ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1077 : สี่ตัวเลือก
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1077 : สี่ตัวเลือก
เราอยากได้สมบัติปิดผนึกระดับนักบุญชิ้นใด? เดอร์ริค·เบเกอร์หาคำตอบให้ตัวเองตามความเคยชิน
เนื่องจากเส้นทางสุริยันสามารถรับมือสัตว์ประหลาดในความมืดได้ค่อนข้างดี แถมมันยังมีขวาน ‘เทพสายฟ้าคำราม’ ซึ่งโดดเด่นในด้านพลังทำลาย สมบัติปิดผนึกที่เดอร์ริคต้องการจึงไม่ใช่ด้านสนับสนุนหรือโจมตี และเมื่อนึกถึงเรื่องที่ต้องเจ็บตัวระหว่างการหา ‘เพื่อนใหม่’ เดอร์ริคตัดสินใจได้ว่าตนปรารถนาสมบัติปิดผนึกที่โดดเด่นด้านพลังป้องกัน
เมื่อความคิดดังกล่าวแล่นผ่าน เดอร์ริคเพิ่งได้สติและเข้าใจว่าแก่นแท้ของคำถามไม่เกี่ยวกับตน หากแต่เป็นสมบัติปิดผนึกระดับนักบุญที่จะนำไปแลกกับไม้กางเขนเจิดจรัสของมิสเตอร์ฟูล
มันลังเลสักพักก่อนจะถามตรงๆ
“ท่านเจ้าเมืองมีคำแนะนำอย่างไร?”
โคลินชำเลืองและเดินออกจากตำแหน่ง ขยับเข้าใกล้หน้าต่างพลางหันกลับมามอง
“มีสมบัติปิดผนึกสี่ชิ้นที่ค่อนข้างสอดคล้องกับคุณ… ชิ้นแรกชื่อว่า ‘ดาบแสงเงิน’ เป็นสิ่งที่หลงเหลือจากอาวุโสคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตเมื่อหนึ่งพันสามร้อยปีก่อน… ผู้ที่ถือดาบเล่มนี้จะกลบจิตสังหารได้อย่างมิดชิด สามารถแทรกแซงพลังทำนายและคำพยากรณ์ได้ในระดับสูง ได้รับพละกำลังเหนือจินตนาการและพลังแห่งแสงรุ่งอรุณสำหรับต่อกรกับสิ่งชั่วร้ายรอบๆ ตัว… ดาบเล่มนี้สามารถสร้างพายุแห่งแสงที่เปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้าง รวมถึงการสร้างบาเรียล่องหนที่ทนทานขึ้นรอบๆ ตัวผู้ถือ และหากนำไปปักดินจะช่วยเพิ่มพลังป้องกันจนยากจะถูกโค่นล้ม… สุดปลายด้ามเป็นกะโหลกที่มีหนึ่งปากและหนึ่งตา มีสัญญาณชีพ หากป้อนสมุนไพร น้ำมันสกัด หรือยาเข้าไปในปากกะโหลก ผู้ถือจะได้รับคุณสมบัติที่แตกต่างกันเช่นฟ้าผ่า แช่แข็ง ชำระล้าง เผาไหม้ เน่าเปื่อย และปัดเป่า… เงื่อนไขในการใช้งานดาบค่อนข้างยุ่งยากและเข้มงวด หากสูงไม่ถึง 1.8 เมตรก็จะไม่มีวันยกขึ้น หากสูงต่ำกว่าสองเมตรจะมิอาจใช้พลังของมันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนั้นกะโหลกที่ปลายด้ามยังพูดเก่ง มักชวนเจ้าของดาบพูดคุยตลอดเวลา และถ้าไม่มีการตอบสนอง มันก็จะไม่ให้ความร่วมมือในช่วงเวลาสำคัญ ในกรณีที่เลวร้ายก็อาจทำร้ายเจ้าของ แต่ถ้าเจ้าของดาบยอมคุยกับกะโหลก มีโอกาสสูงมากที่จะเสียสติและบ้าคลั่ง”
นี่คือสิ่งที่เราต้องการ สมบัติปิดผนึกซึ่งเด่นในด้านพลังป้องกัน… เดอร์ริคพูดกับตัวเองโดยไม่ขัดจังหวะการบรรยายของเข้าเมือง เพียงรอฟังข้อมูลของสมบัติชิ้นต่อไป
“ชิ้นที่สองก็คือ ‘หน้ากากสนธยา’ หลงเหลือมาจากเจ้าเมืองคนแรก เป็นหน้ากากที่ทำจากกะโหลกมนุษย์ สามารถเก็บซ่อนจิตสังหารและความพยาบาท ปกปิดความคิดและแนวโน้มทางพฤติกรรม เปลี่ยนให้ผู้สวมเหมือนกับคนตายที่ปราศจากสตินึกคิด… เพียงสวมหน้ากากลงไปก็จะทำให้ได้พลังที่ทัดเทียมคนยักษ์ตัวจริง รวมถึงพลังในการปกครองอันเดด… สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มองเข้าไปในดวงตาผู้สวมจะเสียชีวิตคาที่ ต่อให้เป็นครึ่งเทพก็ต้องบาดเจ็บหนัก และแม้จะไม่ได้มองเข้าไปในดวงตา แต่ถ้าถูกจ้องด้วยหน้ากากนี้ เป้าหมายจะค่อยๆ เหี่ยวเฉาราวกับขาข้างหนึ่งก้าวเข้าไปในแม่น้ำแห่งความตาย… ผู้สวมมีพลังในการสร้างพายุสนธยาอันน่าสะพรึงกลัว สิ่งใดที่ถูกแสงสนธยาปนเปื้อน ชะตากรรมคือการเน่าเปื่อย เหี่ยวแห้ง หรือเฉาตายโดยปราศจากชีวิตชีวา… การโจมตีส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่การชำระล้างจะไม่ได้ผลกับผู้สวมหน้ากากสนธยา เพราะไม่มีใครสามารถฆ่าคนที่ตายไปแล้วได้… หน้าสนธยาอันนี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก แต่ก็อันตรายไม่แพ้กัน เพราะถึงจะวางไว้เฉยๆ โดยที่ไม่แตะต้อง คนรอบข้างก็จะค่อยๆ เสียสติและตายไปอย่างกะทันหัน ดังนั้นจึงต้องถูกผนึกอย่างเหมาะสม… ไม่ว่าจะเป็นใคร หากสวมหน้ากากนี้เข้าไปก็จะได้ยินเสียงเพรียกที่ฟังดูคล้ายกับมาจากส่วนลึกของโลกแห่งความตาย เกิดความเสียหายทางจิตใจที่อาจทำให้กลายเป็นบ้า… ขณะเดียวกันถ้าสวมหน้ากากอันนี้นานเกินกว่าห้านาที ผู้สวมจะกลายเป็นทาสมันอย่างถาวร”
สมบัติปิดผนึกที่แทบจะไม่มีประโยชน์ ชะตากรรมเดียวของมันคือการถูกปิดผนึก… อา… คงมีเพียงตัวตนที่พิเศษอย่างมิสเตอร์ฟูลจึงจะสามารถมองข้ามผลข้างเคียงด้านลบของมัน… เดอร์ริคอ้าปากเล็กน้อย แต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา
โคลิน·อีเลียดนึกทบทวนสักพักก่อนจะพูดต่อ
“ชิ้นที่สามมีชื่อว่า ‘ไม้เท้าแห่งชีวิต’ สามารถควบคุมสัตว์วิเศษที่มีสติปัญญาต่ำและลดความบ้าคลั่งของพวกมันได้ในระยะเวลาสั้นๆ … นอกจากนั้นยังสามารถผสาน ‘ดวงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์’ เข้ากับวัสดุประเภทต่างๆ ด้วยพลัง ‘เสริมแกร่งชีวิต’ … พลังประเภทนี้สามารถพลิกแพลงไปใช้สร้างมนุษย์ที่มีอายุขัยสั้น สร้างตุ๊กตาสำหรับทำสงคราม รวมถึงการสร้างโกเลมหิน โกเลมดิน และโกเลมเหล็ก… สิ่งมีชีวิตชนิดใดที่ถูกไม้เท้าอันนี้ฟาดใส่ โอกาสในการเสียสติและคลุ้มคลั่งจะเพิ่มขึ้น รวมถึงทำให้ร่างกายมีโอกาสกลายพันธุ์ ตัวอย่างเช่นมีผลแตงโม เห็ด หรือข้าวสาลีงอกออกมา… แต่แน่นอน อาหารเหล่านั้นกินไม่ได้ ด้านในเต็มไปด้วยมลพิษ… สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ถูกสัมผัสด้วยหัวไม้เท้า ไม่ว่าจะบาดเจ็บสาหัสเพียงใดก็สามารถหายขาดได้ทันที ยกเว้นในกรณีที่คลุ้มคลั่งไปแล้ว… ไม้เท้าอันนี้จะทำให้พื้นที่โดยรอบเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ล้วนเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์พูนสุข สืบพันธุ์ได้รวดเร็ว… แต่น่าเสียดายที่ไม่มีผลกับดินแดนต้องสาปของเรา… ผู้ถือไม้เท้าแห่งชีวิตมีโอกาสสูงที่จะร่างกายจะเกิดการกลายพันธุ์ ยิ่งถือนานก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง การกลายพันธุ์จะส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ถูกทดแทนด้วยพืชพรรณนานาชนิด”
ฟังดูเลวร้ายชะมัด… เดอร์ริคเกิดความกลัวอย่างอธิบายไม่ได้ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถาม
“แล้วชิ้นที่สี่ล่ะครับ?”
“เป็นสิ่งที่หลงเหลือจากปีศาจที่ผมล่า… ผมตั้งชื่อมันว่า ‘ขลุ่ยแห่งการเสื่อมถอย’ … รูปลักษณ์เป็นเพียงขลุ่ยเงินธรรมดา แต่เมื่อมีคนเป่ามัน สิ่งมีชีวิตในบริเวณใกล้เคียงจะเห็นภาพหลอนโดยไม่มีข้อยกเว้น และนั่นทำให้ความโกรธ ความเศร้า ความเจ็บปวด ความโลภ ความโอหัง ความทระนงตน และอารมณ์อื่นๆ จะถูกขยายในพริบตา เกิดเป็นอาการจิตระเบิดหรือสิ้นสติในพริบตา มีโอกาสคลุ้มคลั่งคาที่… ยกเว้นผู้ถือ สิ่งมีชีวิตในบริเวณใกล้เคียงจะสูญเสียความสามารถในการคิดอย่างรวดเร็ว ง่ายต่อการก่อความผิดพลาด… ขณะเดียวกัน ผู้ถือจะมีลางสังหรณ์เฉียบคมเป็นพิเศษ ในบางก็สามารถมองเห็นอันตรายล่วงหน้าได้ถึงสองวัน… ไม่ว่าขลุ่ยแห่งการเสื่อมถอยเลานี้จะอยู่ที่ใด จิตใจของผู้คนที่นั่นจะค่อยๆ เสื่อมถอยลง ความกระหายกลายเป็นเรื่องปรกติ ศีลและศรัทธาถูกละทิ้ง และยังทำให้ผู้ถือกลายเป็นคนเย็นชาชนิดที่แก้ไขกลับเป็นปรกติไม่ได้ ยิ่งถือนานเพียงใดก็ยิ่งอยู่ในสภาพเลวร้ายมากเท่านั้น สุดท้ายจะส่งผลกระทบต่อการสวมบทบาทในเส้นทางตัวเอง จนกระทั่งลงเอยด้วยการคลุ้มคลั่ง”
อธิบายสมบัติปิดผนึกทั้งสี่ชิ้นจบ ดวงตาสีฟ้าอ่อนของโคลินซึ่งเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์และเวลา จ้องหน้าเดอร์ริคและพูด
“คุณคิดยังไงบ้าง”
“ผมขอเวลาทบทวนดูก่อนครับ” เดอร์ริคตอบอย่างชำนาญ
“ทำถูกแล้ว เพราะการเลือกครั้งนี้สำคัญมากสำหรับคุณ ห้ามบุ่มบ่ามตัดสินใจ” โคลินพยักหน้ารับ “ในอีกสามวันข้างหน้า เราจะออกเดินทางไปยังค่ายหมู่บ้านยามบ่าย ผมต้องการคำตอบก่อนออกเดินทาง แล้วอย่าลืมเผื่อเวลาสำหรับทำความคุ้นเคยกับสมบัติวิเศษชิ้นใหม่”
“ครับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคคำนับขึงขังและเดินออกจากห้อง
มันไม่รีบตรงกลับบ้านเพื่อสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล แต่แวะลานฝึกเพื่อสร้างความชำนาญด้านเวทมนตร์สุริยันที่หลากหลาย
นี่คืออุปนิสัยที่ฝังรากลึกเข้าไปในสายเลือดชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ทุกคน หากปราศจากวินัยที่ยอดเยี่ยม ก็คงยากจะอาศัยอยู่ในดินแดนทุรกันดารและเต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้
…
ย่านสะพานเบ็คลันด์ ในซอยมืด
ซิลได้พบกับชายสวมหน้ากากทองคำอีกครั้ง หรือที่ควรเรียกว่าเจ้าหน้าที่ MI9 ผู้ปรารถนาดี
“สูตรโอสถผู้พิพากษาของคุณอาจต้องรอไปอีกสักพัก” ชายสวมหน้ากากทองคำกล่าว
แม้การสืบสวนในตัวซิลจะไม่คืบหน้า แต่ก็ยังไม่จบลง
ซิลเม้มริมฝีปากพลางพยักหน้า คล้ายกับกำลังตัดสินใจบางสิ่งที่ยากลำบาก
“ฉันไม่เอาสูตรโอสถนั่นแล้ว”
“คุณ… ยอมถอดใจแล้ว?” ชายหน้ากากทองคำเผยสีหน้าประหลาดใจเจือยินดี
ซิลไม่ตอบตรงๆ เพียงหันไปด้านข้างและพูด
“ฉ…ฉันขอแลกคะแนนผลงานทั้งหมดเป็นทองปอนด์”
ได้ยินคำตอบจากปากหญิงสาว ชายสวมหน้ากากทองผงกศีรษะอย่างโล่งใจและกล่าว
“ยอดเยี่ยมมาก… ในที่สุดคุณก็คิดได้… อดีตผ่านไปแล้วก็แล้วกันไป ตัวคุณ แม่ และน้องชายจะได้มีชีวิตใหม่ที่สุขสบาย… อา… สำหรับคะแนนผลงานของคุณ หากนำไปแลกทองปอนด์จะได้ประมาณสองพันปอนด์ ผมจะช่วยผลักดันให้ได้มากกว่าเดิม… และหลังจากนี้คุณยังทำหน้าที่เป็นสายข่าววงนอกให้ MI9 ต่อไปได้ เพราะสำหรับผู้วิเศษไร้สังกัด การมีทางการคอยสนับสนุนเป็นเรื่องที่ดีกว่ามาก”
ซิลเงียบไปสักพัก ขยับริมฝีปากขึ้นลงก่อนจะพูด
“ขอบคุณมาก…”
หญิงสาวสัมผัสความจริงใจของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน คำขอบคุณของเธอจึงมาจากก้นบึ้ง
แต่ในความเป็นจริง ซิลยังไม่ยอมแพ้ เหตุผลที่เลือกทองปอนด์เพราะเธอสั่งจองสูตรโอสถผู้พิพากษากับเดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์เรียบร้อยแล้ว – แถมนักผจญภัยเสียสติรายนี้ก็ยังรับปากว่าจะจัดหาสูตรผลิตโอสถ ‘อัศวินวินัย’ ตามมาในภายหลัง
และแน่นอน การยอมแพ้ของซิลในครั้งนี้ทำให้ MI9 ลดความสงสัยในตัวเธอลงอย่างมาก
หลังจากอธิบายขั้นตอนการทำงานที่ผ่านมาเสร็จ ซิลบอกลาชายสวมหน้ากากทองคำและเดินออกจากตรอก
…
เช้าวันอังคาร เป็นอีกครั้งที่ฟอร์สออกจากบ้านแต่เช้า เดินทางมายังโรงแรมแฮททริคในเขตเชอร์วู้ดเพื่อพบอาจารย์โดเรียน·เกรย์
“นี่เป็นข้อควรระวังในการสำรวจโลกวิญญาณ และนี่คือภาพเหมือนของโบทิส” โดเรียนยกมือขึ้นมาปิดปากหาว ตามด้วยการยื่นกระดาษปึกหนาให้ฟอร์ส
ฟอร์สไม่รีบร้อนอ่านข้อมูล สิ่งแรกที่ทำคือจ้องภาพเหมือน
บนภาพเป็นชายชุดคลุมสีดำ อายุน่าจะยังไม่ถึงสี่สิบ ผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย บรรยากาศรอบตัวทำให้ผู้คนกดดันอย่างอธิบายไม่ได้ ดวงตาสีดำลุ่มลึกราวกับซุกซ่อนสิ่งต่างๆ ไว้มากมาย
นี่คือนักบุญเร้นลับสินะ… ฟอร์สถูปลายนิ้วเพื่อเผาภาพเหมือนด้วยการเสียดสีพลังวิญญาณ
“ไม่เลว… รอบคอบมาก” โดเรียนพยักหน้าชื่นชม
จากนั้นมันยกกระเป๋าเดินทางขึ้นและพูดกับฟอร์ส
“ผมต้องกลับท่าเรือพริสต์แล้ว ถ้าออกมานานเกินไปจะทำให้ถูกสงสัยเอาได้”
ฟอร์สที่ทราบว่าเบ็คลันด์กำลังอยู่ในภาวะตึงเครียดสุดขีด ไม่ต้องการให้อาจารย์ของตนแช่อยู่นาน จึงไม่มัวเหนี่ยวรั้ง ทำเพียงจ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่เดินจากไป
จากนั้นหญิงสาว ‘เปิดประตู’ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตรอกด้านหลังโรงแรม
ทันทีที่จับทิศทางได้และเลี้ยวกลับเข้าถนน เธอเห็นชายสวมชุดกันลมสีดำเดินเข้ามาใกล้
ชายคนดังกล่าวเหลือบมองเธอและถอนสายตากลับอย่างเป็นธรรมดา แต่กล้ามเนื้อหลังของฟอร์สกลับกระตุกอย่างรุนแรง
กระจกตาของเธอสะท้อนรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย:
อายุน่าจะยังไม่ถึงสี่สิบ ผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย บรรยากาศรอบตัวทำให้ผู้คนกดดันอย่างอธิบายไม่ได้ ดวงตาสีดำลุ่มลึกราวกับซุกซ่อนสิ่งต่างๆ ไว้มากมาย
………………………….