ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ตอนที่ 999
ราชันเร้นลับ 999 : กระตุ้น
เฝ้ามองเออร์เนสขึ้นรถม้าและจากไป นักล่าเงินรางวัลหลายคนที่ซ่อนอยู่ใกล้ๆ เดินออกมาทันที บ้างไม่สนใจต้นทุนภารกิจ รีบโบกรถม้าไล่ตามทันที บ้างจดจำเอกลักษณ์ของรถม้าเป้าหมาย วางแผนอ้อมไปดักด้านหน้า บ้างปั่นจักรยานที่เตรียมไว้ สั่นกริ่งเสียงดังแหวกทางผ่านกลุ่มผู้คน
จากบรรดาทั้งหมด มีเพียงซิลคนเดียวที่ยังเยือกเย็น เฝ้ามองเพื่อนร่วมอาชีพหลายคนจากไป
การเดินทางด้วยจักรยานมีประโยชน์มากกว่าที่คิด เข้าใจแล้วว่าทำไมนักล่าค่าหัวจำนวนมากถึงยอมซื้อเพื่อประหยัดค่ารถม้า รวมทั้งไม่เสียเวลาเดิน… และถ้าได้ทำภารกิจแกะรอยที่คล้ายคลึงกันอย่างต่อเนื่อง การจะเก็บเงินซื้อจักรยานรุ่นใหม่ก็ไม่ใช่เรื่อง… แต่ปัญหาเดียวก็คือ ปัจจุบันยังมีพาหนะชนิดนี้อยู่แค่ไม่กี่แบบ ทั้งหมดเป็นรุ่นเบาะสูง… ซิวครุ่นคิดหลายสิ่ง
ทันใดนั้น รถม้ารางวิ่งตรงมาจากทางแยก หยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว
ดูเหมือนว่าซิลจะกำลังยืนอยู่ตรงป้าย
ชำเลืองมองรถม้าสองชั้นที่จอดบนรางเหล็ก ซิลล้วงหยิบเหรียญทองแดงหนึ่งเพนนี เดินขึ้นไปหาและที่นั่งริมหน้าต่าง
รถม้าประเภทนี้สามารถบรรทุกคนได้เกือบห้าสิบรวมชั้นบนและล่าง ช่วงเวลานี้ผู้คนยังไม่พลุกพล่าน ช่วยให้ซิลสำรวจทัศนียภาพอย่างไม่อึดอัด
แต่หญิงสาวมิได้ดื่มด่ำไปกับวิวทิวทัศน์ ภายในหัวกำลังร่างภาพเป้าหมาย:
ผมสีน้ำตาล ดวงตาสีแดง โครงหน้าชัดลึก จมูกโด่งเป็นสันจนดูเหมือนผิดรูป ในมือถืออัลบัมภาพสีน้ำมัน
อาศัยความช่วยเหลือจากพลัง ‘เจ้าพนักงาน’ ประกอบกับการที่ระยะห่างไม่ไกลเกินไป ซิลสามารถจับตำแหน่งปัจจุบันของเป้าหมาย รวมถึงทิศทางที่อีกฝ่ายกำลังมุ่งหน้าไปอย่างคลุมเครือ
ส่งผลให้หญิงสาวใจเย็นอย่างมาก กระทั่งถอดหมวกแก๊ปออกและใช้เงาสะท้อนจากหน้าต่างสางผมสีทองที่แข็งกระด้างเล็กน้อย
หลังจากผ่านไปหลายป้าย ซิลลุกขึ้นและเดินลงจากรถ
ที่นี่คือย่านสะพานเบ็คลันด์ ดูเหมือนว่าเป้าหมายของเธอจะเปลี่ยนเส้นทาง เตรียมขึ้นสะพาน
ซิลเร่งฝีเท้าทันที วางแผนใช้เส้นทางด้านหน้าอ้อมไปยังถนนอีกเส้น ขึ้นรถม้าไปทางทิศใต้ของแม่น้ำทัสซอค
โชคของเธอยังดีอยู่ ทันทีที่มาถึงป้าย รถม้าสาธารณะก็ขับผ่านมาพอดี
ซิลถอนหายใจโล่งอก หยิบเศษเงินที่เตรียมไว้ออกมา ภายในใจนึกอยากซื้อจักรยานมากกว่าเดิม
รถม้าสาธารณะคันนี้หนาแน่นเป็นพิเศษ แต่ซิลอาศัยพลังข่มขวัญของผู้ตัดสิน แหวกผ่านฝูงชนอย่างง่ายดายจนกระทั่งขึ้นชั้นสองและหาที่นั่ง
เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ซิลมองออกไปด้านนอกอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่ทันใดนั้น ดวงตาหญิงสาวพลันแข็งทื่อ
เธอเห็นเชอร์แมนที่ไม่ได้เห็นนานมากแล้ว!
ชายที่คิดว่าตัวเองเป็นหญิงคนนี้ กำลังถือถุงกระดาษที่บรรจุขนมปังยาวหลายก้อน รวมถึงหนังสือพิมพ์ปึกหนึ่ง เดินเข้าซอยที่คับแคบ
ผมสีน้ำตาลที่เคยยาวประบ่า ปัจจุบันยาวขึ้นมาก กางเกงสีเทาลายทางค่อนข้างรัดรูป
แม้ว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวและหายไปในพริบตา ชนิดที่คนทั่วไปมิอาจจำแนกออก แต่สำหรับซิลที่เป็นเจ้าพนักงาน ง่ายมากที่จะยืนยันในสิ่งนี้
เชอร์แมนเลิกเช่าห้องที่ฝั่งตะวันออก และย้ายมาอยู่แถวนี้แทน? เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงสบายดี และตนยังติดภารกิจสะกดรอย ซิลข่มใจไม่ให้กระโดดลงไปไถ่ถามสถานการณ์อีกฝ่าย
…
ในสภาพถือถุงกระดาษที่บรรจุขนมปังยาวหลายก้อนและปึกหนังสือพิมพ์ เชอร์แมนเดินไปตามตรอกซอกซอยของถนน อ้อมเป็นเวลานาน ก่อนจะเข้าไปในหอพักหลังหนึ่ง เดินไปตามบันไดแคบๆ จนถึงชั้นสาม หยิบกุญแจออกมาไขประตูห้อง
ดูเหมือนว่าเธอจะมีทักษะในการต่อต้านการสะกดรอยที่ไม่เลว
ท่ามกลางเสียงประตูเสียดสีและเปิดออก ดวงตาเชอร์แมนส่องประกายเมื่อได้เห็นสตรีสวมชุดดำ
สตรีผู้นี้มีใบหน้าอ่อนหวานและอ่อนโยน ท่าทางสงบเสงี่ยมสงวนกิริยา แม้จะยืนริมหน้าต่าง บดบังแสงแดดจนบรรยากาศรอบข้างดูมืดมน แต่คล้ายกับร่างของเธอกำลังถูกเคลือบด้วยชั้นทองคำ ทั้งศักดิ์สิทธิ์และสง่างามเหนือคำบรรยาย
“คุณมาที่นี่ทำไม” เชอร์แมนจ้องอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ สำรวจขึ้นลงอย่างมิอาจควบคุม
ลูกกระเดือกที่ลำคอขยับเล็กน้อย กลืนน้ำลายหนึ่งอึก
วินาทีถัดมา มันเบือนหน้าหนีด้วยความเด็ดขาด มองไปด้านข้าง คล้ายกับไม่กล้ามองตรงๆ
“มาดาม… ทริสซี่…” เชอร์แมนทักทายตะกุกตะกัก
รอยยิ้มของทริสซี่ค่อยๆ เบ่งบาน ห้องที่มีแสงสลัวราวกับกำลังเจิดจ้า จากนั้น เธอถามด้วยเสียงเย้ายวน
“ทำไมถึงไม่กล้ามองหน้าฉัน?”
“ม…ไม่รู้เหมือนกัน ฉ…ฉันชอบผู้ชายไม่ผิดแน่ แต่ทำไมเวลาเจอคุณต้องเกิดความคิดแปลกๆ ตลอด” เชอร์แมนตอบขณะเบือนหน้าหนี
สีหน้าทริสซี่เผยอารมณ์ซับซ้อนครู่หนึ่ง ก่อนจะฉีกยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“สตรีก็สามารถชื่นชมความงามของสตรีด้วยกันได้”
เธอเว้นวรรค ตามด้วยกล่าวต่อ
“ฉันมาที่นี่เพื่อมอบหมายภารกิจ ในช่วงแรก เธอทำงานได้เร็วมาก เร็วจนฉันพึงพอใจ แต่พักหลังดูเหมือนจะชะงักไป”
ทันใดนั้น ใบหน้าเชอร์แมนเผยความกลัว ผงะถอยหลังตามสัญชาตญาณ
“ฉ…ฉันคิดว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนี้เลย”
เมื่อเห็นว่าทริสซี่ไม่โต้แย้ง คำพูดอีกชุดหนึ่งพรั่งพรูออกมาจากปากเชอร์แมน
“ฉันไม่อยากยุยงให้คนอื่นขโมย ปล้น และเข่นฆ่า… แบบนี้มันมากเกินไป มันโหดร้ายเกินไป! แม้แต่… แม้แต่ในช่วงแรกที่คุณให้ฉันลอบสังหาร นั่นก็รู้สึกว่าออกจะเกินไปสักหน่อย… แม้พวกเขาจะดุด่าฉัน ใช้กำลังทุบตีฉัน เหยียดเพศและกลั่นแกล้งเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขของตัวเอง แต่ว่า… แต่ว่าความผิดของพวกเขาก็ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
ทริสซี่ยิ้ม กล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ตอนแรกเธอไม่ได้พูดแบบนี้ เธอบอกว่าเกลียดพวกมัน อยากฆ่าพวกมันให้ตายทันทีที่ได้รับพลังพิเศษ ตัวฉันมีหน้าที่แนะนำเพียงเล็กน้อย เป็นเธอต่างหากที่วางแผนฆ่าหลายครั้งด้วยตัวเอง… ฉันยังจำได้ ภาพของเธอที่ยืนตัวสั่นและชุ่มไปด้วยเลือด แต่เผยรอยยิ้มพึงพอใจ”
ได้ยินเช่นนั้น เชอร์แมนถอยหลังอย่างมิอาจควบคุม จนกระทั่งถูกหยุดไม้ด้วยประตูที่ปิดลงตอนไหนก็มิอาจทราบได้ สองมือยกขึ้นมาปิดหน้าพลางตะโกน
“ไม่! ตอนนี้ฉันฝันร้ายทุกคืน ฝันเห็นพวกมันที่ชุ่มเลือดพยายามไล่ล่าฉัน ไล่กัดฉัน…”
ตุ้บ! ถุงกระดาษตกพื้น ขนมปังยาวหลายก้อนหล่นกระจัดกระจาย กองหนังสือพิมพ์หล่นลงข้างๆ
“นั่นเป็นเรื่องปรกติ” ทริสซี่ตัดบทคำพูดของเชอร์แมนด้วยสีหน้าเยือกเย็น “นี่คือขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงในเชิงจิตวิทยา นักฆ่าทุกคนต้องเผชิญอย่างมิอาจเลี่ยง… ลองคิดดูให้ดี สิ่งที่พวกมันเคยกับทำเธอ พวกมันไม่สมควรตายจริงๆ หรือ?”
“…สมควร” เชอร์แมนออกอาการลังเล
ทริสซี่หัวเราะในลำคอ
“ให้คิดเสียเวลา ตัวเธอที่ถูกรังแกมาตลอด ตัดสินใจขัดขืนและพลั้งมือฆ่าพวกมัน”
ในคำพูดของเธอแฝงไว้ด้วยพลังการโน้มน้าวอย่างน่าประหลาด ใครได้ยินเป็นต้องอยากทำตาม ส่งผลให้เชอร์แมนสงบลงอย่างรวดเร็ว
“เมื่อลองคิดแบบนี้… ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้ว…”
ประโยคดังกล่าวทำให้ทริสซี่เผยลักยิ้ม กล่าวด้วยเสียงขี้เล่น
“นอกจากนั้น ในยามที่มีชีวิตอยู่ พวกมันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ นับประสาอะไรกับตอนที่ตายไปแล้ว? ต่อให้มันกลายเป็นภูตผีหรือวิญญาณจริง แต่นั่นก็มิได้สลักสำคัญ ขอเพียงเธอตั้งใจประกอบ ‘พิธีกรรม’ ให้เสร็จ ดื่มโอสถอีกหนึ่งขวด เธอจะมีพลังในการแผดเผาวิญญาณพวกมันจนมอดไหม้!”
“ต…แต่ว่า ฉันทนไม่ได้ที่จะเห็นผู้คนกลายเป็นบ้า กลายเป็นคนเลวภายใต้การกระตุ้นของฉัน” ดูเหมือนเชอร์แมนยังคงลังเลที่จะลงมือ
ทริสซีขดริมฝีปากเล็กน้อยจนเกือบมองไม่เห็น กล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ความคิดชั่วร้ายเหล่านั้นคือจิตใต้สำนึกในใจพวกมัน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ ต่อให้เธอไม่ได้กระตุ้น แต่ความคิดเหล่านั้นก็จะระเบิดออกมาในสักวัน… นอกจากนั้น ภารกิจทั้งหมดที่ฉันมอบหมายให้เธอล้วนเกี่ยวกับกลุ่มอันธพาล เธอไม่รู้หรือว่าพวกมันมีสันดานเป็นยังไง? การกระตุ้นให้พวกมันเข่นฆ่ากันเองภายใน นับเป็นการสร้างบุญคุณแก่ชาวเขตตะวันออกจำนวนมาก”
เชอร์แมนอ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว แต่มิได้กล่าวคำใด ปิดปากกลับไปอีกครั้ง
มันเงียบงันเป็นเวลานาน
ทริสซี่ชำเลืองเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่ว
“เธออยู่ห่างจากเป้าหมายอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น หากจัดการพิธีกรรมที่เหลือเสร็จ เธอสามารถดื่มโอสถถัดไปและกลายเป็นผู้หญิงเต็มตัว… เมื่อถึงตอนนั้น เธอสามารถใช้ชื่อเชอร์มาเน่ที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ได้… อา… ฟังดูเป็นชื่อที่ดี… หลังจากนั้นเธอก็ออกจากเบ็คลันด์ ไปอยู่ที่แคว้นเลียบทะเลหรือเดซีย์และเริ่มต้นชีวิตใหม่ ลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่… เธอจะเต็มไปด้วยความน่าหลงใหล จะถูกผู้ชายดีๆ จำนวนมากตามจีบ จงเลือกคนที่เจ้าพึงพอใจมากที่สุด จากนั้นก็เข้าสู่ร่มเงาแห่งการแต่งงาน ให้กำเนิดลูกที่น่ารัก อบรมสั่งสอนให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ พาพวกเขาไปเล่นสกีที่แคว้นเหมันต์ พักผ่อนที่อ่าวเดซีย์ ไปล่าสัตว์และเพลิดเพลินความสนุกสนานในแบบขุนนาง… เพื่อจะนำตัวตนที่แท้จริงกลับคืนมา ไม่ใช่ว่าเธอยินดีที่จะทำทุกอย่างหรอกหรือ?”
ริมฝีปากเชอร์แมนขยับสองสามหน ปิดสนิทไปพักหนึ่ง ก่อนจะอ้าอีกครั้งและกล่าว
“มาดามทริสซี่ ฉันเข้าใจแล้ว… จะทำตามที่คุณบอก”
กล่าวจบ คล้ายกับมันสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมด ร่างกายสั่นระริกและซวนเซ รีบเอื้อมมือไปจับราวแขวนผ้าหน้าห้องโดยไม่รู้ตัว
ระหว่างนี้ ดวงตาบังเอิญเหลือบไปเห็นปึกหนังสือพิมพ์บนพื้น
หนังสือพิมพ์อยู่ในสภาพคลี่ออก เผยให้เห็นหัวข้อข่าว:
“…มิสเตอร์ดอน·ดันเตส เศรษฐีจากอ่าวเดซีย์ สนใจที่จะเข้าซื้อกิจการของบริษัทเหล็กกล้าลาริวีย์ โดยมองว่ามีแนวโน้มในการพัฒนาและสามารถทำกำไรได้”
…
“นายท่านต้องการจะซื้อกิจการของบริษัทเหล็กกล้าลาริวีย์จริงหรือ?” ณ บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน บุรุษรับใช้เอ็นยูนถามขณะเดินขึ้นชั้นบน
ดอน·ดันเตสส่ายหน้าและยิ้ม
“ข่าวนี้ถูกนั่งเทียนขึ้นมาเอง เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมกับมิสเตอร์ฟิล·ลาริวีย์เพิ่งได้พบกันในงานเลี้ยงเต้นรำและพูดคุยกันเพียงเล็กน้อย”
วอลเตอร์ พ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านข้าง กล่าวอย่างโล่งอกกึ่งถอนหายใจ
“มิสเตอร์ลาริวีย์กำลังหาคนมาซื้อกิจการจริงๆ ด้วย… ตอนนี้มีคนให้ความสนใจไม่น้อย”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ข่าวนี้ถูกปล่อยออกมาเองโดยฝีมือของนักข่าวที่รับเงินจากฟิล เพื่อให้ราคาประเมินของบริษัทสูงขึ้น? ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด เดินเข้าไปในห้องกึ่งเปิดโล่งที่มีระเบียงใหญ่ เตรียมส่งตัวเองเข้าสู่หมอกสีเทา อาศัยคำสวดวิงวอนของสาวกเอ็นยูนเป็นศูนย์กลาง ตรวจสอบว่ามีความผิดปรกติเกิดขึ้นที่บ้านของเฮเซลหรือไม่
นี่คือสิ่งที่มันหาโอกาสทำเป็นประจำในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา