ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1251 : การเปลี่ยนแปลง
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1251 : การเปลี่ยนแปลง
ไม่ใช่เทวทูตมืดซาสเรีย… ภาพฉายเอ็นยูนถูกกัดกร่อนโดยพลังที่พรั่งพรูออกจากตำหนักราชาคนยักษ์ เปลี่ยนให้มันกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่เรามิอาจทำความเข้าใจ นอกจากนั้นยังดูเหมือนจะคงสภาพไว้ได้นาน… บางทีอาจมีเจตจำนงของซาสเรียเข้ามาเกี่ยวข้อง… ในสภาพใช้มือซ้ายปิดหน้า ไคลน์ปล่อยให้หนอนวิญญาณชอนไชระหว่างนิ้วอย่างอิสระ
แต่สิ่งที่มันไม่เข้าใจมากที่สุดกลับเป็นประเด็นอื่น นั่นคือการที่แม้ตนจะเปิดประตูตำหนักบรรทมของซาสเรียสำเร็จ แต่กลับไม่มีเทพหรือราชาเทวทูตตนใดตอบสนอง
ตามที่ไคลน์จินตนาการไว้ ทันทีที่ ‘ทะเล’ โกลาหลพรั่งพรูออกมา ตัวตนอย่างพระผู้สร้างแท้จริง เทพปัญญาความรู้ ผู้เย้ยเทพอามุนด์ หรือพี่ชายอามุนด์ที่ควรอยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้มากที่สุด จะเสด็จเยือนลงมาเพื่อยืนยันสภาพปัจจุบันของเทวทูตมืดซาสเรีย หรือไม่ก็พยายามช่วงชิงสมบัติมีค่าภายใน แต่กลับต้องผิดคาด วังราชาคนยักษ์ยังคงเงียบสงัดปราศจากพลังรบกวนจากภายนอก
หรือว่าพวกท่านๆ จะรอให้เราเข้าไปในตำหนักบรรทมและติดต่อกับรองประมุขสวรรค์โดยตรงเสียก่อน? นั่นสินะ… พระผู้สร้างแท้จริงระบุชัดเจนว่าต้องพบซาสเรีย… ร่างวิญญาณของเรายังไม่เป็นอิสระจากการกัดเซาะ แปลว่าเป้าหมายของพระผู้สร้างแท้จริงยังไม่บรรลุผล… ฮะฮะ… ยิ่งความคิดไคลน์พลุ่งพล่าน ชายหนุ่มก็ยิ่งพบว่าตนควบคุมอารมณ์ได้ยากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ เศร้า กังวล หรือหดหู่ มันอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากพลางเงยหน้าหัวเราะ
เรื่องน่ายินดีคือการที่สมองยังทำงานได้ปรกติ ไคลน์ยังสามารถคิดและใช้พลังพิเศษได้ตามใจต้องการ เพียงแต่ในบางครั้ง ความบ้าคลั่งจะปะทุออกมาพร้อมกับสร้างความหุนหันและก้าวร้าว
ครึ่งเทพในขอบเขตจิตใจสามารถรักษาอาการแบบนี้ได้ไหม… แต่อย่างน้อยในบรรดาสมบัติปิดผนึกที่เราสามารถอัญเชิญได้ ไม่มีชิ้นใดที่สามารถรักษา… อาการนี้เกิดจากการที่ดวงวิญญาณขาดความสมบูรณ์ ปัญหาคงไม่ถูกแก้ไขถ้าไม่จัดการกับเงาดำที่ถูกแยกออกไป… แต่ก็อาจมีบางวิธีที่ช่วยให้เรากลับเป็นปรกติได้ชั่วขณะ เช่นการสร้างบุคลิกเสมือนขึ้นมาชดเชยความไม่สมบูรณ์… แต่น่าเสียดาย ตอนนี้เรายังกลับปราสาทต้นกำเนิดไม่ได้… ความคิดไคลน์สับสนวุ่นวายสุดขีด ภาพที่ผุดขึ้นในใจเริ่มเลือนหาย
ชายหนุ่มหยิบหมวกทรงกึ่งสูงที่หล่นพื้นขึ้นมาสวม จากนั้นก็มองออกไปนอกกระจกหน้าต่างบานใหญ่ที่ทำจากอัญมณีสีส้ม เฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงภายในวังราชาคนยักษ์
แตกต่างจากในตอนแรก ปัจจุบันมีดวงอาทิตย์มายากำลังส่องสว่างกึ่งกลางท้องฟ้า ส่งผลให้ย่านที่เต็มไปด้วยอาคารสง่างามเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลายามเที่ยงวัน
รูปปั้นที่คอยปกป้องวังดูคล้ายกับมีผ้าคลุมที่ถักทอจากเงาห่อหุ้มร่างกาย
เอ็นยูนเจ้าของปีกมายาสีดำบนแผ่นหลัง รวมถึงเงาดำที่แต่เดิมเคยเป็นของไคลน์ ต่างกระโดดลงจากราวหินและร่อนมาหาชายหนุ่ม
ดวงตาไคลน์หรี่ลงพร้อมกับก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย เตรียมเปิดศึกกับศัตรูอย่างเต็มกำลัง
แต่ทันใดนั้น ชายหนุ่มดึงสติกลับมาได้และตระหนักถึงสภาพร่างกายในปัจจุบัน จึงรีบถอยไปทาง ‘ลิฟต์โบราณ’ และสับสวิตช์เพื่อส่งตัวเองลงไปยังอุโมงค์ร้างด้านล่าง
จากนั้นก็ ‘บลิงค์’ หนีไปทางป่าเสื่อมโทรมและล่าถอยจนกระทั่งถึงสุดขอบวังราชาคนยักษ์
สัมผัสวิญญาณแจ้งกับไคลน์ว่า ด้วยสภาพร่างกายในปัจจุบัน มันไม่สามารถเอาชนะเอ็นยูนกลายพันธุ์และเงาของตัวเองได้
แต่แน่นอน หากนับแค่อย่างหลัง ไคลน์มั่นใจว่ายังพอสู้ไหว
เมื่อมาถึงสุดขอบแสงสว่าง ไคลน์หันหลังกลับและพบว่าทั้งเอ็นยูนและเงาดำมิได้ไล่ตามตนมา คล้ายกับมีขอบเขตการเคลื่อนไหวจำกัด
พวกมันออกจากเขตตำหนักราชาคนยักษ์ไม่ได้… หรือควรบอกว่า พวกมันอยู่ห่างจากเทวทูตมืดซาสเรียไม่ได้? ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์สังเกตเห็นว่า ‘ดวงอาทิตย์’ มายาด้านบนท้องฟ้าขยับตำแหน่งจากกึ่งกลางไปทางทิศตะวันตก ส่งผลให้แสงสนธยากลับมาปกคลุมอาณาจักรทวยเทพอีกครั้ง
ไคลน์เฝ้ามองสถานการณ์อย่างเงียบงันโดยไม่รีบร้อนออกจากวังราชาคนยักษ์
ถัดมาไม่นาน ‘ดวงอาทิตย์’ มายาได้พุ่งเข้าไปในตำหนักบรรทมของเทวทูตมืดซาสเรีย ส่งผลให้ความมืดเริ่มแผ่ปกคลุมทุกซอกมุมของวังราชาคนยักษ์อันกว้างใหญ่
ความมืดดังกล่าวแตกต่างจากยามกลางคืน – ปราศจากดวงจันทร์หรือดวงดาวโดยสิ้นเชิง มีเพียงเงาดำอันพร่ามัว
ไคลน์ที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดเกิดความรู้สึกประหลาดคล้ายกับมีใครบางคนเกาะหลัง แต่มันทราบดีว่าสิ่งนี้เป็นแค่ความรู้สึก จึงไม่ได้บุ่มบ่ามหันหลังกลับไปมอง
ไม่กี่นาทีถัดมา ดวงอาทิตย์มายาลอยสูงขึ้นอีกครั้ง แสงสนธยาสว่างขึ้นพร้อมกับขจัดความมืด
พลังที่พรั่งพรูออกจากตำหนักบรรทมของเทวทูตมืด รุนแรงถึงขนาดเปลี่ยนสภาพแวดล้อมอาณาจักรเทพบรรพกาล… เป็นพลังที่ใกล้เคียงกับเทพแท้จริงมาก… อย่างต้องก็ต้องครอบครอง ‘เอกลักษณ์’ อยู่กับตัว แต่จะเป็นเอกลักษณ์ของเส้นทางใดกัน?
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นประกอบไปด้วยขอบเขต ‘สุริยัน’ ‘ความมืด’ ‘เสื่อมทราม’ และ ‘กลายพันธุ์’ … ฟังดูขัดแย้งกันเองชอบกล… หรืออาจจะไม่ได้เกิดจากเอกลักษณ์แค่หนึ่งเส้นทาง? นอกจากนั้น เอกลักษณ์ของเส้นทางสุริยันย่อมต้องอยู่กับสุริยันเจิดจรัส… ส่วน ‘ความมืด’ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของ ‘เงาดำ’ และ ‘ความเสื่อมทราม’ ก็ต้องเป็นของพระผู้สร้างแท้จริง… ในตอนที่เปิดประตู เราเห็นทะเลมายาสีดำสนิท… เกี่ยวข้องอย่างไรกับทะเลแห่งความโกลาหล? ไคลน์ส่ายหน้าหลังจากเฝ้ามองสักพัก มันตัดสินใจรอให้ทีมสำรวจของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เดินทางมาถึง
…
ชายขอบกรุงเบ็คลันด์
ทันทีที่ออเดรย์มาถึง เธอพบว่าหมอกในบริเวณนี้หนาแน่นมาก การมองเห็นเหลือไม่ไกลไปกว่าห้าเมตร
สายลมกระโชกพัดผ่านหมอกและช่วยให้มองเห็นเป็นระยะ แต่เพียงไม่นานทัศนวิสัยก็ท่วมท้นไปด้วยแสงสีขาวโพลน
ดวงตาออเดรย์แปรเปลี่ยนเป็นสีทอง ช่วยให้เธอมองเห็นได้ไกลและชัดขึ้น…ไอลีนโนเวล
ขณะหญิงสาวกำลังย่างกรายด้วยความระมัดระวัง หมอกทึบตรงหน้ายิ่งทวีความเข้มข้น
ทันใดนั้น พลังพิเศษของเธอถดถอยลงอย่างกะทันหัน
พลังแห่งศาสตร์เร้นลับอ่อนแอลง… ข้อมูลที่เคยได้ยินจากมิสเตอร์เวิร์ลแล่นเข้ามาในสมองออเดรย์
บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!
ปืนใหญ่ของเบ็คลันด์ส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งจากด้านหน้า ส่งผลให้กระสุนปืนใหญ่สีแดง น้ำเงิน สีเงิน และดำเข้มพุ่งถล่มไปยังตำแหน่งของศัตรูอย่างแม่นยำ
แต่ในวินาทีถัดมา กระสุนเหล่านั้นปะทะเข้ากับม่านบาเรียล่องหนจนระเบิดกลางอากาศ ส่งผลให้ ‘กำแพง’ โปร่งใสเกิดการสั่นคลอน
ทันใดนั้นเอง ร่างพร่ามัวขนาดใหญ่โผล่ขึ้นในหมอกทึบ ณ จุดห่างไกลออกไป อีกฝ่ายเป็นมนุษย์เพศชาย แต่สูงเกินกว่าสิบเมตร แขนงอกออกจากจุดระหว่างซี่โครงและเอวฝั่งละสองข้าง ร่างกายแผ่ความมืดมิดเข้มข้นตลอดเวลา
ด้วยเหตุผลบางประการ เมื่อสิ่งมีชีวิตซึ่งคล้ายกับโผล่ออกจากเทพนิยายปรากฏกาย กองกำลังผสมระหว่างอินทิสและฟุซัคพลันเกิดความโกลาหลในทันที
ทหารและนายทหารทุกคนคล้ายกับย้อนคืนสู่วัยเด็ก พวกมันต้องเดินอย่างเดียวดายท่ามกลางถนนที่มืดมิดโดยไม่มีใครคอยอยู่เคียงข้าง บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดโดยสมบูรณ์ ความกระสับกระส่ายกัดกินหัวใจอย่างรุนแรง
ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้มักถูกเติมเต็มด้วยจินตนาการ พวกมันทยอยสติแตกไปทีละคนและเริ่มแตกทัพ
ทันใดนั้นเอง แสงอาทิตย์ฉาบร่างพวกมันทุกคนอย่างท่วมท้น ส่งผลให้เริ่มมองเห็นแสงสว่างพร้อมกับปลุกความฮึกเหิมภายในใจ
แต่ก็ยังเหลือทหารอีกจำนวนหนึ่งที่ยังมิอาจควบคุมตัวเอง พวกมันเอาแต่แหกปาก ‘แม่จ๋า’ หรือไม่ก็ชื่อสตรีสักคนขณะวิ่งหนีออกจากสนามรบ
ปัง! ปัง! ปัง!
ท่ามกลางเสียงปืนอันดุเดือด ทหารที่ปั่นป่วนทยอยล้มลงโดยมีดอกไม้สีเลือดผลิบานบนร่างกาย
พวกมันล้มลงชักกระตุกสักพักก่อนจะนอนแน่นิ่ง ไม่มีใครใส่ใจว่าคนเหล่านี้ชื่ออะไรหรือมีอดีตเป็นอย่างไร
ทันทีหลังจากนั้น บาเรียล่องหนที่คอยคุ้มกันกองทัพผสมอินทิสฟุซัคพลันถูกปลดออกตามคำสั่งของผู้บัญชาการสงคราม ตามด้วยการกระหน่ำยิงหอกเพลิงสีแดงเข้มจนเต็มท้องฟ้าประหนึ่งสายฝนโปรย เป้าหมายคือตำแหน่งแนวรบของทหารฝ่ายโลเอ็น
ขณะหอกเพลิงพุ่งประชิดเป้าหมาย หอกทุกเล่มพลันกระจัดกระจายไปทุกทิศด้วยความโกลาหล หลายเล่มปักลงบนพื้นพร้อมกับสร้างหลุมลึกสีดำไหม้เกรียม
นี่คือครั้งแรกที่ออเดรย์ได้เห็นผู้วิเศษรบกันในระดับสงครามใหญ่ หลังจากผงะอยู่สักพัก หญิงสาวเริ่มนึกทบทวนว่าคนรู้จักของตนเข้าร่วมสงครามในฐานะใดบ้าง:
ขุนนางหนุ่มอย่างกายลินและคนที่เหลือเข้าร่วมกองทัพในตำแหน่งนายทหารยศแตกต่างกันไป ทุกคนต้องเข้าร่วมสงครามแนวหน้าและสามารถถูกฆ่าได้ทุกเมื่อ
เมจิกเชี่ยนออกจากกรุงเบ็คลันด์ไปพร้อมครอบครัวของจัดจ์เมนต์ ปัจจุบันกำลังซ่อนตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ ในแคว้นเชสเตอร์ตะวันออก
จัดจ์เมนต์ที่เป็นสมาชิกระดับกลางของ MI9 กำลังต่อต้านการแทรกซึมของสายลับจากฟุซัคและอินทิสอย่างยากลำบาก
เดอะสตาร์ที่เป็นหัวหน้าหน่วยพิเศษทางการ ตระเวนไล่ปิดวิหารจักรกลไอน้ำเพื่อรักษาความมั่นคงของเมืองหลวง
นักบุญแอนโทนีและเหล่าครึ่งเทพของโบสถ์รัตติกาล โบสถ์วายุ ราชวงศ์ และกองทัพเริ่มสร้างแนวป้องกันด่านสุดท้ายของเบ็คลันด์
ผีดูดเลือดยังคงรักษาความเป็นกลางไว้ตลอดสงคราม…
ไม่กี่วินาทีถัดมา ออเดรย์รวบรวมสมาธิและเตรียมล่องหนทางจิตเข้าไปแพร่โรคระบาดทางจิตภายในแนวรบของศัตรู
ทันใดนั้นเอง สัมผัสวิญญาณของเธอถูกกระตุ้นจนต้องมองไปยังจุดห่างไกล
ภายในหมอกหนาทึบ หนวดรยางค์พร่ามัวที่ใหญ่และหนาแถมยังรายล้อมไปด้วยประกายสายฟ้าสีเงิน ยืดยาวและฟาดใส่แนวรบของกองกำลังผสมอินทิสฟุซัค
ขนนกที่เผาไหม้ด้วยเปลวไฟสีทองร่วงหล่นตามมาจากด้านบน
ในส่วนลึกของหมอกหนาทึบ ฝ่ามือสีเทาน้ำเงินขนาดมหึมากำลังกวัดแกว่งดาบยักษ์
…
ทะเลหมอก ในจุดห่างไกลจากเส้นทางเดินเรือปลอดภัย
ท่ามกลางคลื่นสูงที่เกรี้ยวกราด สายฟ้าจำนวนมากผ่าลงมาด้านล่างอย่างต่อเนื่อง
‘รุ่งอรุณ’ ของแบร์นาแดตโยกคลอนรุนแรงตลอดเวลา เรือลำนี้ดูเล็กลงไปถนัดตาเมื่อเทียบกับความโหดร้ายของธรรมชาติรอบข้าง
ราชินีเงื่อนงำกำลังยืนอยู่บนหัวเรือพลางเฝ้ามองทุกสิ่งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง นานๆ ครั้งจะใช้เวทมนตร์ ‘ฉลองพระองค์ใหม่ของจักรพรรดิ’ และเวทมนตร์นิทานอื่นเพื่อปรับสมดุลของเรือ
สายตาเพ่งทะลุพายุอันเกรี้ยวกราดเพื่อควานหาเกาะโบราณต้องสงสัย
…
หลังจากพักผ่อนจนเพียงพอ โคลิน·อีเลียดพาเดอร์ริค โลเฟียร์ และทีมสำรวจที่เหลือเดินทางออกจากค่ายหมู่บ้านยามบ่าย พวกมันเดินไปตามแนวถนนขึ้นเขาจนกระทั่งถึงประตูหน้าของวังราชาคนยักษ์
สิ่งที่ทำให้พวกมันประหลาดใจก็คือ แสงสนธยาที่ถูกแช่แข็งหายไป แทนที่ด้วยแสงอาทิตย์สว่างเจิดจ้าปกคลุมทุกซอกมุม
“…ผู้ช่วยที่คุณเชิญมาอยู่ที่ไหน” โคลิน·อีเลียดหันไปถามเดอร์ริคโดยไม่ลดความระแวง
ขณะเดอร์ริคเตรียมพูด มันเห็นร่างหนึ่งเดินออกจากหอคอยที่พังถล่มไปกว่าครึ่ง
ร่างดังกล่าวสวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูงและเสื้อกันลมสีดำ ใบหน้าฝั่งขวาชัดลึกเย็นชา แต่ฝั่งซ้ายโปร่งแสงและมีหนอนชอนไชตลอดเวลา
………………………………………