ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1248 : การรอคอยพันปี
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1248 : การรอคอยพันปี
หมู่เกาะรอสต์ ในป่าดงดิบด้านนอกเมืองบายัม
ผู้นำกลุ่มต่อต้านที่มารวมตัวกันในถ้ำ กำลังจ้องมองข้ารับใช้แห่งเทพสมุทรผู้แต่งกายในชุดคลุมสีดำ ขนคิ้วสีทอง และดวงตาสีน้ำเงินเข้มด้วยความเคารพยำเกรง
“ท่านเดนิส นี่คือโอกาส!” ชายหัวล้านเคราสีครามผู้นั่งบนรถเข็น ไครัท กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
พวกพ้องของมัน เอ็ดมันตันผู้แต่งหน้าด้วยแถบสีแดงสั้น รีบเสริมทันที
“ท่านเดนิส หน่วยข่าวกรองของเรายืนยันว่าบายัมกำลังวุ่นวายสุดขีด ไม่ว่าจะโบสถ์วายุสลาตันหรือเทศบาล ทุกคนต่างพะว้าพะวังกับเรื่องที่กรุงเบ็คลันด์กำลังถูกกองทัพฟุซัคล้อมโจมตี”
กล่าวถึงตรงนี้ เอ็ดมันตันชำเลืองไปทางไครัทและส่งสัญญาณให้คนที่รับผิดชอบก้าวออกมาเล่าถึงรายละเอียด
ไครัทจ้องลอร์ดเดนิสรักษามาดครึ่งขรึมก่อนจะเรียบเรียงประโยค:
“พวกมันกำลังขัดแย้งภายในอย่างชัดเจน บางส่วนต้องการส่งกองทัพกลับไปช่วยเบ็คลันด์ แต่บางส่วนยืนกรานว่าจะคอยปักหลักปกป้องบายัมและหมู่เกาะรอสต์เพื่อให้เป็นฐานที่มั่นสำคัญ… ความขัดแย้งดังกล่าวทำให้กองทัพกับโบสถ์วายุกำลังคิดไม่ตกและเผยช่องโหว่เต็มไปหมด… ท่านเดนิส นี่คือโอกาสของเรา! หากยอมทำตามข้อเสนอของกองทัพฟุซัคและเฟเนพ็อต เราสามารถร่วมมือกับพวกนั้นเพื่อทวงคืนอาณาจักรกลับมาเป็นของตัวเองได้!”
ก็เป็นโอกาสจริงๆ นั่นแหละ… แต่อำนาจตัดสินใจอยู่กับฉันหรือไง? ฉันไม่ได้โง่สักหน่อย! เดนิสที่ฟังข้อเสนอของผู้นำกลุ่มต่อต้านอย่างเงียบงันทำได้เพียงรำพันในใจ
ในฐานะที่เกิดมาเป็นชาวอินทิส โจรสลัดและนักล่าสมบัติคนดังรายนี้ย่อมไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะโจมตีอาณานิคมของโลเอ็น ภายในใจปราศจากความลังเลหรือสงสารโดยสิ้นเชิง
แต่แน่นอน มันไม่ได้รู้สึกผูกพันกับอินทิสสักเท่าไร และอันที่จริง สมัยยังเป็นนักล่าสมบัติกึ่งโจรสลัด เดนิสชื่นชอบการปล้นเรือสินค้าสัญชาติอินทิสมากเป็นพิเศษ เพราะนั่นหมายถึงบนเรือจะเต็มไปด้วยสินค้าราคาแพง
การที่เดนิสยังไม่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดหลังจากได้ฟังคำแนะนำจากบรรดาผู้นำกลุ่มต่อต้าน เป็นเพราะ ‘นักวางแผน’ อย่างมันมีสติปัญญาสูงพอจะตระหนักจุดยืนของตัวเอง:
ตัวมันเป็นแค่เครื่องมือสื่อสารเท่านั้น!
เครื่องมือที่คอยรับส่งข้อความระหว่างหัวหน้ากลุ่มผู้นำและเกอร์มัน·สแปร์โรว์!
เกอร์มัน·สแปร์โรว์น่าจะเป็นชาวโลเอ็น ถ้าเราลงมือในเรื่องสำคัญส่งเดช มีแววที่จะไม่อยู่จนเห็นดวงอาทิตย์ของวันถัดไป… แต่ในอดีตที่ผ่านมา หมอนั่นทำตัวเหมือนไม่แยแสโลเอ็นเลยสักนิด… แม่เย็*! คนอะไรเข้าใจยากชะมัด! เดนิสกระแอมแห้งก่อนจะมองไปรอบตัว
“นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก… จงไปเตรียมแท่นบูชาที่สะอาดและเงียบสงบ ฉันจะสวดวิงวอนถึงพระองค์”
สำหรับองค์กรที่นับถือเทพสมุทร คำขอร้องเช่นนี้ถือว่าปรกติในสายตาสาวกเดนตายอย่างไครัท เอ็ดมันตัน และคนที่เหลือ อาจพูดได้ว่าเป็นสิ่งที่พวกมันคาดหวังให้เกิดขึ้น ทุกคนจึงเร่งมือจัดเตรียมพิธีกรรมด้วยความกระฉับกระเฉง
…
กลุ่มต่อต้านบนหมู่เกาะรอสต์เริ่มทนนิ่งดูดายไม่ไหวแล้วหรือ… พวกเขาอยู่มาได้นานขนาดนี้เพราะมีการสนับสนุนลับๆ จากกองทัพเฟเนพ็อตและฟุซัค ไม่อย่างนั้นคงถูกกองทัพโลเอ็นกับโบสถ์วายุกวาดล้างไปนานแล้ว… และเป็นเราเองที่บอกให้พวกเขารับความช่วยเหลือจากอาณาจักรต่างๆ … ไคลน์ถอนหายใจยาวหลังได้ยินรายงานจากเดนิส
มันกำลังนั่งเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวภายในวังโบราณ หลังจากไตร่ตรองสักพักก็ตัดสินใจเสกเกอร์มัน·สแปร์โรว์ขึ้นมา
นักผจญภัยเสียสติรีบทำท่าสวดวิงวอนอย่างเคร่งขรึมและพูดเสียงต่ำ
“…อาศัยโอกาสนี้เจรจากับเบื้องบนของโบสถ์วายุสลาตันและเทศบาล สร้างแรงกดดันให้พวกมัน… เป้าหมายคือการบีบบังคับให้พวกมันยอมรับแนวคิดที่จะให้ชนพื้นเมืองของหมู่เกาะรอสต์บริหารดินแดนด้วยตัวเอง…”
“…กองกำลังต่อต้านจะให้คำมั่นสัญญาว่า ทางเราจะช่วยปกป้องช่องทางรายได้ของโลเอ็นทั้งหมดบนเกาะ ดังนั้นพวกมันสามารถส่งกองทัพกลับไปช่วยเหลือเมืองหลวงได้อย่างสบายใจ…”
…
ณ แท่นบูชาที่สะอาดและเงียบสงบ เดนิสที่ได้รับการตอบสนองเหยียดหลังตั้งตรง
มันหันไปพูดกับกลุ่มผู้นำที่ยืนรอด้านนอกด้วยเสียงเคร่งขรึม
“ฉันได้รับวิวรณ์… พระองค์ตรัสว่าประชาชนทุกคนของพระองค์ล้วนมีค่า ห้ามเซ่นสังเวยใครไปเพียงเพราะกระหายสงครามเด็ดขาด… พวกเราจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มสงครามกับใคร แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเราจะกลัว… กล่าวคือ อันดับแรกให้อาศัยสถานการณ์ที่ได้เปรียบในปัจจุบันเพื่อเจรจากดดันกับเบื้องบนของโบสถ์วายุและกองทัพโลเอ็น บีบบังคับให้พวกมันยอมรับข้อเสนอที่ฝ่ายเราพึงพอใจ… แต่ถ้าพวกมันยังยืนกราน… ก็เตรียมแตกหักกันได้เลย… พระองค์ตรัสว่า มนุษย์ไม่ควรลืมความแค้น แต่อย่านำมันมาบดบังเหตุและผล สิ่งสำคัญที่สุดคืออนาคตอันสดใสของทุกคน”
หลังจากกลายเป็นนักวางแผน เดนิสเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของพลังแห่งการโน้มน้าว ทุกคำอธิบายของมันถึงถูกขัดเกลาและปรับแต่งให้ใหม่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มีหลายครั้งที่ความคิดจุดบรรเจิดพรั่งพรูเข้ามาในสมองขณะเปิดปากพูด
ผู้นำกองกำลังต่อต้านอย่างไครัทและเอ็ดมันตันล้วนเกลียดชังโลเอ็นเข้ากระดูกดำ แต่ตอนนี้กลับมองว่าพระวจนะของเทพสมุทรที่ลอร์ดเดนิสถ่ายทอดนั้นฟังดูสมเหตุสมผลและเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา พวกมันตระหนักถึงความแข็งแกร่งของ ‘เจ้าสมุทร’ ได้ดีกว่าใคร หากสงครามดำเนินไปถึงจุดที่มีการหลั่งเลือดโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม เกราะภูเขาครามซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองบายัมคงถูกคลื่นยักษ์ถาโถมจนกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง และชนพื้นเมืองจำนวนมากจะล้มตายโดยมิอาจขัดขืน
จริงอยู่ที่เหล่ายอดฝีมือของฟุซัคและเฟเนพ็อตอาจแข็งแกร่งพอที่จะป้องกันมิให้เหตุการณ์ลงเอยด้วยผลลัพธ์เลวร้ายที่สุด แต่พวกมันจะปกป้องความเสียหายของหมู่เกาะรอสต์ได้สักเท่าไรกันเชียว?
ไครัทและเอ็ดมันตันมิได้ไว้ใจฝ่ายเฟเนพ็อตกับฟุซัคเต็มร้อย เพราะมองว่าชาวจักรวรรดิเหล่านี้ไม่แตกต่างจากโลเอ็นที่จ้องแต่จะยึดครองดินแดนอาณานิคม โจรคนเถื่อนจากทางเหนือสามารถฉีกหน้ากากและเผยธาตุแท้ออกมาได้ทุกเมื่อ
ความเงียบงันเข้าปกคลุมสักพัก ไครัทบนรถเข็นจ้องหน้าชายในชุดคลุมสีดำข้างแท่นบูชาและกล่าว
“ท่านเดนิส พวกเรายินดีทำทุกสิ่งเพื่อทวงคืนดินแดนอย่างสันติ”
มันเว้นวรรค
“หน่วยข่าวกรองของเราแจ้งเข้ามาว่า บุคคลที่มีอำนาจตัดสินใจสุดท้ายบนหมู่เกาะรอสต์คือเจ้าสมุทร แยนน์·ค็อตแมน คงเป็นการดีกว่าหากจะติดต่อกับชายคนนั้นโดยตรง”
เดนิสพยักหน้าแผ่วเบา
“ฉันก็คิดแบบนั้น… พวกเราต้องส่งใครสักคนไปเป็นตัวแทนเผชิญหน้ากับแยนน์·ค็อตแมนในบายัม…”
ขณะเตรียมถามว่าใครจะอาสา เดนิสพบว่าสายตาของไครัท เอ็ดมันตัน และคนที่เหลือต่างจดจ้องมายังใบหน้าของตนโดยพร้อมเพรียง ราวกับต้องการจะบอกว่าไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นตัวแทนไปกว่าข้ารับใช้แห่งเทพสมุทรและโจรสลัดคนดังอีกแล้ว
…แม่เย็*! เดนิสสบถเงียบขณะมองไปทางฝูงชน จากนั้นก็ฉุกคิดบางสิ่ง
“อา… วีรกรรมครั้งนี้ถือเป็นเกียรติยศอย่างใหญ่หลวงสำหรับพวกเราทุกคน ฉันรู้ว่าพวกนายล้วนต้องการอาสาเป็นผู้เสียสละแด่พระองค์เพื่อแลกกับคะแนนผลงาน… ดังนั้น มาจับสลากตัดสินกันเถอะว่าใครจะโชคดีได้ไป วิธีนี้ยุติธรรมที่สุดแล้ว”
“ไม่คัดค้าน” ไครัทและคนที่เหลือตอบสนองโดยไม่ลังเล
ไม่กี่นาทีถัดมา เดนิสก้มหน้าจ้องไพ่ในมือด้วยมุมปากสั่นกระตุกแผ่วเบา
…
เมืองเงินพิสุทธิ์ ภายในห้องเจ้าเมืองด้านบนสุดของหอคอย
โคลินจ้องเดอร์ริคที่มีพัฒนาการด้านร่างกายน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับคนรอบข้าง
“คุณพร้อมหรือยัง?”
เดอร์ริคผู้กำลังถือค้อนยักษ์ ‘เทพสายฟ้าคำราม’ ที่มีด้ามเป็นกระดูกแข้งสีขาวและมีสายฟ้ารายล้อม พยักหน้าพลางตอบเคร่งขรึม
“พร้อมครับ”
รูปลักษณ์ของมันดูไม่เหมือนผู้วิเศษเส้นทางสุริยัน หากแต่คล้ายกับนักรบคลั่ง
โคลิน·อีเลียดเจ้าของผมหงอกและรอยแผลเป็นเก่า เบือนสายตาไปทางโลเฟียร์และถาม
“คุณพร้อมไหม”
โลเฟียร์เจ้าของผมสีเทาเงินและดวงตาสีเทาอ่อน ปัจจุบันมิได้แต่งกายในชุดคลุมสีดำปักลายม่วงเหมือนเคย หากแต่เป็นชุดเกราะสีดำเต็มอัตราศึก
หญิงสาวพยักหน้าแผ่วเบา
“ไม่มีปัญหา”
นักล่าปีศาจโคลินที่ปัจจุบันกลายเป็น ‘อัศวินสีเงิน’ หันไปมองทุกคนในห้องและไล่ถามแบบเดียวกัน
หลังจากได้รับคำตอบในเชิงบวก โคลินย่างกรายไปทางผนังห้องและดึงดาบสองเล่มที่แขวนอยู่ลงมาสะพายหลัง
“ออกเดินทางได้” เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ออกคำสั่งเสียงขรึม
เป็นอีกครั้งที่ทีมสำรวจซึ่งนำโดยโคลินจะออกเดินทางไปยังค่ายในหมู่บ้านยามบ่าย เป้าหมายคือการสำรวจลึกเข้าไปในวังราชาคนยักษ์และมองหาทางออกไปยังทะเลที่แท้จริง
ท่ามกลางเสียงโลหะกระทบดังเป็นจังหวะ โลเฟียร์ เดอร์ริค และคนที่เหลือต่างเดินตามหลังเจ้าเมืองอย่างเงียบงัน มุ่งหน้าออกจากห้องและลงบันไดวนอย่างเป็นระเบียบตามลำดับ
ระหว่างทางได้พบกับหกสภาอาวุโสคนที่เหลืออย่างฮอยต์·เฌอมงต์ รวมถึงชาวเมืองที่คอยทำงานในหอคอย
หลายคนยืนรอหลังราวบันได หลายคนยืนบนขั้นบันไดใหญ่ สีหน้าทุกคนเปี่ยมไปด้วยความเคร่งขรึมประหนึ่งกำลังยืนส่งหน่วยสำรวจที่เป็นความหวังสูงสุดเท่าที่เมืองเงินพิสุทธิ์เคยมีมา
ไม่มีใครส่งเสียงแม้แต่คนเดียว หอคอยทั้งหลังถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงัดสุดขีด แต่เมื่อโคลินและทีมเดินผ่าน เหล่าชาวเมืองจะยกมือขวาขึ้นและวางกำปั้นไว้บนกึ่งกลางหน้าผาก
โคลินและทีมเดินลงจากหอคอยโดยมีเสียงดังกล่าวเกิดขึ้นตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงบริเวณถนนภายในเมือง
พวกมันเริ่มจุดโคมไฟที่ทำจากหนังสัตว์
ท่ามกลางแสงสีเหลืองสลัว ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ทยอยเดินออกจากบ้านและยืนรอริมถนน
พวกมันเฝ้ามองหน่วยสำรวจที่มีเดอร์ริคและคนอื่นๆ ด้วยสายตาชื่นชมเจือคาดหวัง จากนั้นก็ค่อยๆ ยกแขนขวาขึ้นและวางกำปั้นลงบนกึ่งกลางหน้าผาก
โดยไม่รู้ตัวเดอร์ริคเหยียดหลังตั้งตรงด้วยหัวใจที่เร่าร้อน
เป็นเช่นนี้ไปตลอดทางจนกระทั่งทีมสำรวจเดินพ้นประตูเมืองเงินพิสุทธิ์อย่างเป็นทางการ
ราวกับทุกคนมีความคิดแบบเดียวกัน ทันทีที่โคลิน โลเฟียร์ และคนที่เหลือเดินพ้นแนวรักษาความปลอดภัยของเมือง พวกมันต่างหันหลังกลับไปมองบ้านเกิดที่ถูกความมืดปกคลุมมานาน 2,584 ปี
ทีมสำรวจทุกคนพบว่าชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ยังคงไม่กลับเข้าไปในบ้าน หลายคนมายืนออกันที่ประตูเพื่อส่งพวกมันจนถึงวินาทีสุดท้าย
ทันใดนั้น ทั้งหมดยกแขนขวาขึ้นและนำกำปั้นวางลงบนหน้าผากอีกครั้ง
นี่มิได้เป็นเพียงท่าแสดงความเคารพขั้นสูงสุดของเมือง แต่ยังเป็นการขอให้เหล่าทวยเทพอำนวยพรขั้นสูงสุด
โคลิน·อีเลียดยืนจ้องนานหลายวินาที จากนั้นก็หลับตาลงพลางยกมือขวาขึ้นมาโบก
“ออกเดินทางได้!”
เดอร์ริคและคนที่เหลือต่างหันหลังกลับโดยยังถือตะเกียงหนังสัตว์ไว้ในมือ ทุกย่างก้าวที่ย่ำไปลงบนดินล้วนอัดแน่นไปด้วยความมุ่งมั่น
ปลายทาง: วังราชาคนยักษ์
………………………………….