ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1113 : ผู้คุ้มกันที่ทรงพลัง
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1113 : ผู้คุ้มกันที่ทรงพลัง
อาคารสูงตระหง่านเรียงรายอย่างเงียบงันท่ามกลางแสงสนธยา ทุกสิ่งสงบนิ่งราวกับเป็นเพียงภาพเขียนสีน้ำมัน
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมดังกล่าว เดอร์ริค เบเกอร์ตึงเครียดยิ่งกว่าการสำรวจครั้งใด เส้นขนบนแผ่นหลังกำลังลุกชูชัน
หลังจากเข้าไปในดินแดนซึ่งถูกปกคลุมด้วยแสงสนธยา ทีมสำรวจทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำอย่างโคลิน·อีเลียดและอาวุโสโลเฟียร์ ต่างเผยความอ่อนเพลียและอิดโรยโดยไม่ปกปิด บางคนคล้ายกับกำลังจะถึงจุดจบของชีวิต เพราะยิ่งก้าวเดินตรงไป ไม่ว่าจะตามถนนหรือผ่านอาคาร ฝูงคนยักษ์เน่าเปื่อยก็ยิ่งทวีจำนวนและความแข็งแกร่ง
เมื่อมีฝ่ายหนึ่งอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่องและฝ่ายหนึ่งตรงกันข้าม การไปก้าวข้างหน้าก็เป็นเรื่องยาก หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือดหลายยก ในที่สุดทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์ก็ฝ่าด่าน ‘แนวป้องกัน’ ของสัตว์ประหลาดและมาถึงเขตที่เงียบสงบ ปราศจากสุ้มเสียง เงียบเชียบเสียจนหนังศีรษะกระตุกแผ่วเบา
เพื่อแก้ไขสถานการณ์ นักล่าอสูรโคลินตัดสินใจทำลายความเงียบด้วยคำเตือน
“สิ่งนี้หมายความว่า เราเข้าสู่วังราชาคนยักษ์เต็มตัวแล้ว และกำลังเข้าใกล้เขตหลัก ระดับอันตรายมีแต่จะยิ่งเพิ่มขึ้น ไม่มีลดลง”
ได้ยินคำพูดดังกล่าว สมาชิกทีมสำรวจบางคนพลันสั่นสะท้านท่ามกลางแสงสนธยา ตามความเห็นของพวกมัน แม้ว่าเขตก่อนหน้านี้จะน่ากลัวจนแทบก้าวขาไม่ออก แต่หากจำกัดสัตว์ประหลาดกลุ่มหนึ่งได้จนหมด นั่นจะหมายถึงการมีเวลาพักหายใจ แถมยังได้เก็บเกี่ยวตะกอนพลัง วัตถุดิบวิเศษ และสูตรโอสถอีกจำนวนมาก หรือกล่าวได้ว่า การสำรวจในคราวนี้กำไรแล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าไปลึกกว่าเดิม สิ่งสำคัญที่สุดในปัจจุบันคือการหาจุดสร้างค่ายเพื่อเตรียมพักแรมและสำรวจให้ลึกขึ้นในครั้งถัดไป
เมื่อเผชิญคำแนะนำดังกล่าว โคลิน อีเลียดไม่โต้เถียง เพียงแต่เน้นย้ำให้ทุกคนรับทราบตรงกันว่า จุดประสงค์ของภารกิจสำรวจคราวนี้คือการค้นคว้าข้อมูลของวังราชาคนยักษ์ให้ได้มากที่สุด และกลับไปวางแผนสำหรับการสำรวจในอนาคต
จากนั้น มันบอกให้สมาชิกทีมที่ชื่อแอนเทียน่าทำการ ‘ปลอบโยน’ ผู้ที่กำลังสั่นสะท้าน
เนื่องจากอาวุโสโลเฟียร์เองก็สนับสนุนแนวคิดของเจ้าเมือง สมาชิกทีมสำรวจบางกลุ่มจึงรีบปรับทัศนคติและยอมติดตามไปแต่โดยดี
ผ่านไปสักพัก พวกมันได้พบบันไดหินขนาดใหญ่ซึ่งมีโทนหลักเป็นสีเทาอ่อน สีส้มสว่างแซม มอบความงดงามและเงียบงัน
บันไดแต่ละขั้นสูงใหญ่มโหฬาร หากเป็นมนุษย์ปรกติ การก้าวเดินคงทำได้ยากลำบาก แต่โชคดีที่โลเฟียร์ซึ่งสูงน้อยที่สุดในทีมสำรวจ ก็ยังสูงถึงหนึ่งเมตรเก้าเซนติเมตรและสามารถใช้พลังลม
เหนือขั้นบันไดขนาดมหึมาเป็นขอบกำแพงเมืองที่สูงจนต้องแหงนหน้ามองถึงจะเห็น มีรอยไหม้และความเสียหายอยู่ประปราย ในบางจุดมีลูกธนูยักษ์ที่ใหญ่เท่าต้นไม้ ยาวหลายเมตร ปักลึกเข้าไปในกำแพงจนพังถล่ม
ใจกลางกำแพงเมืองเป็นบานประตูคู่สูงหลายสิบเมตร สีหลักเป็นเทาอ่อนและน้ำเงินเข้ม มีหมุดสีทองถูกตอกฝังอยู่ตามขอบ และยังมีองครักษ์สองตนซึ่งมอบความรู้สึกข่มขวัญข่มรุนแรงเพียงแค่จ้องมอง
พวกมันสูงราวห้าถึงหกเมตร สวมชุดเกราะเต็มอัตราศึกสีเงินที่ดูงดงามและทนทาน ตนหนึ่งถือดาบใหญ่ อีกตนถือขวานยักษ์ในท่าสับลงพื้น ด้านหลังหมวกเล็กที่ปกปิดใบหน้ามีแสงสีส้มสว่างขึ้นหนึ่งจุด ราวกับว่านั่นคือดวงตา
“อัศวินสีเงิน…” นักล่าปีศาจโคลินรีบขยับมือขวาแทงดาบไปทางด้านข้างขนานกับพื้น เป็นสัญญาณบอกให้สมาชิกทุกคนหยุด
ถัดมา มันเคลือบดาบสองเล่มที่ถืออยู่ด้วยน้ำยาต่างชนิด
อัศวินสีเงิน… เปลือกตาเดอร์ริคกระตุกแผ่วเบา หัวใจกำลังเต้นระรัว
ในระยะหลัง เด็กหนุ่มเพิ่งมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลลับบางชนิดที่แม้แต่สมาชิกระดับสูงก็ยังต้องจากปากเจ้าเมืองโดยตรง และทราบว่าลำดับสามของเส้นทางคนยักษ์มีชื่อว่าอัศวินสีเงิน แต่น่าเสียดายที่เมืองเงินพิสุทธิ์ยังไม่มีสูตรโอสถที่ถูกต้อง แม้จะมีตะกอนพลังพร้อมแล้วก็ตาม
สิ่งที่ทำให้เดอร์ริคตกตะลึงมากที่สุดก็คือ การที่องครักษ์เฝ้าประตูเขตหลักในวังราชาคนยักษ์เป็นถึงผู้วิเศษลำดับ 3 และนั่นคือลำดับที่สูงกว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองเงินพิสุทธิ์!
นี่แค่เขตประตูทางเข้า หากสำรวจลึกเข้าไป ไม่มีใครจินตนาการออกว่าจะต้องเจอกับอะไร
หลังจากตื่นตระหนก เดอร์ริคเริ่มเกิดความคาดหวังบางอย่าง
บางทีถ้าเป็นวังราชาคนยักษ์แห่งนี้ ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์อาจค้นพบสูตรโอสถเส้นทางคนยักษ์ในลำดับสูงกว่าสี่
และนั่นจะช่วยให้เจ้าเมืองกลายเป็นอัศวินสีเงิน ส่งผลให้ความแข็งแกร่งโดยรวมของเมืองเงินพิสุทธิ์สูงขึ้นมาก การสำรวจวังราชาคนยักษ์ในอนาคตก็จะง่ายขึ้น นำมาซึ่งสูตรโอสถและวัตถุดิบเพิ่มขึ้น จนกระทั่งทีมสำเร็จแข็งแกร่งพอที่จะสำรวจในส่วนลึกสุด และได้เก็บเกี่ยววัตถุดิบที่ดีที่สุดมาใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวเมือง
เดอร์ริคชำเลืองซ้ายขวาโดยไม่รู้ตัว และพบว่าโจชัว ฮาอิม แอนเทียน่า และสมาชิกคนอื่นต่างเผยภาษากายแบบเดียวกับตน แม้จะหวาดกลัวและกังวล แต่ขณะเดียวกันก็มองเห็นแสงแห่งความหวัง
ในเวลาเดียวกัน คนเลี้ยงแกะ อาวุโสโลเฟียร์เดินไปข้างหน้าสองข้าว หยุดยืนข้างโคลิน·อีเลียดและแหงนมองบานประตูสีเทาน้ำเงิน รวมถึงอัศวินสีเงินสองตนซึ่งยังยืนยันไม่ได้ว่ามีเจตนาอย่างไร
“ถ้ามีแค่ตัวเดียว พวกเราอาจล่าสำเร็จ”
ความหมายของเธอก็คือ ในเมื่อตอนนี้มีอัศวินสีเงินถึงสองตน ต่อให้ทีมสำรวจทุ่มเททุกสิ่งที่มีก็คงมิอาจโค่นศัตรูลงได้ เพราะแม้เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์จะควบคุมร่างสัตว์ในตำนานได้อย่างอิสระและสูสีกับลำดับสามแต่ถ้าพิจารณาจากสภาพแวดล้อม เกรงว่าผลลัพธ์อาจแตกต่างออกไป ม่านแสงสนธยาของที่นี่มีพลังในการกัดกร่อนแผ่วเบา สิ่งที่เคยทนได้ อาจทนไม่ได้หากต้องต่อสู้ภายใต้แสงดังกล่าว
โคลิน อีเลียดพยักหน้ารับ มองสลับไปมาระหว่างโลเฟียร์และเดอร์ริค ก่อนจะถอนสายตากลับและพูด
“ในสถานการณ์ปัจจุบัน ตราบใดที่เราไม่เข้าใกล้ประตู องครักษ์ทั้งสองก็จะไม่โจมตีเข้ามา”
“ลองล่ออัศวินสีเงินตัวหนึ่งออกไป จากนั้นก็แยกกันจัดการไหมคะ?” นักรบสาวนามว่าแอนเทียน่าเสนอแนะ
เธอมีผมสีไวน์แดงยาวประบ่า ใบหน้าอาจไม่เลอโฉม แต่เมื่อรวมกับองค์ประกอบอื่นจะช่วยมอบบรรยากาศที่สดใส
หน้าที่หลักของเธอในทีมสำรวจก็คือ คอยรักษาอาการทางจิตของพวกพ้องด้วยสมบัติปิดผนึกในมือ ขณะเดียวกันก็คอยรับมือศัตรูที่มีพลังในขอบเขตจิตใจ
แผนการที่แอนเทียน่าคิดไว้ก็คือ เธอกับสมาชิกที่เหลือจะช่วยกันล่ออัศวินสีเงินออกไปหนึ่งตน อาศัยภูมิประเทศและความสามัคคีในการถ่วงเวลาให้นานที่สุด ส่วนเจ้าเมืองกับอาวุโสโลเฟียร์ก็ร่วมมือกันจัดการกับอีกหนึ่งตนที่เหลือ จากนั้นก็มาสมทบกัน
นี่คือพิชัยสงครามพื้นฐานที่ถูกบรรจุในบทเรียนของเมืองเงินพิสุทธิ์
“ถึงจะเป็นอัศวินสีเงินแค่ตนเดียวก็ยังอันตรายมากอยู่ดี และไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่า อัศวินสีเงินที่พวกคุณล่อออกไปจะไม่เผยร่างสัตว์ในตำนาน” นักล่าปีศาจโคลินปัดตกแผนของแอนเทียน่าอย่างสุขุม
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ ลำพังพลังของอัศวินสีเงินก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ขอเพียงอัศวินสีเงินเผยร่างสัตว์ในตำนาน สมาชิกเกือบทั้งหมดของทีมสำรวจก็จะมิอาจจ้องมองได้โดยตรง ไม่อย่างนั้นจะถูกกัดกร่อน และนั่นจะทำให้หมดสิทธิ์รับมือโดยสิ้นเชิง
โดยไม่ปล่อยให้สมาชิกคนอื่นในทีมได้กล่าวคำใด โคลิน อีเลียดถอนสายตากลับและพูด
“พวกเราจะไปทางอื่น… ก่อนหน้านี้ เดอร์ริคค้นพบบันทึกในโลกอีกฟากหนึ่งของหมู่บ้านยามบ่าย เป็นบันทึกเกี่ยวกับเส้นทางลับสำหรับอ้อมเข้าไปในเขตหลักของวังราชาคนยักษ์”
สายตาของอาวุโสโลเฟียร์หันมาทางเดอร์ริคทันที มอบบรรยากาศสงบนิ่งและเย็นชา แต่ไม่มากไปกว่านั้น
เดอร์ริคยกไม้กางเขนเจิดจรัสขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันก็ข่มใจมิให้มือสั่น
“ตกลง” โลเฟียร์เห็นพ้องกับข้อเสนอของโคลิน
ลงเอยด้วย ทีมสำรวจออกจากบันไดหินยักษ์และเดินไปทางซ้าย
เพียงไม่นาน พวกมันได้พบกับเส้นทางขรุขระ ฝั่งขวามือเป็นหน้าผาสูง ฝั่งซ้ายเป็นเหวไร้ก้นที่มีปุยเมฆสีขาวบดบัง ฉาบด้วยแสงสนธยาเจือจาง
แน่นอน เส้นทางนี้อาจดูแคบสำหรับคนยักษ์ แต่กว้างมากสำหรับทีมสำรวจ
ขณะกำลังย่างกราย เดอร์ริคและคนที่เหลือถูกกระตุ้นสัมผัสวิญญาณโดยพร้อมเพรียง จึงรีบหันไปทางด้านข้าง
ณ ริมขอบหน้าผาฝั่งซ้ายมือ ท่อนแขนสีน้ำเงินอมเทาจำนวนมหาศาลยื่นออกจากเมฆสีขาวอมส้ม
หากทั้งหมดนี่คือคนยักษ์ ต่อให้อยู่แค่ลำดับเจ็ดหรือหก แต่ด้วยปริมาณขนาดนี้ การบดขยี้ทีมสำรวจก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ขณะโคลิน อีเลียดเตรียมเหวี่ยงดาบยาวในมือ ทันใดนั้นเดอร์ริคสัมผัสถึงบางสิ่งได้ จึงรีบยกไม้กางเขนเจิดจรัสในมือให้สูงขึ้นจากปรกติ พร้อมกับกดนิ้วลงบนแหนมจนเลือดสีแดงไหลออกมา
แสงยามเย็นซึ่งกำลังเปล่งออกจากไม้กางเขน พลันแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีขาวโพลนจนดูเหมือนกับเที่ยงวัน กลุ่มแสงแผ่ขยายไปจนถึงหน้าผาและปกคลุมร่างของคนยักษ์สีเทาน้ำเงินที่พยายามจะปืนขึ้น
คนยักษ์เหล่านี้ชะงักงันกะทันหัน ร่างกายเริ่มเลือนรางและสลายไปในที่สุด
พวกมันไม่ใช่คนยักษ์ตัวจริง แต่เป็นวิญญาณภูตผีที่หลงเหลือจากความตายอันน่าสังเวชของคนยักษ์เหล่านั้น ไม้กางเขนเจิดจรัสจึงสามารถชำระล้าง
วัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังในขอบเขตสุริยันย่อมเป็นของแสลงสำหรับวิญญาณอาฆาต ภูตผี และวิญญาณมาร
หลังจากจัดการกับฝูงสัตว์ประหลาดอย่างง่ายดาย ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์เริ่มเดินหน้าต่อไปด้วยความระมัดระวัง จนกระทั่งพ้นเขตภูเขาและหน้าผา เข้าสู่เขตของผืนป่าสีเทา
ภายในป่าเต็มไปด้วยต้นไม้สูงหลายสิบเมตรที่ท่าทางแข็ง แต่เปลือกไม้ลอกออกจนหมด ลำต้นเน่าตาย กิ่งและใบเหี่ยวเฉา มอบความรู้สึกหดหู่แก่สภาพแวดล้อม
กิ่งและใบเหล่านี้น่าจะเคยถักสานกันในอากาศและสร้างร่มเงาขนาดมหึมา บดบังแสงสนธยามิให้สาดส่องถึงพื้น แต่ปัจจุบัน เนื่องจากต้นไม้ล้มตายไปจนหมด แสงสีส้มแดงยามสนธยาจึงปกคลุมทั่วทุกจุดจนมองเห็นด้วยตาเปล่า
“ที่นี่คือป่าเสื่อมโทรมซึ่งเป็นจุดฝังศพบรรพบุรุษคนยักษ์… เป็นสุสานของพ่อและแม่ของราชาคนยักษ์” เดอร์ริคมองตรงพลางคำนวณว่าตนจะถือไม้กางเขนเจิดจรัสได้อีกนานแค่ไหน ขณะเดียวกันก็อธิบายประวัติของสถานที่กับเจ้าเมืองและสมาชิกในทีม
โคลิน อีเลียดจ้องเข้าไปในป่าสักพัก:
“ที่นี่ถูกทำลายไปแล้ว แม้จะมีอันตรายตกค้าง แต่ก็คงไม่มาก พวกเราสามารถลองสำรวจ”
“ครับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคตอบสนองโดยไม่คัดค้าน “ไม้กางเขนของผมมีอำนาจมากในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ผมขอเป็นคนนำทาง”
มันยังไม่ลืม มิสเตอร์เวิร์ลเคยเตือนว่าภายในป่าเสื่อมโทรมอาจมีการกัดกร่อนหลงเหลืออยู่ และไม้กางเขนเจิดจรัสคืออุปกรณ์ที่ช่วยตรวจจับการกัดกร่อนได้ดีที่สุด
โคลินผมสีเทาพยักหน้ารับแผ่วเบา
“ระวังตัวด้วย”
เดอร์ริคสูดลมหายใจเงียบ ก่อนจะเดินนำเข้าไปในป่าเสื่อมโทรม
ระหว่างนั้น ฉวยโอกาสจากการอยู่ในตำแหน่งหน้าสุด มันแอบพึมพำพระนามเต็มของเดอะฟูล
หลังจากที่เคยถูกบดบังโดยแสงสนธยาจนมองไม่เห็นสิ่งใด ไคลน์ซึ่งตัดสินใจออฟไลน์และรอคอยอย่างอดทน ในที่สุดก็ได้เห็นสถานการณ์รอบตัวเดอะซันน้อยอย่างชัดเจน แต่ก็มิอาจขยายทัศนวิสัยให้กว้างได้มากนัก