ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1217 : เห็ดห้าต้นสองดอก
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1217 : เห็ดห้าต้นสองดอก
เมืองจันทรา
มนุษย์จำนวนมากเดินออกจากอาคารที่ค่อนข้างมั่นคงแม้พื้นผิวจะเต็มไปด้วยร่องรอยโบราณ หลายคนพิการ และหลายคนเกิดการกลายพันธุ์เล็กน้อย
มนุษย์กลุ่มดังกล่าวมองหน้ากันเองด้วยความฉงน
ยังเหลือเวลาอีกสามเดือนก่อนจะถึงพิธีกรรมสังเวยสุริยัน แล้วเหตุใดมหานักบวชถึงเรียกทุกคนมารวมตัวที่จัตุรัส?
เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น? เหล่าชาวเมืองจันทราที่เดินมารวมตัวในจัตุรัสเพียงแห่งเดียวของเมือง ต่างพากันหวาดกลัว กังวล และสับสน
เวทียังคงว่างเปล่า ดูเหมือนว่าผู้เรียกประชุมจะยังมาไม่ถึง
ชาวเมืองจันทรารวมตัวกันอย่างเป็นระเบียบโดยแบ่งตามเขตพักอาศัย ระหว่างกำลังรอก็กระซิบกระซาบคุยกัน
“ทำไมท่านมหานักบวชยังไม่มาอีก?”
“เขาเป็นพวกไม่ชอบให้คนอื่นรอไม่ใช่หรือ?”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมถึงต้องเรียกรวมชาวเมืองทั้งหมดนอกจากเวรยาม?”
…
ท่ามกลางความวุ่นวาย บนยอดหอคอยใกล้กับจัตุรัส มหานักบวชนีมกำลังเอนตัวพิงกำแพงพลางมองออกไปนอกกระจกแก้วด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวราวกับกำลังอดทนบางสิ่ง
ผมสีเทาของมันกำลังตั้งชูชัน เส้นขนสั้นสีดำทยอยผุดขึ้นบนใบหน้า ตำแหน่งบริเวณซี่โครงและสะโพกบวมขึ้นในลักษณะยุบพองคล้ายกับมีบางสิ่งเตรียมงอกเงยออกมา
การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปรกติดังกล่าวเกิดขึ้นและหายไปอย่างต่อเนื่อง ราวกับนีมต้องป่วยหนักซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนบรรยากาศรอบตัวชั่วร้ายและน่าสะพรึง
จนในที่สุดก็สงบลงหลังจากผ่านไปราวหนึ่งนาที มันผ่อนลมหายใจพลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก
เมื่อครู่มันกำลังเผชิญหน้ากับความบ้าคลั่งที่สั่งสมอยู่ในร่างกาย
และโดยพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นผู้วิเศษเส้นทางใด ยิ่งมีลำดับสูงก็ยิ่งเข้าใกล้ภาวะเสียสติและมีแนวโน้มสูงที่จะคลุ้มคลั่ง สิ่งนี้คือสัจธรรมของมนุษย์อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง จำเป็นต้องพึ่งพาหลักยึดเหนี่ยวนอกร่างกายเพื่อคงสมดุลเอาไว้
ในกรณีทั่วไป อาการแบบนีมจะไม่ปรากฏในลำดับ 3 หรือ 4 แต่จะชัดเจนมากขึ้นเมื่อกลายเป็นเทวทูตลำดับ 2 อาการรุนแรงถึงขั้นที่ยังถลำลึกลงสู่ความมืดได้แม้จะมีหลักยึดเหนี่ยวคอยค้ำจุน เมื่อเผชิญกับภาวะความผิดปรกติดังกล่าว ผู้วิเศษต้องผ่านมันไปด้วยพลังใจอันเข้มแข็งจนกระทั่งสถานการณ์คลี่คลาย
ภายนอกอาจดูเหมือนตัวตนอันศักดิ์สิทธิ์และสำรวม สามารถตอบสนองคำวิงวอน สวดมนต์ตามปรกติ รวมถึงการยิงมุกตลก แต่ในบางครั้งก็ต้องหลบซ่อนในมุมมืดและฉีกเนื้อเฉือนหนังตัวเอง เผยให้เห็นความชั่วร้ายและบ้าคลั่ง
เป็นเพราะนีมกินเนื้อสัตว์ประหลาดมายาวนาน ร่างกายจึงสะสมพิษ การกัดกร่อน และความบ้าคลั่งไว้เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ต้องอดทนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัสตั้งแต่ลำดับสี่
แต่แน่นอน เหตุการณ์แบบเดียวกันจะเกิดขึ้นกับลำดับสามและสี่ ที่ไม่รู้จักเทคนิคสวมบทบาทหรือเลื่อนลำดับด้วยวาสนา
นีมหันหลังและเดินออกจากห้องเมื่อร่างกายกลับเป็นปรกติ จากนั้นก็อาศัยประตูมายามาโผล่บนเวทีใจกลางจัตุรัสในพริบตา
การกระซิบกระซาบทั้งหมดหยุดลงทันที ชาวเมืองจันทราต่างจ้องมองมหานักบวชด้วยสายตาฉงนเจือกระสับกระส่าย
นีมมองไปรอบตัวและพูด
“หน่วยล่าที่นำโดยอดาลได้พบกับคนนอก”
คนนอก! ดวงตาชาวเมืองจันทราพลันเบิกกว้างประหนึ่งถูกฟ้าผ่ากลางวันแสก
เป็นเวลากว่าสองพันปีแล้วที่เมืองจันทราไม่ได้พบกับคนนอก! แน่นอนว่าหมายถึงปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ มิใช่สัตว์ประหลาด
นีมถอนหายใจยาวและกล่าวต่อ
“เขาอ้างตัวว่าเป็นผู้เผยแผ่ศาสนาที่คอยนำพาแสงสว่างจากเทพ… เขาสามารถทำให้ม่านหมอกหนาทึบเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง นอกจากนั้นยังช่วยชำระล้างพิษและการกัดกร่อนที่สั่งสมในร่างกายอดาลและคนที่เหลือ แถมยังแก้ไขการกลายพันธุ์ได้บางส่วน”
กล่าวถึงตรงนี้ มันหันไปพยักหน้าในทิศทางด้านข้างเวที อดาลกับซินที่ยืนรอในเงามืดจึงเดินถือคบเพลิงขึ้นมายืนข้างนีมเพื่อใช้ร่างกายตัวเองเป็นหลักฐานยืนยันคำพูดมหานักบวช
“บ้าน่า…”
“พระเจ้า!”
“นี่คืออดาลกับซินจริงหรือ?”
“เป็นพวกเขาจริงๆ … ไม่ผิดแน่…”
เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจเจือตกตะลึงผสมผสานกันอย่างเข้มข้น
อดาลและซินมองหน้ากันก่อนจะก้าวขาออกมา ช่วยกันเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ที่หน่วยล่าได้พบเจอ
ชาวเมืองได้ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับจุดแสงที่สว่างขึ้นในความมืดอย่างกะทันหัน กางเขนที่สาดแสงเจิดจ้า ไม้เท้าที่สามารถรักษาการกลายพันธุ์และโรคภัย ได้ฟังเรื่องที่สายหมอกสีเทาแยกออกจากกัน รวมถึงประตูมายาที่ก่อตัวอย่างไม่สมบูรณ์ จนกระทั่งได้ยินคำอธิบายจากสมาชิกหน่วยล่าเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ชาวเมืองจันทราต่างพากันปิดปากเงียบไปพักใหญ่
ใครบางคนหลั่งน้ำตาโดยไม่รู้ตัว เป็นเพราะพวกมันได้เห็นแสงสว่างหลังจากจมอยู่กับความหดหู่และเหน็ดเหนื่อยมานาน
หยาดน้ำตาแฝงความอบอุ่นปนเค็มไหลจากแก้มผ่านมุมปากจนกระทั่งหยดลงพื้น
คนที่ยังพอจะมีสติคิดวิเคราะห์ยกมือขึ้นเพื่อแสดงความเห็น
“ผู้เผยแผ่ศาสนาคนนั้นไม่ใช่สัตว์ประหลาดชนิดพิเศษจากในความมืดแน่หรือ”
“อดาลและซินทำตัวเช่นนี้เพราะกำลังถูกครอบงำและบงการหรือไม่?”
หลังจากคำถามที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงบลง นีมกล่าวเสียงขรึม
“ผมตรวจสอบพวกเขาด้วยสมบัติปิดผนึกแล้ว ถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบความผิดปรกติใดเลย… ผมจะให้พวกเขาพักอาศัยในหอคอยมืดเพื่อกักตัวเป็นเวลาสิบห้าวัน”
มันกล่าวต่อหลังจากรับปากชาวเมือง
“ผู้เผยแผ่ศาสนานามว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะวิปัสสนาในบริเวณใกล้กับม่านหมอกสีเทาไปอีกสักพัก เขากล่าวว่าพวกเรามีสิทธิ์ได้รับพระกรุณาและฟังเทศนาจากเทพที่เขาศรัทธา และทุกวันในยามที่สายฟ้ามีความถี่สูงสุด เขาจะทำการชำระล้างและรักษาหมู่วันละหนึ่งรอบ… ทุกคนมีอิสระในการตัดสินใจว่าจะไปที่นั่นหรือไม่ แต่ถ้าใครอยากไปจะต้องแจ้งความประสงค์ล่วงหน้าและปฏิบัติตัวตามข้อกำหนด ห้ามมิให้ใครทำตามอำเภอใจจนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของเมืองเด็ดขาด และทุกคนที่ออกไปจะต้องถูกกักตัวหลังจากกลับมาเป็นเวลาสิบห้าวันเหมือนอดาลกับซิน”
ชาวเมืองจันทราจมอยู่กับความเงียบอีกครั้ง ต่างคนต่างมองหน้ากันโดยไม่กล้าตัดสินใจ
ทันใดนั้นเอง รุสและสมาชิกหน่วยล่าคนที่กลับมาก่อนจนพลาดการรักษา ก้าวเท้าออกมาด้านหน้า
“ท่านมหานักบวช ผมจะไป!”
“ตกลง ผมจะนำทางคณะ… ไปในวันพรุ่ง…” นีมพยักหน้า
ตอนแรกมันคิดจะตั้งชื่อให้กับคณะเดินทาง แต่สุดท้ายก็นึกคำนิยามที่เหมาะสมไม่ออกจึงทำได้เพียงตะกุกตะกักและข้ามไป
อันที่จริงมันมีชื่อหนึ่งในใจที่ไม่กล้าพูด:
คณะจาริกแสวงบุญ
เมื่อเห็นรุสและพวกพ้องทำเป็นตัวอย่าง ชาวเมืองจันทราอีกหลายคนจึงก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อแสดงความเต็มใจที่จะเสี่ยง
จนกระทั่งความถี่สายฟ้าเพิ่มขึ้น นั่นหมายถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ กลุ่มชาวเมืองจันทราจำนวนแปดคนเดินถือตะเกียงหนังสัตว์ฝ่าความมืดมิดไปยังบริเวณม่านหมอกสีเทา
ท่ามกลางสายฟ้าที่ผ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดดวงตาของรุสและคนที่เหลือก็สะท้อนกับแสงสว่าง
เป็นแสงจากกองไฟที่กำลังลุกไหม้อย่างเชื่องช้า ด้านข้างมือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าและหมวกประหลาดนั่งอยู่ ในมือกำลังถือแท่งเหล็กสีดำซึ่งใช้สำหรับย่างบางสิ่ง
ใกล้กับกองไฟมีซากศพสัตว์ประหลาด บนศพเต็มไปด้วยวัตถุประหลาดงอกเงย บางชิ้นมีสีขาวและบวมเป่งราวกับจะพ่นของเหลวออกมาทันทีที่ถูกกระแทก บางชิ้นมีสีดำ บางชิ้นเป็นสีเลือดและมีลวดลายคล้ายหินอ่อน บ้างมีลายจุดสีทอง กระเปาะด้านบนใหญ่เท่าฝ่ามือ
วัตถุเหล่านี้เบียดเสียดกันแน่นหนาบนศพสัตว์ประหลาด มอบความรู้สึกงดงามในทำนองแปลกตา
เดินต่อไปอีกสักพัก มหานักบวชนีมพบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังย่างหนึ่งในวัตถุประหลาด
น้ำมันอันเกิดจากการย่างหยดลงบนกองไฟจนเกิดเสียงฉ่าร้อนแรง ส่งผลให้ไฟสว่างขึ้นและเกิดกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย
อึก บรรดาชาวเมืองจันทราต่างพากันกลืนน้ำลายแห้ง ภายในใจเกิดความอยากอาหารจนยากจะควบคุม
ทุกเซลล์ในร่างกายกำลังแหกปากกรีดร้อง:
อยากกินสิ่งนั้น!
อยากกินสิ่งนั้น!
ส่งมาทางนี้!
ไคลน์ที่นั่งบนก้อนหินชี้นิ้วไปทางวัตถุสีสันสดใสบนศพสัตว์ประหลาด จากนั้นก็กล่าวเสียงขรึม
“สิ่งนี้เรียกว่าเห็ด มีหลากหลายชนิด หากต้องการ พวกคุณสามารถเลือกหยิบได้ตามใจชอบ แต่ห้ามสัมผัสกับเห็ดสีดำเด็ดขาด และต้องไม่ลืมปรุงให้สุกจนทั่วก่อนกิน ไม่อย่างนั้นจะได้รับคำสาปที่น่ากลัว”
มหานักบวชนีมไตร่ตรองสักพักก่อนจะตอบแทนคนอื่น
“อันดับแรก พวกเราต้องการฟังคำเทศนาและพระกรุณาจากเทพของท่าน”
ไคลน์พยักหน้าพลางหมุนแท่งเหล็กบาร์บีคิวที่ดึงออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์:
“เชิญนั่ง”
จนกระทั่งชาวเมืองจันทรานั่งลงในฝั่งตรงข้ามของกองไฟ ชายหนุ่มเปิดปากเล่า
“ผมมาจากวังราชาคนยักษ์”
ชาวเมืองจันทรารู้จักคำดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงรีบถอนสายตาออกจากอาหารที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังย่างและเริ่มตั้งใจฟัง
จากนั้นเป็นการเล่าเกี่ยวกับเมืองเงินพิสุทธิ์และสถานการณ์ของโลกภายนอก ขณะเดียวกับก็เล่าถึงซากปรักหักพังที่พบระหว่างทาง
เรื่องราวดังกล่าวทำให้ชาวเมืองจันทราถอนหายใจเป็นระยะ บางครั้งก็เกิดความคาดหวัง แต่บางเรื่องก็ยากจะทำใจเชื่อลง นอกจากนั้นยังมีเรื่องที่ฟังแล้วเศร้าและน่าเห็นใจ
ไคลน์ชะงักหลังจากเล่าไปได้ครึ่งทาง จากนั้นก็ดึงเหล็กเสียบสีดำกลับมาและกัดลงบนเห็ดดอกหนึ่ง
น้ำเนื้อเข้มข้นทะลักออกมาพร้อมกับความร้อนผ่าว มอบความชุ่มฉ่ำไปทั่วช่องปากชายหนุ่ม
ไคลน์สามารถเอาชนะความรู้สึกขยะแขยงที่มีต่อเห็ดหลังจากใช้ชีวิตบนดินแดนเทพทอดทิ้งนานกว่าครึ่งปี เพราะเดนิสก็ไม่ได้ว่างตลอดเวลา ยากที่จะหาอาหารมาสังเวยได้ทุกครั้ง ช่วงเวลาดังกล่าวบีบคั้นให้ไคลน์จำใจต้องกินเห็ด
ชายหนุ่มหลับตาลงพลางยื่นเหล็กเสียบสีดำที่เต็มไปด้วยเห็ดไปยังอีกฝั่ง ตามด้วยยิ้มและกล่าว
“ลองกินดูสิ”
รุสรีบยื่นมือออกมาขณะที่มหานักบวชนีมเอาแต่ลังเล มันแสดงความขอบคุณก่อนจะกัดเข้าไปคำใหญ่
มันรีบกินจนปากเกือบพอง แต่หลังจากเผยสีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย ดวงตารุสพลันแข็งทื่อ
ไม่กี่อึดใจถัดมา สีหน้าของรุสผ่อนคลายลงพร้อมกับเผยอากัปกิริยาถวิลหา สุขสม และเพลิดเพลิน
ลงเอยด้วยรุสเผลอหลั่งน้ำตาโดยไม่รู้ตัวพลางพึมพำติดขัด
“นี่คืออาหารที่ดีที่สุด… ยอดเยี่ยมที่สุด… เท่าที่ผมเคยกิน…”
แม้ประสาทการรับรสจะเปลี่ยนไปตามบรรพบุรุษ แต่ไม่ว่าอย่างไรมนุษย์ก็มิอาจทำใจให้ชินกับอาหารที่ปนเปื้อนพิษและความบ้าคลั่ง ร่างกายยังคงปรารถนาน้ำตาลและไขมันไม่แปรเปลี่ยน
ชาวเมืองจันทราทุกคนกำลังประจักษ์ความอิ่มเอมใจของรุสอย่างเต็มสองตา
…………………………………..