ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1225 : ปลอบประโลม
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1225 : ปลอบประโลม
ไคลน์รู้สึกเห็นใจเมื่อได้ยินคำพูดแสนหดหู่เจอสับสนของมิสจัสติส เพราะมันเองก็เคยคิดแบบเดียวกัน
มันเรียบเรียงคำพูดก่อนจะกล่าวตามเนื้อหาของหนังสือปลุกใจที่เคยอ่าน
“ความตายของบิดาผู้หนึ่งอาจเป็นเพียงเรื่องเล็กสำหรับอาณาจักรโลเอ็น แต่นั่นคือเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของครอบครัวและเด็กคนหนึ่งไปตลอดกาล…ในทำนองเดียวกัน หากก้าวไปไม่ถึงระดับเทวทูต มนุษย์อายุขัยสั้นทุกคนล้วนมีจุดจบไม่ต่างกัน – ตายและถูกฝัง แต่นั่นไม่ได้แปลว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมาไร้ความหมายหรือเปล่าประโยชน์”
จัสติสออเดรย์ผงกศีรษะรับเมื่อได้ยิน ตามด้วยการกล่าวตัดพ้ออีกครั้ง
“ดิฉันเข้าใจความหมาย แต่ความลับที่คุณเพิ่งถ่ายทอดนั้นยิ่งใหญ่จนกระทบกระเทือนจิตใจดิฉันอย่างหนัก ยากที่จะควบคุมอารมณ์ไว้ได้…ทั้งที่เป็นนักจิตบำบัด แต่ดิฉันกลับต้องการใครสักคนมาช่วยปลอบใจเหมือนกัน…”
ไคลน์ยิ้ม
“นั่นเป็นเรื่องปรกติ…มีหลายครั้งที่คนเรามองไม่เห็นปัญหาของตัวเองแม้จะชี้ข้อบกพร่องของคนอื่นได้อย่างแม่นยำ…คุณเคยเล่าให้ผมฟังว่า คุณกับซูซี่ต้องคอยปลอบประโลมกันและกันอย่างต่อเนื่อง”
เนื่องจากดอนดันเตสเคยพบกับซูซี่แล้ว ออเดรย์จึงไม่ปิดบังข้อมูลในการสนทนาหลังจากนั้น
หญิงสาวพยักหน้า
“ค่ะ นั่นสินะ…ฉันคิดออกแล้ว…หลังจากนี้แค่ทำเต็มที่เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจภายหลังก็พอ”
จิตใจของหญิงสาวดีขึ้นตามลำดับ
ไคลน์จึงกล่าว
“ไม่ใช่แค่การทำไปเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจภายหลัง แต่ความสำเร็จเล็กๆ ของเราอาจเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยที่ช่วยยับยั้งวันสิ้นโลกสำเร็จ…ผลงานของเราอาจดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับภาพรวม แต่ทะเลทรายกว้างใหญ่ก็ยังประกอบกันจากทรายเม็ดเล็ก มหาสมุทรกว้างใหญ่เกิดจากการรวมตัวของหยดน้ำ ตราบใดที่ทุกคนคอยส่งต่อความร้อนและแบ่งปันแสงสว่างให้กันและกัน ความหวังก็ยังมีให้เห็นเสมอ”
“ส่งต่อความร้อนและแบ่งปันแสงสว่าง…” ออเดรย์พึมพำคำเกอร์มันสแปร์โรว์แผ่วเบา
“ผมไม่ได้คิดเองหรอกนะ” ไคลน์ยิ้มพลางเสริม
ออเดรย์ยกมุมปากพร้อมกับยิ้มตอบ
“คำพูดจักรพรรดิโรซายล์หรือ?”
ไม่แน่ใจว่าหมอนั่นพูดเอาไว้หรือยัง…เรายังไล่อ่านคำคมของโรซายล์ไม่ครบทุกอัน อ่านแล้วอดกำหมัดไม่ได้ทุกที…นั่นคือสาเหตุที่ยังอ่านไม่จบจนถึงตอนนี้…ไคลน์เปลี่ยนเรื่องโดยไม่ยืนยันหรือปฏิเสธ
“เริ่มสะกดจิตผมได้ ทำให้ผมลืมเรื่องที่เกี่ยวกับอวกาศ และเรียกความทรงจำกลับคืนมาเมื่อได้ยินคำกระตุ้น”
“อีกสักพักได้ไหมคะ ดิฉันมีเรื่องอยากขอคำแนะนำ” ออเดรย์ขอร้องอย่างตรงไปตรงมา เธออาศัยโอกาสนี้เล่าถึงสิ่งที่ตนกระทำในระยะหลังและความหนักใจที่ต้องเผชิญ “…มิสเตอร์เวิร์ล คุณมีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง? ดิฉันต้องใช้วิธีใดถึงจะบรรเทาความหิวโหยของชาวเบ็คลันด์ไปจนกระทั่งสงครามสิ้นสุด?”
สำหรับการหยุดสงครามเพื่อขจัดความหิวโหย ต่อให้เธออยากทำมากเพียงใดก็คงจนปัญญา
และออเดรย์ก็ตระหนักดีว่ามิสเตอร์เวิร์ลไม่มีกำลังที่จะทำเช่นกัน หรือต่อให้เดอะฟูลแทรกแซงด้วยตัวเอง อย่างมากก็คงทำได้แค่พลิกผันกระแสสงคราม มิใช่การยุติความทุกข์ยากของผู้คน ต้องไม่ลืมว่าสงครามโลกในคราวนี้มีศึกระหว่างเทพอยู่เบื้องหลัง
ไคลน์กล่าวเยือกเย็นหลังจากลังเลสักพัก
“แม้ว่าหลักการของเส้นทางผู้ชมคือการซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังให้มากที่สุด และแม้ว่าผมจะให้ความสำคัญกับคำว่า ‘รอบคอบ’ และ ‘ไม่ประมาท’ ในทุกการกระทำของตัวเองเสมอ รวมถึงการไม่นำพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์อันตราย…”
ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น จัสติสออเดรย์แอบรำพันในใจตามความเคยชิน
จากข่าวลือมากมายในทะเล จากคำบรรยายของฟอร์สและคนอื่น จากศึกระหว่างครึ่งเทพที่ดิฉันเคยประจักษ์ด้วยตาตัวเอง มิสเตอร์เวิร์ล…ดิฉันไม่เห็น ‘ความรอบคอบ’ และ ‘ไม่ประมาท’ ในตัวคุณเลยค่ะ…มีเพียง ‘ความเกรี้ยวกราด’ และ ‘การทำลายล้าง’ เท่านั้น…อา…นั่นสินะ การจะมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ได้ ลำพังความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ…ไอรีนโนเวล
เมื่อเห็นว่าดวงตามิสจัสติสกำลังส่องประกายด้วยความตั้งใจฟัง ไคลน์กล่าวต่อทันที
“แต่ในโลกใบนี้ บางสิ่งก็ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มา…บางครั้งผมก็ต้องลงมือทำในเรื่องที่ ‘อาจต้องตาย’”
ออเดรย์หยุดรำพันในใจ เธอเปิดปากพูดหลังจากเงียบงันอยู่สักพัก
“ดิฉันเข้าใจที่คุณจะสื่อ…ความปลอดภัยหรือผลลัพธ์ บางครั้งก็เลือกได้เพียงหนึ่ง”
ไคลน์พยักหน้ารับ จากนั้นก็พูดเพื่อให้มิสจัสติสตระหนักถึงความโหดร้ายของโลกให้มากขึ้น เธอจะได้ไม่ทำในสิ่งที่เป็นอุดมคติมากเกินไป
“วิธีการที่คุณเพิ่งนำเสนอมีโอกาสสำเร็จสูงและความเสี่ยงต่ำที่สุดแล้ว หากจะถามว่าใครสามารถช่วยบรรเทาความหิวโหยให้ชาวเบ็คลันด์ได้บ้าง คำตอบย่อมหนีไม่พ้นขุนนาง โบสถ์ พ่อค้า และราชวงศ์”
“แล้วการขโมยอาหารจากค่ายฟุซัค อินทิส และเฟเนพ็อตไม่ดีหรือคะ” ออเดรย์ถามด้วยความสงสัย
ไคลน์ตอบเยือกเย็น
“ไม่…ตอนนี้ทั้งสามกองทัพตั้งค่ายอยู่ในดินแดนของโลเอ็น ต่อให้คุณเล็ดลอดสายตาครึ่งเทพเข้าไปขโมยอาหารในค่ายสำเร็จ แต่พวกมันก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อย่างมากก็แค่ออกไปปล้นอาหารจากชาวเมืองในละแวกใกล้เคียงเพื่อบรรเทาความหิว วิธีนี้จะไม่สำเร็จในระยะสั้น และเราก็อดทนรอให้สำเร็จในระยะยาวไม่ได้เช่นกัน”
หากทำเช่นนั้น ออเดรย์จะกลายเป็นตัวการที่ทำให้ชายเมืองแถบชายแดนหิวตาย
นี่คือความแตกต่างระหว่างสงครามทั่วไปกับสงครามที่มีเทพอยู่เบื้องหลัง
“นั่นสินะ…ถึงจะเลือกวิธีนั้น แต่ดิฉันคงทำไม่สำเร็จ…กระเป๋าสัมภาระของนักท่องเที่ยวมีความจุจำกัด เช่นเดียวกับพลังเทเลพอร์ตที่บันทึกไว้ในสมุดเวทมนตร์เลมาโน่” ออเดรย์เริ่มวิเคราะห์และปัดตกแนวคิดตัวเอง ตามด้วยถาม “แล้วถ้าดิฉันแอบรวบรวมอาหารจากขุนนาง พ่อค้า และราชวงศ์สำเร็จ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสามโบสถ์หลักค้นพบร่องรอย? พวกเขาจะตอบสนองเช่นไร?”
ไคลน์ตอบด้วยเสียงเดิม
“ทำเป็นมองไม่เห็น”
“…” ออเดรย์เชื่อคำพูดอีกฝ่าย แต่รู้สึกว่ายังขาดเหตุผลที่มีน้ำหนัก
ไคลน์กล่าวต่อ
“สาวกคือหลักยึดเหนี่ยวของทวยเทพ หนึ่งสาวกหมายถึงหนึ่งจุด หรือกล่าวได้ว่าไม่มีข้อแตกต่างระหว่างคนจนกับคนรวยในเรื่องนี้ ระบุให้ชัดเจนก็คือ ไม่มีหลักยึดเหนี่ยวใดสูงส่งกว่ากัน…ในสถานการณ์ปรกติ ขุนนางและพ่อค้าสามารถใช้สถานะทางสังคม อำนาจ ทรัพย์สิน และอิทธิพลของตนในการเผยแผ่และทำนุบำรุงศาสนา พวกเขาจึงดูเหมือนสำคัญกว่า… แต่ในยามศึกสงคราม คุณคิดว่าหนึ่งล้านหลักยึดเหนี่ยวหรือหนึ่งพันมีค่ามากกว่ากัน? ก็แค่คณิตศาสตร์ง่ายๆ”
เมื่อได้ฟังความจริงอันโหดร้ายโดยไม่มีม่านแห่งความโรแมนติกคอยบดบัง ออเดรย์อึ้งจนพูดไม่ออกไปพักใหญ่
ได้เห็นท่าทีอีกฝ่าย ไคลน์กล่าวต่อ
“จากมุมมองดังกล่าว สิ่งที่คุณกำลังจะทำอาจส่งผลประโยชน์เป็นวงกว้าง…คุณกำลังจะช่วยรักษาหลักยึดเหนี่ยวจำนวนมากให้กับเทพธิดารัตติกาลและเทพวายุสลาตัน การกระทำในคราวนี้อาจกลายเป็นบันไดให้พวกท่านเพิ่มพูนความแข็งแกร่งจนสามารถต้านทานวันสิ้นโลก”
ออเดรย์เม้มริมฝีปากแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งคลายออก จากนั้นก็ยิ้ม
“ฉันไม่เคยภูมิใจกับสถานะขุนนางมากเท่าวันนี้มาก่อน”
“ขุนนางคือตัวตนของคุณ มิใช่สถานะ” ไคลน์ช่วยเสริมให้สมบูรณ์
ออเดรย์ถอนหายใจยาวหลังจากความปั่นป่วนเริ่มบรรเทาลง แต่ก็ยังมิได้ตัดสินใจแน่นหนัก
หญิงสาวกล่าวอย่างเป็นกันเอง
“ความสัมพันธ์ของชุมนุมทาโรต์กับศาสนจักร…เอ่อ…โบสถ์รัตติกาล…ดูเหมือนจะเป็นมิตรกันมาก…มิสเตอร์ฟูลเป็นพันธมิตรกับเทพธิดารัตติกาลหรือคะ?”
ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน…ทางนี้ต้องการเป็นพันธมิตรกับเทพธิดาใจแทบขาด แต่อีกฝ่ายอาจไม่สนใจก็ได้…ไคลน์กล่าวเสียงขรึมหลังจากรำพันติดตลกสองสามคำ
“ผมขอตอบว่า…ในตอนนี้ก็ใช่”
มันจงใจเน้นย้ำคำว่าปัจจุบันเพื่อมิให้หน้าแตกในอนาคต
ขณะเดียวกันก็รำพันคำตอบที่แท้จริงภายในใจ
ถ้าพูดให้ถูกก็คือ…เทพธิดาเป็นผู้ปลุกปั้นเทวทูตให้กับชุมนุมทาโรต์…เธอเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่…
จัสติสออเดรย์พยักหน้าเชื่องช้าพร้อมกับวาดรอยยิ้ม
“ดิฉันได้แต่สงสัยว่า คุณกำลังรำพันสิ่งใดในใจขณะตอบว่า ‘ในตอนนี้ก็ใช่’…มันต้องน่าสนใจมากแน่ เหมือนกับตอนที่พวกเราสำรวจเลฟซิด”
คุณหนู…จิตแพทย์ไม่ควรพูดจาติดตลกกับคนไข้ตัวเองแบบนี้…หรือเป็นเพราะพวกเราได้คุยกันบ่อยครั้งตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา คุณจึงกล้าเผยธาตุแท้เวลาอยู่ต่อหน้าผม? ได้โปรดให้เกียรตินักผจญภัยเสียสติและเย็นชาตรงหน้าด้วย…เฮ่อ…คงต้องยอมรับว่าพลังในการคงสภาพจิตใจของเส้นทางผู้ชมช่างน่าอิจฉา…ทั้งหมดเป็นความผิดเลียวนาร์ดคนเดียว! ไคลน์ผงะเล็กน้อยก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มาเริ่มกันเถอะ”
ออเดรย์เริ่มรวบรวมสมาธิและตั้งใจสะกดจิตอีกฝ่าย
จัดการทุกสิ่งเสร็จ ไคลน์จับตามองมิสจัสติสผ่านดาวแดงสักพักและยืนยันจนมั่นใจว่าเธอไม่ถูก ‘วันวาน’ สร้างการเชื่อมต่อหลังจากกลับถึงโลกแห่งความจริง
แน่นอนว่ามันลืมเรื่องเกี่ยวกับ ‘วันวาน’ และ ‘เทพภายนอก’ ไปเกือบหมดแล้ว ความทรงจำที่เหลืออยู่แค่พอจะยืนยันว่าไม่มีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นกับมิสจัสติส
ฟู่ว…ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลาย จากนั้นก็โยนกระดาษที่สามารถปลุกความทรงจำเข้ากองขยะพร้อมกับเตือนตัวเองให้อ่านหลังจากกลายเป็นเทวทูต
…
กรุงเบ็คลันด์ ภายในหอพักย่านสะพาน
เอ็มลินจ้องหน้ามาริคที่ปรากฏกายฝั่งตรงข้าม จากนั้น รายแรกถอดหมวกคำนับอย่างสุภาพ
“คราวนี้มีอะไร” มาริคบนโซฟาประสานสองมือพลางเอนตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย
เอ็มลินดึงเก้าอี้นั่ง ตามด้วยยิ้มและถาม
“คุณยังอยากจัดการกับสมาชิกระดับสูงของโรงเรียนกุหลาบฝ่ายฝักใฝ่แรงปรารถนาอยู่ไหม?”
“มีความคืบหน้าใหม่หรือ” มาริคถามเสียงเรียบ
เอ็มลินตอบอย่างใจเย็นเนื่องจากคิดเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนมาแล้ว
“ผมไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับสมาชิกระดับสูงของโรงเรียนกุหลาบในเบ็คลันด์…แต่หลังจากสงครามปะทุขึ้น ทั่วทั้งไบลัมตะวันตกและตะวันออกของทวีปใต้ล้วนตกอยู่ในความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นที่ราบสูงดวงดาว หุบเขาเพิร์ธ หรือทุ่งกว้างฮาเก็นติ ครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบจำนวนมากปรากฏตัวในสนามรบ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะระบุพิกัด”
มาริคจ้องเอ็มลินเจ้าของดวงตาสีแดงและริมฝีปากบางเฉียบ
“ดยุคหรือมาร์ควิสผีดูดเลือดตนใดคือตัวแทนของฝั่งคุณ?”
“ผมเป็นตัวแทนไม่ได้หรือ?” เอ็มลินเชิดคางพลางยิ้ม
มาริคส่ายหน้าเคร่งขรึม
“คุณยังเป็นแค่ลำดับห้า…คุณสมบัติไม่ผ่านเกณฑ์”
มันพูดตรงไปตรงมาเสียจนเอ็มลินตอบสนองไม่ถูก
…………………………