช่แล้วหนึ่ง
แต่มันแปลกใจเรื่องที่ ดูเหมือนว่าสมาชิกของชุมนุมทาโรต์สามารถสวดวิงวอนและขอรับพรได้บ่อยครั้งจนเกือบจะเป็นเรื่องปรกติ และตนจำเป็นต้องมององค์กรลับแห่งนี้ใหม่
ขณะเดียวกัน ‘จัดจ์เมนต์’ ซิล เข้าใจสองสามคำอย่างลึกซึ้ง
ขุนนาง… สมาคมแปรจิต…
เมื่อผนวกเข้ากับผมสีทอง ดวงตาสีเขียวของมิสจัสติส เธอนึกถึงเพื่อนคนหนึ่ง:
ออเดรย์·ฮอลล์!
อย่างไรก็ตาม ซิลไม่รีบฟันธง เพราะสำหรับตระกูลขุนนางโลเอ็น ผมสีทองหรือสีดำ ตาสีเขียวหรือสีฟ้า เป็นเอกลักษณ์ที่สามารถพบได้บ่อย แค่มีการสลับองค์ประกอบ นอกจากนั้น เธอยังไม่แน่ใจว่าสมาคมแปรจิตมีสมาชิกแทรกซึมในตระกูลขุนนางมากน้อยแค่ไหน จึงไม่อยากด่วนสรุป ไม่กล้าชี้เป้าไปที่ออเดรย์
ขณะซิลพยายามสังเกตเพิ่มเติม แฮงแมนเป็นฝ่ายพูด
“คุณไม่จำเป็นต้องกังวลมากไปนัก เหล่าโบสถ์จารีตล้วนให้ความสำคัญกับสาวกที่มีฐานะ ยิ่งสถานะทางสังคมสูง ก็ยิ่งได้รับการป้องกันที่แน่นหนา ยากจะถูกลอบสังหารหรือสะกดจิต พวกเขาสั่งสมประสบการณ์ในโลกผู้วิเศษยาวนานนับพันปี ไม่เปราะบางขนาดปล่อยให้ถูกทำลายง่ายๆ … ลองคิดดูให้ดี หากสมาคมแปรจิตสามารถสะกดจิตขุนนางใหญ่ได้ง่ายดายจริง ผู้ที่ปกครองอาณาจักรก็คงไม่ใช่ราชวงศ์ปัจจุบันและสามโบสถ์จารีต… อา… จากที่คุณเล่า เฮอร์วิน·แรมบิสแค่ขอให้คุณคอยสังเกตทัศนคติทางการเมืองของขุนนาง นั่นหมายความว่ามันระวังตัวมาก ไม่กล้าลงมือผลีผลาม เพราะไม่อยากทิ้งเบาะแสโดยไม่จำเป็น… นอกจากนั้น เนื่องจากตัวคุณไม่ใช่นักการเมืองใหญ่หรือผู้มีอิทธิพลคนสำคัญ ทางโบสถ์จึงมิได้ส่งคนมาคอยคุ้มกันเป็นพิเศษ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเฮอร์วิน·แรมบิสถึงเล็งคุณเป็นเป้าหมาย”
มิสเตอร์แฮงแมนวิเคราะห์ได้แตกฉานมาก… แม้ว่าเขาจะเคยสอนเดอะซันน้อยและคนอื่นๆ แต่ทุกครั้งก็จะแฝงไว้ด้วยผลประโยชน์บางอย่างเสมอ เช่นการหลอกถามข้อมูล ทว่า ในคราวนี้กลับไม่มีแบบนั้นเลย… หืม… ข้อเสนอแนะในปฏิบัติการสั่งสอนก็เช่นกัน เขาไม่ได้อะไรเลย… เมื่อลองคิดดูให้ดี คล้ายกับเขาค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวเงอมานานแล้ว เมื่อก่อนอาจไม่ชัดเจนจนเราเผลอมองข้ามไป… ‘จัสติส’ ออเดรย์ยังคงมีความเป็นมืออาชีพ พยายามวิเคราะห์สภาพจิตใจของแฮงแมน
ในไม่ช้า เธอคาดเดาบางสิ่ง เริ่มสงสัยว่ามิสเตอร์แฮงแมนพยายามเปลี่ยนสถานะของตนในชุมนุมทาโรต์!
นับตั้งแต่มาดามเฮอร์มิทเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์และแสดงให้เห็นถึงช่องทางและทรัพยากรในทะเล มิสเตอร์แฮงแมนก็ค่อยๆ เปลี่ยนจุดยืนโดยไม่รู้ตัว เพื่อให้ตัวเองแตกต่างจากอีกฝ่าย… ก่อนที่ ‘ช่างฝีมือ’ จะเกิดปัญหา การเปลี่ยนแปลงนี้ยังไม่ชัดเจน กระทั่งเจ้าตัวก็ยังไม่รู้สึกตัว… จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ คล้ายกับเขาเพิ่งเริ่มเข้าใจตัวเอง… อา… เพื่อจะรักษาจุดยืนในชุมนุมทาโรต์ ในแง่หนึ่ง เขาพยายามเพิ่มลำดับพลัง และในอีกแง่หนึ่ง เขาพยายามทำตัวเป็นพี่ใหญ่ที่คอยให้คำปรึกษา… ออเดรย์คิดเรื่อยเปื่อยสักพัก ก่อนจะหันเหความสนใจกลับไปยังหัวข้อเมื่อครู่
หญิงสาวครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวเสียงขรึมโดยไม่รู้ตัว
“คุณกำลังจะบอกว่า โบสถ์จารีตต่างส่งคนมาคอยคุ้มกันและเฝ้าจับตามองขุนนางระดับสูง?”
สำหรับเรื่องนี้ เธอเคยคิดหาคำตอบขณะอยู่ที่สำนักงานกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา
ออเดรย์เคยเป็นกังวลมากเสียจน วาดภาพบางอย่างออกมาโดยไม่รู้ตัว!
ในเชิงจิตวิทยา สัญลักษณ์ที่ถูกวาดออกมาในสถานะดังกล่าว มักไม่ชัดเจนหรือเฉพาะเจาะจง แต่เป็นสัญลักษณ์นามธรรมอย่าง ‘ดวงตาที่เย็นชา’ และสามารถตีความได้ว่า เธอกำลังหวาดกลัวเกี่ยวกับเรื่องที่ครอบครัวอาจถูกเฝ้าจับตามองและชักใยโดยใครบางคน
เมื่อผนวกภาพวาดที่เกิดขึ้นขณะเหม่อลอยเข้ากับเรื่องที่เฮอร์วิน·แรมบิสพยายามโน้มน้าวทางจิต รวมถึงเรื่องที่อาร์ชบิชอปของเบ็คลันด์คอยนำพิธีมิสซาใหญ่ที่ครอบครัวเธอเข้าร่วม ออเดรย์สามารถตีความออกมาได้ว่า ไม่เพียงเธอจะกังวลว่าครอบครัวอาจถูกสมาคมแปรจิตครอบงำ แต่ยังคลางแคลงไปถึงว่า บางที ศาสนาจารีตอาจใช้วิธีโน้มน้าวทางจิตเพื่อหลอกให้สาวกศรัทธาในเทพของพวกตน
สำหรับออเดรย์ที่ถูกปลูกฝังให้เคร่งศาสนามาตั้งแต่ยังเล็ก ความคิดเช่นนี้เทียบเท่ากับการดูหมิ่นและต่อต้าน ส่งผลให้ตัวเธอในเวลานั้นเครียดมาก ต้องรีบเผาทำลายภาพดังกล่าว
ได้ยินคำถามมิสจัสติส แฮงแมนเย้ยหยัน
“นั่นเป็นเรื่องปรกติอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ในสังคมมนุษย์ คนเราต้องถูกเฝ้าจับตามอง ควบคุม และชักนำไม่มากก็น้อยทั้งนั้น… ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณกลับ แต่ลองคิดดูให้ดี ขุนนางที่ใช้ตำแหน่งและอำนาจในมือควบคุมผู้อื่น เฝ้าจับตามองผู้อื่น และโน้มน้าวผู้อื่นด้วยเงิน… ฝ่ายหนึ่งทำด้วยพลังพิเศษ อีกฝ่ายหนึ่งทำด้วยเงินทองและอำนาจ สองฝ่ายนี้ต่างกันตรงไหน? ความแตกต่างเดียวก็คือ คนที่ถูกเงินและอำนาจกดขี่ อย่างน้อยก็รู้ว่าตัวเองไม่เต็มใจ แต่ไม่มีทางเลือก ส่วนเหยื่อที่ถูกโน้มน้าวทางจิต ไม่มีวันรู้ตัวว่านั่นไม่ใช่ความคิดของตน”
ออเดรย์พยักหน้า
“ดิฉันเข้าใจ… การสูญเสียอิสรภาพทางจิตใจและความคิด คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด”
แฮงแมนอัลเจอร์ยิ้ม
“คนเราจะมีอิสระทางความคิดและจิตใจจริงหรือ? ทันทีที่เลือกนับถือศาสนาและศรัทธาในเทพ ความคิดก็ถูกตีกรอบไปไม่รู้เท่าไรแล้ว… อา… ดูได้จากอาณาจักรโลเอ็น สามโบสถ์หลักคอยคานอำนาจกันอย่างสมดุล โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งคือราชวงศ์… หากโบสถ์วายุสลาตันใจร้ายกับสาวกของตัวเองเกินไป พวกเขาก็จะหนีออกจากศาสนาและหันไปนับถือรัตติกาลกันหมด ดังนั้น โดยส่วนมากแล้ว ทางศาสนจักรมักโน้มน้าวสาวกของตัวเองด้วยหลักธรรมและพระคัมภีร์ มากกว่าจะใช้พลังพิเศษฝืนธรรมชาติ”
คานอำนาจอย่างสมดุล… ออเดรย์ครุ่นคิดสักพัก เธอพบว่าตัวเองเริ่มเข้าใจลักษณะของชนชั้นสูงทั่วโลกได้ในคราวเดียว สิ่งเหล่านี้ล้วนเคยผ่านตาเธอมาแล้ว เพียงแต่ไม่เคยขบคิดลึกซึ้ง
ทันใดนั้น ออเดรย์พบว่าความคิดในหลายแง่มุมของเธอเติบโตขึ้น
“ขอบคุณสำหรับคำตอบ มิสเตอร์แฮงแมน” ออเดรย์ทำความเคารพอย่างใจจริง “แล้วดิฉันจะรับมือกับเฮอร์วิน·แรมบิสได้ยังไง?”
อัลเจอร์ตอบเสียงเรียบ
“ปัญหาเกี่ยวกับเขาไม่ใช่เครื่องใหญ่ คุณสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องเสี่ยงอันตราย แค่คอยป้อนข้อมูลที่ไม่สำคัญ ส่วนความลับใหญ่ก็ปิดปากเงียบ พยายามมองหาโอกาสแลกสูตรโอสถ หรือแม้กระทั่งวัตถุดิบวิเศษ… หลังจากทำไปสักพัก คุณต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม… แน่นอน เรื่องนี้ต้องไตร่ตรองให้ดี ดยุคนีแกนคือตัวอย่างของคนที่เดินหมากพลาด”
ทันทีที่สิ้นเสียง เกอร์มัน·สแปร์โรว์ซึ่งนั่งอยู่บนสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอีกฝ่าย มองหน้ามิสจัสติสพร้อมกับเปล่งเสียงแหบแห้ง
“และเมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เฮอร์วิน·แรมบิสตายไป ก็จะไม่มีใครสงสัยคุณ”
ต่อให้เฮอร์วิน·แรมบิสตายไป… ตาย… เขาเป็นครึ่งเทพนะ… หรือว่ามิสเตอร์เวิร์ลกำลังวางแผนจะทำอะไรกับเฮอร์วิน·แรมบิส? นั่นสินะ เขากำลังติดตามคดีการฆ่าตัวตายของคารอน และยังเป็นคนบอกกับเราเรื่องตัวตนที่แท้จริงของเฮอร์วิน·แรมบิส… ดวงตาออเดรย์เบิกกว้างเล็กน้อย ภายในใจเกิดคลื่นก่อตัว
แม้ว่าเธอจะเกลียดและกลัวเฮอร์วิน·แรมบิสมากเพียงใด แต่ก็ไม่คิดเคยเรื่องการฆ่าคณะกรรมการของสมาคมแปรจิตรายนี้ เอาแต่หาวิธีหลบเลี่ยง ในแง่หนึ่ง เธอไม่ใช่คนที่มีนิสัยแบบนั้น แต่ในอีกแง่หนึ่ง เป็นเพราะอีกฝ่ายคือครึ่งเทพ
ครึ่งเทพคือตัวตนระดับยอดพีระมิดแม้แต่ในอาณาจักรหรือโบสถ์หลัก!
“ตอนนี้ดิฉันรู้แล้วว่าควรทำอย่างไร ขอบคุณมาก… ขอบคุณทุกคน” ออเดรย์ถอนหายใจแผ่ว ขอบคุณอย่างสุภาพ
ไคลน์ดุดันกว่าเดิมมาก… นั่นสินะ… เขาคิดแม้กระทั่งเรื่องที่จะกวาดล้างร่างโคลนทั้งหมดของอามุนด์ในกรุงเบ็คลันด์ กับแค่เฮอร์วิน·แรมบิสนั้นเทียบไม่ติด… ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดชำเลืองไปทาง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยอารมณ์ซับซ้อน
แคทลียาและคนที่เหลือยังคงปิดปากเงียบ
หลังจากจบหัวข้อสมาคมแปรจิต ไคลน์บังคับให้ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์หันไปทางสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวฝั่งบน
“เรียนมิสเตอร์ฟูที่เคารพ ผมต้องการสนทนากับมิสเตอร์สตาร์ตามลำพัง”
ไคลน์ไม่อยากให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์ทราบเกี่ยวกับแผนการกำจัดร่างโคลนของอามุนด์ การทำแบบนั้นอาจทำให้ความลับรั่วไหล และพวกตนจะกลายเป็นเหยื่อของอามุนด์เสียเอง
“ไม่มีปัญหา” เดอะฟูลไม่ปฏิเสธคำขอ
หลังจากเลียวนาร์ดเรียนรู้ว่าสามารถทำแบบนี้ได้ มันเริ่มเล่าประเด็นสำคัญ บอกคำตอบของชายชราพาลีส·โซโรอาสเตอร์ รวมถึงปัญหาที่หนอนกาลเวลาจะสูญเสียตะกอนพลังและกลับคืนสู่ร่างต้น
บทสนทนาดังกล่าวทำให้ไคลน์เข้าใจวิธีการนำ ‘หนอนวิญญาณ’ ไปสร้างคาถาหรือกระสุนทันที
แค่แบ่งออกมาและฆ่าพวกมัน จากนั้นก็รอให้ตะกอนพลังกลับคืนสู่ร่างต้น ส่วนซากหนอนสามารถนำไปใช้ประกอบพิธีกรรมได้เหมือนกับหนอนกาลเวลา!
ปัญหาก็คือ การฆ่าหนอนวิญญาณจะหมายถึงการทำร้ายตัวเราเอง เพราะท้ายที่สุด ทุกตัวถูกแบ่งโดยใช้เศษเสี้ยวร่างวิญญาณของเราเป็นสื่อกลาง… อา… คงต้องควบคุมปริมาณในแต่ละครั้ง จากนั้นก็รอให้ร่างกายฟื้นตัวค่อยทำใหม่… ไคลน์บังคับให้ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ครุ่นคิดก่อนจะตอบ
“ผมจะรีบยืนยันเกี่ยวกับพรแห่งการปกปิดโดยเร็ว… ถ้าไม่มีปัญหา เราค่อยมารวบรวมสมบัติปิดผนึกระดับครึ่งเทพของเส้นทางนักจารกรรม… แน่นอน ผมจะหาวิธีตรวจสอบการถูก ‘ปลูกถ่าย’ ชะตากรรมด้วย”
สำหรับตอนนี้ ไคลน์ยังไม่แน่ใจว่า ‘การมอง’ จากมิติเหนือสายหมอกลงไป จะช่วยให้มองเห็นความจริงของชะตากรรมหรือไม่ เหมือนกับเหตุการณ์ที่มันเคยเห็น ‘ปรสิต’ อามุนด์สิงร่างเดอะซันน้อย จึงตัดสินใจจะใช้นกกระเรียนกระดาษเพื่อปรึกษาวิล·อัสติน รับฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
“ตกลง” เลียวนาร์ดพึมพำในใจเล็กน้อย: ถ้าการหาสมบัติปิดผนึกระดับครึ่งเทพของเส้นทางนักจารกรรมมันง่ายนัก ป่านนี้ตาแก่คงฟื้นฟูร่างกายหายเป็นปรกติแล้ว
……………………………………..